(ต่อ1) วอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส ภูมิใจเสนอ THE ISLAND

ข่าวทั่วไป Wednesday July 20, 2005 16:08 —ThaiPR.net

โมโร ฟิโอเร่ซึ่งเป็น ผู้กำกับภาพ กล่าว่าเขาและไมเคิล เบย์ได้ตกลงกันว่าจะปรับเปลี่ยนการให้แสงและมุมกล้องอย่างไรที่จะถ่ายทอดให้เห็นถึงสิ่งนี้ “ส่วนที่เป็นสิ่งแวดล้อมที่อยู่ใต้ดินนั้นเป็นแสงที่ไม่ธรรมชาติ เพราะฉะนั้นเราต้องการให้มันออกมาเป็นความรู้สึกของ คลินิครักษาโรค ... หนักไปทางแสงสีขาวและปราศจากสีสรร แต่เมื่อพวก แอ๊คเนทส์ ได้ค้นพบโลกภายนอกมันเต็มเปี่ยมไปด้วยสีสรรเพราะพวกเขาได้มีโอกาสสัมผัสแสงอาทิตย์และธรรมชาติจริง ๆ เป็นครั้งแรกในชีวิต เราต้องการจะยืนความขัดแย้งนี้ให้ออกมาในจอภาพยนตร์ ในตอนเริ่มแรกของหนัง พวกเราจะอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ได้รับการจำกัด เพราะฉะนั้นการนำเสนอของเราคือการไม่เคลื่อนย้ายมุมกล้องไปรวดเร็วมากนักและรักษาความเป็นทางการและจุดมุ่งหมายเอาไว้ และต่อมาเมื่อเราได้ออกมาสู่โลกภายนอก การนำเสนอจะเป็นแบบมีชีวิตชีวาโดยเน้นไปใช้กล้องมือถือมากกว่า”
การเปิดกล้องภาพยนตร์เรื่อง The Island นี้เริ่มตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วง ปี 2004 ที่ทะเลทรายในแคลิฟอร์เนียและ เนวาด้า ซึ่งลินคอร์นและจอร์แดนนั้นได้เล็ดรอดออกจากจาก Facility เพื่อมาสู่โลกเบื้องบน วอล์เตอร์ ปาร์คสเสนอ “ไมเคิลชอบความคิดที่ว่าเมื่อนักแสดงได้เริ่มหนีออกมาจากสถานที่กักกัน พวกเขามาอยู่ในโลกที่ไม่สะดวกสบาย — ไม่ใช่ที่ซึ่งได้รับการทำลายโดยมลพิษ แต่ก็เป็นที่ซึ่งไม่ได้รับการตอนรับ มันทำให้เราแสดงออกมาถึงสองชั้น ในชั้นแรกพวกเขาออกมาและเรียนรู้ว่าพวกเขาสามารถสูดหายใจเอาอากาศเข้าไปได้ แต่มันยังคงเป็นที่น่าหวาดกลัวของทะเลทรายแถบตะวันตกเฉียงใต้ หลังจากนั้นเมื่อพวกเขาได้เข้าไปที่ลอสแอนเจลิส พวกเขาเหมือนเด็ก ๆ ที่อยู่ในร้านขนมหวาน มันเป็นโลกที่พวกเขาไม่เคยได้นึกฝันถึงมาก่อน”
ในระหว่างหลังการถ่ายทำ อีริค บรีวิคซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายวิช่วลเอฟเฟ๊คและทีมงานจากบริษัท อินดัสเตรียล ไลท์ แอนด์ เมจิค ได้ทำความสวยงามให้กับทะเลทราย โดยทางดิจิตัลโดยเพิ่มเติมพัดลมที่มีความกว้างถึง 100 ฟุตและทำให้สิ่งต่าง ๆ ถ่ายเทรวมไปถึง รถไฟในโลกอนาคตที่นำพาลินคอร์นและ จอร์แดนเข้ามาที่ลอสแอนเจลิส
สถานที่ถ่ายทำที่เป็นทะเลทรายนั้นเป็นเหมือนฉากหลังฉากแรกในหลายต่อหลายฉากที่มีความเกี่ยวข้องกับความสามารถของ ไมเคิล เบย์ซึ่งร่วมงานกับ อลัน เพอร์วินซึ่งเป็นผู้ประสานงานทางอากาศและทีมงานนักบินของเขา เฮลิคอปเตอร์ของเพอร์วินนั้นได้ใช้งานทั้งสองอย่างทั้งทางด้านการเก็บภาพโดย ทีมรักษาความปลอดภัยของลอว์เรนท์ ในการไล่ล่าแอ๊คเนทส์ที่หลบหนีออกมาและออกจากมุมกล้องเพื่อจะนำเสนอความเป็นดราม่า เป็นภาพจากอากาศสู่พื้นและจากอากาศสู่อากาศ เฮลิคอปเตอร์สีดำที่ร่วมขบวนอยู่ในหน่วยงานของ ลอว์เรนท์มีชื่อว่า วิสเปอร์สนั้นทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการเริ่มแรกของ การใช้ ยูโรคอปเตอร์ อีซี 120 ซึ่งเป็นหนึ่งในเฮลิคอปเตอร์ที่เงียบที่สุดตั้งแต่ที่เคยสร้างมา ซึ่งบนเครื่องนั้นตกแต่งไปด้วยอุปกรณ์ไฮเทค ต่าง ๆ มากมายและสามารถบินได้ที่ความเร็วถึง 150 ไมล์ต่อชั่วโมง
หลังจากการเปิดกล้องได้หนึ่งอาทิตย์ ทีมงานสร้างและทีมงานนักแสดงก็ได้ย้ายมาที่ดีทรอยท์ มิชิแกน ซึ่งเป็นสองเท่าของลอสแอนเจลิสสำหรับอนาคตที่ไม่ไกลมากนัก ผู้อำนวยการสร้าง เอียน ไบร์สกล่าว “พวกเราไปทั่วประเทศเพื่อเสาะหาเมืองที่จะเป็น ลอสแอนเจลิสและเราก็พบว่าดีทรอยท์นั้นเป็นที่ใกล้เคียงความเป็นกลางใจเมือง แอล เอในส่วนที่เป็นสถาปัตยกรรม และเมือยังค่อนข้างยึดหยุ่นรวมทั้งให้ความร่วมมือและการควบคุมเป็นอย่างมาก”
เบย์เสริม “ดีทรอยท์ นั้นเตือนใจให้คิดถึง ลอสแอนเจลิส และพวกเขาน่าทึ่งขนาดยอมให้ผมปิดถนนถึงแปดบล๊อคในเวลาเดียวกันและปิดถนนนานเท่าที่ผมต้องการ ผมชอบการถ่ายทำในดีทรอยท์เอาจริง ๆ...ถ้าไม่พูดถึงความหนาวเย็นนะ” ผู้กำกับการแสดงที่เกิดและโตที่ลอสเองเจิ้ล
ลิสกล่าว
โดยเริ่มงานหลายอาทิตย์ก่อนหน้าที่ทีมงานจะเดินทางมาถึงดีทรอยท์ ทีมงานออกแบบได้ตกแต่งสถานที่ในเมืองเสียใหม่ โดยจัดป้ายและอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้เข้าที่เข้าทางเพื่อให้เป็นเหมือนท้องถิ่นใกล้เคียงกับอนาคต
ไนเจล เฟล์ฟให้ข้อสังเกตุ “ดีทรอยท์มีความคลาสสิคและลักษณะที่ไร้ซึ่งกาลเวลามันเป็นสถานที่ที่เหมาะสมมาก พวกเราได้นำอุปกรณ์ต่าง ๆ ในโลกอนาคตมาตกแต่งอย่างเช่นสัญญาณจราจร ป้ายรถเมล์ และอย่างอื่นอีกเพื่อให้ความรู้สึกไปข้างหน้าของความร่วมสมัย ความคิดของเราก็คือพวกเราสามารถที่จะใส่สถาปัตยกรรมสิ่งละอันพันละน้อยที่เป็นโลกอนาคตด้วยเทคนิคดิจิตัลบนหลังคาตึกเหล่านั้น”
บรีวิคกล่าว “อย่างที่เราเห็นกันว่า โลกของเราในปัจจุบันนั้นไม่ใช่โลกในอนาคต เพราะฉะนั้นผมยังคงต้องการบางส่วนที่เป็นความจริงของตึกรามบ้านช่องและเครื่องมือเครื่องไม้ในการเดินทางที่ในโลกปัจจุบันนี้ยังไม่มี แต่แทนที่จะสร้างพวกมันทั้งหมดจากเครื่องคอมพิวเตอร์ ถ้าคุณสามารถที่จะเริ่มสร้างรูปภาพเบื้องหลังที่ดูเหมือนจริง คุณจะต้องลงท้ายด้วยผลที่ออกมาใกล้เคียงความจริงมากขึ้น”
หนึ่งในฉากหลักของภาพยนตร์เรื่องนี้ถ่ายทำจากสถานที่ที่เคยเป็น มิชิแกน สเตชั่นมาก่อน ซึ่งเป็นสถานีรถไฟ เซอร์ก้า 1913 โบ อาร์ต คลาสสิค ซึ่งออกแบบโดย บริษัท วาร์เรน แอนด์ เวตมอร์ซึ่งเป็นบริษัทสถาปนิกที่เป็นเหมือนตำนาน มันถูกทิ้งร้างตั้งแต่ปี 1988 ตึกที่เป็นสถานที่ประวัติศาสตร์นั้นใช้เป็นสถานที่แห่งการเผชิญหน้าของ ลินคอร์น ซิกซ์-เอคโค่และผู้สนับสนุนของเขาคือ ทอม ลินคอร์น ซึ่งทั้งสองบทนี้แสดงโดย ยวน แม๊คเกรเกอร์
ยวน แม๊คเกรเกอร์เล่าถึงโอกาสที่เขาได้แสดงสองบทบาทที่แตกต่างกันและโดยไม่คำนึงถึงหน้าตาที่เหมือนกัน นักแสดงหนุ่มมีความคิดว่าจะทำอย่างไรที่จะสร้างสองคนที่แตกต่างด้านบุคลิกภาพ “ความคิดหนึ่งที่ผมคิดได้คือ ทอมนั้นต้องเป็นชาวสก๊อตในขณะที่ลินคอร์น ซึ่งเป็นเพราะว่าเขาได้รับการเลี้ยงดูมาในสังคมอเมริกัน นั้นจะต้องพูดด้วยสำเนียงอเมริกัน ผมยังต้องการให้ทอมกับลินคอร์นมีความแตกต่างกันในด้านความคิด ทอมเป็นคนรวย เย่อหยิ่งและเห็นแก่ตัว ทุกรูปภาพในอาพาร์ทเม้นท์มีแต่ตัวเขาเอง เขาตรงข้ามกับลินคอร์นซึ่งเป็นคนค่อนข้างอ่อนไหว”
“เราทำให้ทอม ลินคอร์นเป็น คนสุภาพอย่างเกินจริง” เบย์ยืนยัน “ผมชอบการที่ยวนได้ทำการบ้านด้วยสองลักษณะที่ทำให้เขามีบุคลิกภาพที่แตกต่างกันไปโดยสิ้นเชิง”
และอีกครั้งที่ เทคนิควิช่วลเอฟเฟ๊คได้นำมาใช้เพื่อทำฉากที่สำคัญนี้ซึ่งเป็นฉากระหว่างลินคอร์น ซิกซ์-เอคโค่และ ทอม ลินคอร์นนั้นได้ทำงานร่วมกันอย่างไม่มีที่ติ บรีวิคอธิบายว่า “โดยทั่วไปแล้ว เมื่อคุณมีนักแสดงคนหนึ่งที่ต้องแสดงเป็นสองบทบาท เราจะต้องพยายามที่จะไม่ให้เขามาปรากฏตัวร่วมกันเพราะมันเป็นเรื่องที่มันยากที่จะทำได้เพราะฉะนั้นแน่นอนอยู่แล้ว ไมเคิลไม่ยอมรับมันเพื่อให้ลินคอร์นคนหนึ่งจับมือของลินคอร์นอีกคนหนึ่งซึ่งมันก็เป็นเรื่องยุ่งยากมากพออยู่แล้วในขณะที่กล้องนั้นวนอยู่รอบ ๆ ในระหว่างที่ถ่ายทำฉากนี้ ” อย่างไรก็ตามเขาก็ยอมรบ “ผมรู้ว่ามันจะดูน่าเชื่อถือมากกว่าสำหรับผู้ชมถ้าเราทำให้มันเกิดขึ้นมาได้ ผมถึงได้คิดถึงวิธีที่จะใช้การควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้องและความแม่นยำในการกำหนดจุดที่ยืนอยู่ของตัวแสดงเพื่อที่จะทำให้ลินคอร์นคนหนึ่งซึ่งแสดงโดย ยวนสามารถจับมือลินคอร์นอีกคนหนึ่งซึ่งก็แสดงโดยยวนเหมือนกัน และทุกอย่างมันจะเกิดขึ้นให้คุณได้เห็นด้วยตาของคุณเอง”
ไมเคิล เบย์ อธิบายว่า “การควบคุมการเคลื่อนไหวนั้นคือที่ที่คุณจะต้องมีกล้องอยู่เป็นที่และตั้งเวลาเพื่อให้แต่ละเทคออกมาเหมือนกันมากที่สุด พวกเราทำกันครั้งหนึ่งพร้อมกับยวนที่เล่นเป็นคนหนึ่งและทำเหมือนกันอีกครั้งโดยให้เขาเล่นเป็นอีกคนหนึ่ง คุณจะเห็นเงาข้ามกันและดวงตาเข้ากัน มันไม่ใช่การทำด้วยเทคนิค สามมิติ; แต่มันเป็นเรื่องความพ้องของเวลา”
การที่เขาเป็น เพลย์บอกที่ร่ำรวยในโลกอนาคตของตะวันตก ทำให้ธรรมชาติของ ทอม ลินคอร์น นั้นหลงใหลในความเป็นเลิศในทุกสิ่งทุกอย่าง รวมทั้งพาหนะของเขาด้วย การสร้างสรรรถยนต์ที่สะท้อนให้เห็นถึงความร่ำรวยและบุคลิกภาพของเขา อย่างไรก็ตาม ได้ให้ข้อพิสูจน์ถึงความท้าทายอย่างยิ่งใหญ่ที่สุดของทีมงาน “พวกเราเฝ้าออกแบบรถยนต์ และผมก็เฝ้าแต่โยนมันทิ้งไป” เบย์เล่า “พวกเรายังไม่เข้าไปถึงคุณภาพที่ผมต้องการ”
โดยได้ร่วมงานกับ มอร์เตอร์ ซิตี้ ผู้กำกับการแสดงนั้นได้ใช้ประโยชน์จากเส้นสายของเขาในแวดวงการออกแบบรถยนต์ของโลก “ผมมีความสัมพันธ์ค่อนข้างดีกับ จีเอ็มจากหนังเรื่องอื่นของผม ผมยังเคยได้ทำหนังโฆษณาให้กับพวกเขา ผมถึงได้ถามพวกเขาว่าพวกเขามีรถในอนาคตแบบไหน พวกเขาให้ผมดูตัวอย่าง และแน่นอนว่า ผมเลือกเอารถที่แพงที่สุดที่พวกเขามีในร้าน คือ รถคาดิแลค ไซเอ็น มันสวยงามด้วยปีก ...หนึ่งไม่มีสอง ผมไม่รู้เลยว่าราคาของมันจะเป็นเท่าไรในที่สุด; พวกเขาเลิกนับเงินเมื่อมันมาถึงยอดเจ็ดล้านเหรียญ ผมให้คำมั่นกับพวกเขาว่าผมดูแลรักษามันเป็นอย่างดีที่สุดด้วยชีวิตของผมเอง เพราะงั้นถ้าคุณเห็นผมอยู่ในฉากแล้วพูดว่า “ออกให้ห่าง ๆ รถหน่อยได้ไหม หรือว่าถอยไฟออกไปหน่อย ทีมงานของเราต้องเริ่มที่จะทำตามกันเป็นระวิง และผมจะเป็นแบบ เพื่อนเอ๋ย เพื่อนไม่ได้ยินผมพูดเลยหรือว่ามันเป็นรถที่ราคาถึงเจ็ดล้านเหรียญ””
จอห์น เฟรซิเออร์ซึ่งเป็นหัวหน้า สเปเชี่ยลเอฟเฟ๊ค ได้ให้ความช่วยเหลือเบย์ในการรักษารถ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่นักแสดงหรือตัวแสดงสตั๊นท์นั้นต้องอยู่ข้างใต้ล้อรถ เฟรซิเออร์และทีมงานได้สร้าง รถโคลน ของรถราคาเจ็ดล้านเหรียญนี้ขึ้นซึ่งสามารถจะขับและโดนทำลายได้โดยไม่ต้องจ่ายราคาแพง เขาเล่า “พวกเขาจะเข้ามาและพูดว่า โอเค พวกเราจับทางรถได้แล้ว มันเป็นรถคาดิแล็คที่หรูหราปี 2002 และพวกเราไม่มีปัญญาจะขับมัน พวกเราต้องสร้างรถคันนั้นขึ้นมาใหม่ เพราะฉะนั้นเราจึงได้สร้างรถเลียนแบบคาดิแล๊คจากไม่มีอะไรเลยภายในเวลา 17 วัน พวกเราเอามันขึ้นเครื่องบินและถ่ายทำมันในอีกวันหนึ่ง”
ราคาค่างวดของรถสปร์ตคาดิแล๊คนั้นดูจะเบาไปถ้าเปรียบเทียบกับราคาของเรือที่เราได้เห็นกันในความฝันของ ลินคอร์น ซิกซ์-เอ็คโค่และต่อมาในโลกแห่งความเป็นจริงซึ่งเป็นของ ทอม ลินคอร์น เบย์ต้องการให้เรือนั้นมีความประทับใจเหมือนกับรถ แต่ไม่รู้เลยว่าจะไปหาสิ่งที่ยอดเยี่ยมนี้ได้จากที่ไหนและทำให้ทีมงานต้องผ่านรูปของเรือทั้งหลายที่มีอยู่ในยุโรป เบย์เล่าเรื่อง “ผมต้องการเรือที่ดูดีที่สุดในโลก พวกเราค้นพบ วอลลี่ย์ พาวเวอร์ 118 ซึ่งเจ้าของคือชายคนหนึ่งชื่อ ลูก้าซึ่งเป็นชายหนุ่มที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก มันต้องใช้เวลานานพอสมควรที่จะทำเรื่องการใช้เรือลำนี้เพราะราคาของมัน มันเป็นเรือ ยอชท์ที่มีราคาสูงถึง 25 ล้านเหรียญ แต่มันสวยงามมาก งามเหลือเกิน มันเป็นศิลปะเอาเสียจริง ๆ เส้นรอบนั้นมองเกือบไม่เห็นและมีพลังเท่ากับเครื่อง แฮร์ริเออร์ถึงสามเครื่องที่เดียว ผมคิดว่ามันแล่นได้ถึง 80 ไมล์ต่อชั่วโมง พวกเราปิดกล้องกันไปแล้วและสการ์เล็ตต์และยวนก็กำลังแสดงหนังเรื่องอื่น เพราะฉะนั้นผมมีเวลาแค่วันเดียวที่จะถ่ายทำมันในวันเสาร์ พวกเรายกกองกันไปที่ประเทศอิตาลีและพยากรณ์อากาศวันนั้นก็แย่มาก; ฝนตกหนักจนเพดานห้องในโรงแรมของผมรั่ว ผมตื่นขึ้นมาตอนเช้าเปิดม่าน อากาศย่ำแย่มาก ฝนกระหน่ำลงมาผมก็เลยปิดม่านแล้วกลับไปนอนต่อ อีกสักพักหนึ่งผู้กำกับภาพก็โทรหาผมว่า ไมค์ตื่นเถอะ พระอาทิตย์มาแล้ว ฟ้าเปิดนานพอที่เราจะถ่ายทำกันจบซีนพอดี ทะเลแปรปรวนมากและสการ์เล็ตต์ก็จะต้องยืนอยู่ตรงนั้น โดยไม่มีอะไรยึด มันน่ากลัวมาก อากาศยังหนาวเย็นอีกด้วยแต่ทั้งสองคนต้องแสดงเป็นว่าพวกเขากำลังคุยอยู่ใต้แสงอาทิตย์อันอบอุ่นของเกาะ ...แต่เราก็ถ่ายทำมันจนได้”
พาหนะที่เป็นโลกอนาคตมากที่สุดคือ เดอะ เวสป์ ซึ่งเป็นมอร์เตอร์ไซค์ที่บินได้ ใช้งานโดยหน่วยของลอว์เรนท์เพื่อที่จะไล่ล่าพวกแอ๊คเนตส์ที่หลบหนี คือ ลินคอร์นและจอร์แดน เบย์เล่า “ผมต้องการพาหนะที่บินได้ กระทัดรัดแต่เปี่ยมด้วยพลังและรวดเร็ว ผมต้องการให้มันมีรูปลักษณ์เหมือนปลาฉลาม — จรวดทรงเมล็ดข้าวที่บินได้ — เพื่อที่ว่ามันจะดูดีเมื่อออกมาในจอภาพยนตร์”
เดอะ เวสป์ นั้นเป็นส่วนที่ระทึกใจที่สุดในการแสดงสตั๊นท์ซึ่งได้รับการถ่ายทำเมื่อทีมงานกลับจากดีทรอยท์มาที่ เซ้าเทิร์น แคลลิฟอร์เนีย สำหรับสมดุลของกฏการถ่ายภาพ
เป็นเวลายาวนานถึง 3 อาทิตย์ที่ทีมงานต้องปิดฟรีเวย์ที่มีความยาวถึง สี่ไมล์ ที่ เทอร์มินัล ไอส์แลนด์ ฟรีเวย์ใน ซาน เปโดร แคลลิฟอร์เนีย จาก ฉากซึ่งทีมงานของลอว์เรนท์นั้นต้องไล่ล่า
ลินคอร์นและจอร์แดน ซึ่งต้องขับขี่ไปบนรถล้อยักษ์ที่ดูเหมือนหลอดด้ายมหึมา โดยใช้ล้อของรถไฟนี้เป็นอาวุธ พวกเขาพยายามที่จะต่อสู้พวกไล่ล่า จะกระทั่งลินคอร์นได้บังคับเดอะเวสป์
เพื่อเก็บภาพแอ๊คชั่น เบย์ได้ใช้กล้องถึง 15 ตัวติดตั้งในมุมต่าง ๆ กันรวมทั้งกล้องถ่ายมือด้วย ซึ่งกล้องนี้โดยส่วนใหญ่จะอยู่ในมือของผู้กำกับการแสดง เดอะเวสป์นั้นจอดอยู่ในส่วนแขนของ กิมเบิ้ล ซึ่งเป็น ส่วนที่ยื่นออกมาจากส่วนหลังของรถเทรลเล่อร์ ซึ่งทำให้ เดอะ เวสป์นั้นบินลงไปที่ ฟรีเวย์ได้ จอห์นอธิบาย “ส่วนแขนนั้นเชื่อมอยู่กับการขึ้นและลง ผู้ประสานงานฝ่ายฉาก จิม ชวาล์ม นั้นต้องบังคับ กิมเบิ้ลและต้องขับไปตามฟรีเวย์พร้อมกับตัวแสดงสตั๊นท์โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องแขวนอยู่ข้าง ๆ รถทรั๊คเหมือนว่าเขากำลังขับขี่ยานในโลกอนาคต พวกเราถ่ายทำมันในสองวันและมันเป็นการขี่ที่ดีทีเดียวแต่เราไม่อยากถ่ายทำมันอีกครั้งแน่ ๆ ผมบอกคุณได้เลย”
ต่อมาในงานหลังการถ่ายทำ ฉากเดอะ เวสป์ ที่ถ่ายทำกันบนฟรีเวย์และถนนของลอสแอนเจลิส ก็จะได้รับการเพิ่มจำนวนโดยเทคนิควิช่วล เอฟเฟค โดยใช้ภาพไลฟ์ แอ๊คชั่น ทีมงานของบรีวิคได้ถ่ายทำตัวแสดงบน ตัวเต็มของ เวสป์ ซึ่งแขวนอยู่ข้างหน้าของฉากสีฟ้า พวกเขายังได้สร้างสรร เวสป์ที่เกิดจากเท็คนิคคอมพิวเตอร์ ด้วยภาพเคลื่อนไหวการขี่ CG สำหรับในฉากบางฉาก
ไมเคิล เบย์ได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับ อเล็กซ์ เคริทซ์แมนและ โรเบร์ตโต้ ออร์กี้ ซึ่งเป็นผู้เขียนบทภาพยนตร์ เพื่อเขียนบทฉากแอ๊คชั่นในภาพยนตร์เรื่อง The Island เบย์กล่าว “บ๊อบและอเล็กซ์นั้นยอดเยี่ยมที่ได้ร่วมงานด้วย เพราะผมจะเขียนสิ่งที่ผมมองเห็น ด้วยจังหวะต่อจังหวะและจากนั้นเราก็จะมาดัดแปลงมันด้วยกัน แต่” เขายิ้ม “มันต้องมีเวลาที่คุณต้อง ติดปีกให้กับมันด้วย”
เพื่อจะให้ผู้ชมเป็นส่วนหนึ่งของแอ๊คชั่น เบย์และทีมงานสเปเชี่ยลเอฟเฟคได้จ้างรถทรั๊คติดกล้องที่มีความพิเศษ ซึ่งได้ใช้ถ่ายทำครั้งแรกจากภาพยนตร์เรื่อง Bad Boy II ที่มีชื่อว่า เดอะ เบย์ บัสเตอร์ รถทรั๊คคันนี้มีกรงม้วนอยู่ด้านนอกที่จะป้องกันกล้องหลายตัวถึงแม้ว่าคุณจะจอดมันไว้ตรงกลางของฉากระเบิดที่รุนแรงขนาดไหน เฟรซิเออร์อธิบาย “แทนที่จะให้กรงม้วนอยู่ภายในรถ พวกเราสร้างให้มันอยู่ด้านนอกเพื่อป้องกันทั้งตัวรถและกล้อง เมื่อถึงเวลาที่เรามีกล้องถึงสามตัวติดตั้งอยู่บนรถข้างในกรงม้วน เพราะฉะนั้นเมื่อเราวิ่งรถบรรทุกไปที่รถยนต์และทำให้มันคว่ำลง บรรดากล้องก็ยังอยู่ตรงนั้น และนี่แหละ คือ เบย์ บัสเตอร์ ”
เคนนี่ เบทส์ ผู้ประสานงานด้านสตั๊นท์ ซึ่งอยู่เบื้องหลังวงล้อของ เบย์ บัสเตอร์ในหลาย ๆ ฉากยืนยันว่า “ผู้ชมจะได้เห็นการถูกทำลายและจะรับได้ถึงความรู้สึกของความเคลื่อนไหว มากมายกว่าที่พวกเขาเคยได้รับ เพราะว่าพวกเขาเหมือนนั่งอยู่กับเราด้วย”
เบทส์ผู้ซึ่งเป็นคนออกแบบ รถติดกล้องที่เป็นพิเศษ ซึ่งได้รับชื่อจาก เขาเอง: คือ เดอะ เบทส์ คาร์ท ซึ่งเป็นหนึ่งใน โกคาร์ทที่มีความเร็วสูง ซึ่งใช้กล้องที่ติดรีโมท คอนโทรลอยู่ตรงส่วนหน้าและส่วนหลังของรถ ความสามารถของมันนั้นคือความเคลื่อนไหวได้จาก ศูนย์ถึง 130 ไมล์ต่อชั่วโมงโดยไม่มีการแกว่ง มันจะทำให้ผู้กำกับการแสดงสามารถติดตามการเคลื่อนไหวของการไล่ล่าทางรถยนต์หรือตอนวิ่งหนีได้อย่างปลอดภัยและด้วยความง่ายดายจากทางไกล ภาพยนตร์เรื่อง The Island นี้เป็นการเริ่มต้นการใช้ เบทส์ คาร์ท และมันทำงานได้อย่างที่วางแผนเอาไว้ทีเดียว
ส่วนที่เป็นครึ่งหลังของภาพยนตร์ที่เป็นฉากสตั๊นท์ที่ใหญ่ที่สุดของภาพยนตร์เริ่มในฉากที่ลินคอร์นและจอร์แดนนั้นขี่ เวสป์ ลอยไปผ่านกลางเมือง ลอสแอนเจลิสและชนเข้ากับตึกระฟ้าที่มีความสูง 70 ชั้น และไปจบลงด้วยการแขวนตัวอยู่กับป้ายสัญลักษณ์ตัว อาร์ ซึ่งมี เฮลิคอปเปอร์อยู่บินวนอยู่รอบ ๆ พวกเขา
ทุกคนในทีมงานนักแสดงและทีมงานสร้างรู้ว่ามันไม่มีโอกาสจะทำเทคที่สองสำหรับงานแอ๊คชั่นที่ซับซ้อนเช่นนี้ เพราะฉะนั้นทีมงานต้องใช้กล้องถึง 13 ตัว เพื่อเก็บภาพในทุกมุมเท่าที่จะทำได้
เฟรซิเออร์เล่า “โดยปกติแล้วบางส่วนของฉากแอ๊คชั่นนั้นต้องทำให้เสร็จสมบูรณ์โดยเทคนิคดิจิตัล เอฟเฟ๊คแต่ส่วนมากของมันเป็นของจริง นั่นคือส่วนที่ ยวนและ สการ์เล็ตต์ต้องอยู่ในโลโก้รูปตัว อาร์แล้วมองลงมาผ่านชั้นของตึก มันแน่นอนอยู่แล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะมีการถ่ายทำทุกอย่างซ้ำอีกครั้งแต่กับ ไมเคิล มันจะเป็นแบบว่า เราจะต้องทำแบบนั้นอีกและพวกเราจะต้องทำให้มันเหมือนกับครั้งแรก พวกเราเรียกมันว่า เบย์เฮม” เขาเล่า “มันเป็นสไตล์ของ ไมเคิล เบย์: ว่าคุณต้องเตรียมตัวให้พร้อมอยู่ในทุกขณะ และ คุณต้องให้กับมันถึง 110 เปอร์เซ็นต์ แต่นั่นแหละเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความตื่นเต้นเร้าใจที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งในทีมงานภาพยนตร์ของเขา; มันไม่มีเวลาไหนเลยที่น่าเบื่อ”
ฉากแอ๊คชั่นอย่างที่ทำในเรื่องนี้ ต้องมีการวางแผนกันอย่างไม่รู้จบเพราะความปลอดภัยถือเป็นส่วนสำคัญที่สุด “พวกเราพยายามผลักดันให้มันออกมาดี แต่มันต้องปลอดภัยหรืออีกทีหนึ่งคือเราก็ไม่ทำมัน ” เฟรซิเออร์ย้ำ “เคนนี่ เบทส์ นั้นมีความคำนึงถึงทางด้านความปลอดภัยเป็นอย่างสูง เพราะว่าในที่สุดแล้ว พวกเราทุก ๆ คนก็รู้ดีว่ามันก็เป็นแค่หนังเรื่องหนึ่ง”
เบย์กล่าวเสริม “เคนนี่และตัวผมย้อนกลับไปเมื่อ 15 ปี ที่แล้ว; เขาเป็นเหมือนพี่ชายของผม พวกเราชอบที่จะท้าทายซึ่งกันและกันโดยทำอะไรที่มันยิ่งใหญ่กว่าและดีกว่า สิ่งที่ผมรักเกี่ยวกับความเป็นตัวเขาก็คือเขามีหัวทางด้าน ฟิสิกค์ที่ดีทีเดียว เขาชอบที่จะคิดถึงสามหรือ สี่ก้าวไปข้างหน้าว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า เพราะว่ามีหลายคนที่ต้องเสี่ยงกับพวกเราในหลายสถานการณ์ และเราก็ต้องการให้มันออกมาด้วยความปลอดภัยมากที่สุดเท่าที่จะทำได้”
การคำนึงถึงความปลอดภัยไว้ก่อนนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนักแสดงต้องเล่นบทแอ๊คชั่นด้วยตัวเอง “ยวนและ สการ์เล็ตต์นั้นอยู่ในตำแหน่งที่ล่อแหลมและท้าทาย แต่เขาสองคนเป็นพวกชอบผจญภัย” เบทส์ยอมรับ “เราให้เขาหลบ ดำน้ำ คลาน วิ่ง กระโดด ตกลงมา ปีน ... พวกเขาต้องเปียกน้ำ ทำให้แห้ง สกปรก แต่ในทุกอย่างที่ผ่านมาพวกเขารู้สึกว่ามันเหมือนกีฬาที่ยอดเยี่ยมอย่างหนึ่ง”
“ฉันไม่เคยได้ทำอะไรแบบนี้มาก่อนเลย; มันทำให้คุณต้องรู้สึกพร้อมอยู่ตลอดเวลา” โจแฮนสันยอมรับ เธอเล่าว่าทีมงานสตั๊นท์นั้นต้องทำงานที่ท้าทายมากว่านี้เพราะตอนที่เธอถ่ายทำอยู่นั้นเธอเพิ่งหายป่วยจากการเป็นทอลซิลอักเสบ เพราะฉะนั้นเธอจะมีเวลาฝึกฝนร่างกายเพื่อรับบทนี้น้อยมาก แต่ยังไงก็ตาม เธอกล่าวต่อ “มันเป็นเรื่องน่าสนใจที่จะผลักดันตัวเองไปจนสุดความสามารถ ฉันไม่เคยต้องวิ่งหนีเพื่อเอาชีวิตรอด แต่ต้องมาทำทุกวันตอนเข้าฉาก มันแน่นอนอยู่แล้วว่ามันทำให้คุณอยู่ในที่ ๆ แตกต่างไป รวมทั้งทางร่างกายของคุณด้วย”
จุดจบที่จุดเริ่มต้น
ในอาทิตย์สุดท้ายของถ่ายทำหลัก ๆ นั้นเป็นการเก็บภาพฉากภายใน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นฉากในตอนแรกเริ่มของภาพยนตร์คือส่วนที่เป็นสถานที่กักกันพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกซึ่งทีมงานและทีมนักแสดงรู้กันในชื่อที่เรียกกันว่า เซนเตอร์วิลล์ การผสมผสานอย่างไร้รอยต่อของฉากใหญ่และเทคนิคสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากเครื่องคอมพิวเตอร์ เมืองใต้ดินซึ่งประกอบไปด้วย ตึกสามชั้นซึ่งครอบคลุมไปด้วยสถานที่ทำงานและสถานที่พักผ่อนที่เรียกว่า เซ็นทรัล เอเทรี่ยม
ไนเจิล เฟล์ฟ ซึ่งเป็นผู้กำกับฝ่ายศิลป์กล่าวว่า “พวกเราต้องการให้ เซ็นเตอร์วิลล์ดูเหมือนอะไรที่กองทัพอาจจะสร้างขึ้นถ้าต้องมีประชากรจำนวนถึง 100,000 คนในเหตุการณ์ร้ายแรง เพราะฉะนั้นก่อนที่จะเริ่มเรื่องราวของเรา มันได้รับการเปลี่ยนแปลงไปเป็นสิ่งแวดล้อมที่เหมือนสปาของโลกอนาคต ซึ่งผู้ที่อาศัยอยู่มีความเชื่อว่าพวกเขาอาศัยอยู่บนพื้นโลกและไม่รู้เลยว่าพวกเขาอยู่ใต้ดินและเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกของกองทัพมาก่อน”
เฟล์ฟ ได้ทำการค้นคว้าจากหนังสือหลายเล่ม และต้องตรวจสอบโครงสร้างมากมายเพื่อออกแบบเมืองใต้ดินที่น่าเชื่อถือนี้ขึ้น “ไมเคิลมีหนังสือดี ๆ เกี่ยวกับโครงสร้างใต้ดินซึ่งมีอิทธิพลมาก ผมยังได้ดูการออกแบบของแท่นขุดเจาะน้ำมันในทะเลเหนือซึ่งเป็นโครงสร้างที่น่าทึ่ง ด้วยตึกที่เป็นคอนกรีตสูงหลายร้อยฟุตสูงขึ้นไปก่อนที่จะอยู่ใต้น้ำ ผมจะดูจากสิ่งปลูกสร้างที่ดูแล้วมหึมาเท่านั้น”
เฟลฟ์ ได้ออกแบบ เซ็นเตอร์วิลล์ ด้วยคอนกรีต กระจกและเหล็กด้วยเส้นบาง ๆ และมุมที่แข็งแรง เกือบไม่มีสีสัน ซึ่งทำให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างสถานที่ได้รับการควบคุมกับโลกที่มีแต่ความสับสนวุ่นวาย ที่ลินคอร์นและ จอร์แดนต้องเผชิญภายนอก พวกแอ๊คเนทส์นั้นจะมองท้องฟ้าได้เพียงแค่ผ่านทางหน้าต่าง โดยไม่รู้เลยว่าสิ่งที่พวกเขาเห็นนั้นเป็นเพียงการฉายภาพเพื่อให้เกิดภาพลวงตาว่าพวกเขากำลังอาศัยอยู่บนโลกมนุษย์
ทีมงานฝ่ายฉากนั้นยังได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับ เดบเบอร่า แอล สก๊อตต์ ซึ่งเป็นฝ่ายออกแบบเครื่องแต่งกาย เพื่อให้การออกแบบออกมาเข้ากัน รวมไปถึงเครื่องแบบที่สวมใส่สำหรับพวกที่อยู่อาศัยและพนักงาน สก๊อตต์เสนอว่า “ฉันให้สีสันมากเกินไปไม่ได้หรือว่ามันอาจจะนำเอาความแข็งที่มีอยู่ในตัวไนเจิ้ลออกไป งานของฉันคือสร้างสรรค์เครื่องแต่งกายที่เข้ากัน ถ้าเราเอาเสื้อสีเหลืองหรือแดงสดให้ใครสักคนหนึ่งใส่ เราจะทำให้โทนสีที่เราพยายามสร้างขึ้นมาเสียไปทั้งหมดแต่แทนที่จะให้สีออกมาเป็นขาวอย่างเดียว เครื่องแบบจะมีแถบสะท้อนแสงที่เป็นผ้าและเดินเส้นซึ่งจะทำให้เห็นความเป็นกราฟฟิคมากขึ้น”
เธอยอมรับว่าเครื่องแต่งกายเดียวกันนี้จะต้องสวมใส่โดยนักแสดงอีกหลายคนรวมทั้งนักแสดงประกอบอีกนับร้อยคน สก๊อตต์ยอมรับว่า “เครื่องแต่งกายของ พวก แอ๊คเนทส์ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสวมใส่ เรามีคนหลายคนที่นั่นและจะมองพวกเราว่า สีขาว? คุณล้อเล่นหรือเปล่า? มันเป็นการท้าทายที่จะคิดการออกแบบที่ใส่แล้วมองดูดีกับทุก ๆ คน เราสรุปด้วยการเลือกความง่าย สะอาด ใส่ได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชายที่ไม่ได้ให้ความสวยงามแต่ใช้งานได้ดี”
ฉากที่ใช้เป็นเมือง เซ็นเตอร์วิลล์นั้นได้ถูกสร้างขึ้นที่ ดาวนีย์ สตูดิโอ ซึ่งมีเนื้อที่ 80 เอเคอร์และเคยเป็นฐานทัพยิงจรวดของนาซ่ามาก่อน ซึ่งในตอนนี้ถือว่าสถานที่ถ่ายทำที่ใหญ่ที่สุดในลอสแอนเจลิส เวลาห้าเดือนในการสร้างฉากทำให้ทั้งตึกของโรงถ่ายเต็มไปด้วย ฉากใหญ่ ๆ อย่าง เซ็นทรัล เอเทรี่ยม ซึ่งอยู่ใน ตึกหนึ่งที่มีเนื้อที่ 627,000 ตารางฟุต
เบย์ให้ความเห็นว่า “ผมบอกกับไนเจิ้ล แล้วว่า แทนที่เราจะแยกฉากทุกอย่างออก ผมอยากให้ทุกอย่างมันเกี่ยวเนื่องกัน เพื่อที่มันจะเห็นในจอว่ามันมีความใหญ่กว่าและยาวกว่า มันกลายเป็นฉากที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่ผมเคยถ่ายทำมา ผมรู้สึกหวาด ๆ ที่จะต้องถ่ายทำมัน เพราะมันยาวถึงห้าสนามฟุตบอล ผมยังไม่รู้เลยว่าเราจะให้แสงมันได้อย่างไร”
เอเทรี่ยม นูทริชั่น พลาซ่า ซึ่งเป็นสถานที่ ๆ พวก แอ๊คเนทส์ใช้ร่วมกันรับประทานอาหาร นั้นสร้างอยู่ใน แท้งค์น้ำขนาด 65,000 ตารางฟุต — ซึ่งใหญ่ที่สุดในอเมริกาเหนือ — ตั้งอยู่ในตึก หนึ่งและจะถูกทิ้งให้ว่างในระหว่างการถ่ายทำ
ออฟฟิศของเมอร์ริคนั้นได้รับการออกแบบเป็นพิเศษเพื่อสะท้อนให้เห็นถึงตำแหน่งของเขา ตั้งแต่รูปของ ปิกัสโซ่ที่อยู่บนกำแพง “เขาเป็นนักธุรกิจที่ชาญฉลาด” เบย์สังเกต “ผมอยากให้เขามีรสนิยมที่ไม่มีที่ติ เขาได้รับการเลี้ยงดูให้เป็นพวกที่ร่ำรวยที่สุดในโลก และเขาต้องมีลักษณะของผู้ที่ถูกขัดเกลามาเป็นอย่างดี”
สตูดิโดของ ดาวนี่ย์ นั้นเล็กกว่าอยู่ที่ตึกสองและเป็นที่ตั้งของ ฉากในโลกอนาคต: ไซโลที่ใช้ฟักตัว ซึ่งเป็นที่พักของพวกแอ๊คเนทส์ที่ยังเป็นตัวอ่อน และ ห้องฟาวเดชั่น ซึ่งเป็นสถานที่ ๆ พวกแอ๊คเนสกำเนิดใหม่จะได้รับการปลูกถ่ายความทรงจำของชีวิตที่ไม่เคยเกิดขึ้น มีบางส่วนที่เป็นพิเศษสำหรับห้อง ฟาวเดชั่นนั่นคือร่างกายของพวก แอ๊คเนทส์ — จะเห็นบางคนอยู่ในหลายขั้นตอนของการพัฒนา — และได้สร้างจาก เกร็ก นิโคเทโร่ซึ่งเป็นศิลปินทางเอฟเฟ๊คที่มีชื่อเสียงและทีมงานของเขาที่ บริษัท เคเอ็นบี อีเอฟเอ็กซ์ กรุ๊ป ในการสร้างสรรค์ร่างกายนั้น นิโคเทโร่ได้แรงบันดาลใจมาจาก พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ของ แคลลิฟอร์เนีย ในงานแสดง “Body Works The Anotomical Exhibition of Real Human Bodies”
ในภาพยนตร์ เราจะได้เห็น การกำเนิดของ แอ๊คเนทส์คนหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นใน Product Extraction Room เบย์นั้นค่อนข้างเจาะจงเกี่ยวกับท่าทีที่เขาต้องการจะแสดงให้เห็นในระหว่างช่วงเวลาการเปิดเผยนี้ “ผมต้องการให้มันเป็นเหมือนขั้นตอนการเกิดซึ่งทำได้โดยคนขับรถบรรทุก ผมอยากให้มันรู้สึกถึงกิเลส เหมือนกับงานไหนก็ได้ที่ใครสักคนต้องทำมันอยู่ทุกวี่ทุกวัน ผมเคยถาม แคสเปี่ยน (เทรดเวลล์-โอเว่น) ว่าช่วยให้สมมุติฐานว่าหนังเรื่องนี้เกี่ยวกับอะไร ผมชอบคำตอบของเขาจริง ๆ เลยว่า พวกเรากินเนื้อ แต่ไม่อยากจะเห็นว่ามันเกิดอะไรกันขึ้นในโรงฆ่าสัตว์ นั่นแหละเป็นสิ่งที่ผมอยากให้ฉากนี้มันเป็น”
วอลเตอร์ ปาร์คสกล่าวว่า “หนังเรื่องนี้ไม่ใช่ เรื่องเกี่ยวกับความผิดความถูกทางจิตใจของมนุษย์โคลน แต่ถึงแม้ว่าคุณพยายามที่จะหลักเลี่ยงมัน คุณไม่สามารถทำมันได้ พวกเขาแทรกซึมอยู่ในทุก ๆ ฉากและในที่สุด มันก็โอเค”
ไมเคิล เบย์กล่าว “เมื่อเราคุยกันเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ อย่างแรกที่ผมพูดก็คือผมอยากให้คนดูออกจากโรงหนังไปแล้วคิดว่า ถ้าฉันสามารถจะมีมนุษย์โคลน ฉันจะมีไหม? มันเป็นหนึ่งในปัญหาหลายปัญหาที่พวกเราคิดมันก่อนที่จะทำหนังเรื่องนี้ พวกเราทุกคนอยากมีอายุยืนยาว; มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ..แต่คุณต้องจ่ายเท่าไรกัน ?”
นักแสดง
ยวน แม๊คเกรเกอร์ (ลินคอล์น ซิกซ์-เอคโค่/ทอม ลินคอล์น) เป็นนักแสดงที่ได้รับรางวัล และเป็นที่รู้จักกันในความสามารถที่หลากหลายและการเลือกบทในการแสดง
(ยังมีต่อ)

แท็ก ธรรมชาติ  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ