กรุงเทพฯ--21 ธ.ค.--สนง.เกษตรปักกิ่ง
ตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคมเป็นต้นมา รัฐบาลกลางและท้องถิ่นต่างออกมาตรการมากมายเพื่อยับยั้งราคาพืชผักที่เพิ่มขึ้นเร็วเกินไป ราคาพืชผักทั่วประเทศจึงทยอยกันลดราคา บางพื้นที่ลดลงมากกว่าร้อยละ ๓๐ แต่เกษตรกรกลับไม่ได้รับอานิสงค์อะไรจากการลดราคาของพืชผักกลับกลายเป็นขาดทุน
ซึ่งจากการวิเคราะห์สาเหตุการเพิ่มราคาพืชผักครั้งนี้พบว่า ปัญหาพืชผักราคาแพงไม่ได้เกิดจากอุปทานไม่เพียงพอ แต่เป็นเพราะต้นทุนการผลิตและแรงงานที่แพงขึ้นและสาเหตุปัจจัยการขนส่ง ในการผลิตพืชผักนั้นเกษตรกรอยู่ในห่วงการผลิตอันดับสุดท้าย ความไม่สมมาตรของข้อมูล (information asymmetry) ส่งผลให้เกษตรกรไม่มีอำนาจในการกำหนดราคา ผู้ค้าคนกลางจึงกลายเป็นผู้คอยบงการตลาดและราคาพืชผัก ยามที่พืชผักขึ้นราคากลุ่มที่ได้รับผลประโยชน์ที่สุดคือพ่อค้าคนกลาง แต่ยามที่ราคาพืชผักตกต่ำกลุมที่เสียผลประโยชน์มากที่สุดกลับเป็นเกษตรกร เป็นเพราะว่าผู้ค้าคนกลางกดราคารับซื้อจากเกษตรกร และจำหน่ายให้กับผู้บริโภคในราคาสูง
ปัจจุบัน เมื่อใดที่สินค้าเกษตรเช่น พืชผัก เนื้อสัตว์เป็นต้นเพิ่มราคา การรักษาเสถียรภาพด้านราคาจะกลายเป็นภาระกิจสำคัญของรัฐบาลไปโดยปริยาย ซึ่งต้องแลกมาด้วยผลประโยชน์ของเกษตรกร ย้อนไปเมื่อสามปีที่แล้วที่เนื้อหมูราคาแพง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงได้เร่งออกมาตรการสนับสนุนและอุดหนุนให้เกษตรกรเลี้ยงสุกร แต่ต่อมาไม่นานราคาเนื้อหมูก็ตกต่ำ ผลที่ตามมาคือฟาร์มสุกรและเกษตรกรขาดทุนกันระนาว ย้อนกลับมามองสถานการณ์ปัจจุบัน ที่ตอนนี้ราคาสินค้าเกษตรอยู่ในระดับสูง รัฐบาลเลือกใช้มาตราการตรึงราคาหรือกดราคาไว้ แต่เมื่อราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ กลับไม่มีแผนการไว้ประคองเกษตรกร ส่งผลให้เกษตรกรขาดความกระตือรือร้นในการผลิต เมื่อเกษตรกรไม่มีความกระตือรือร้นในการผลิต การจะรับประกันอุปทานสินค้าให้เพียงพอก็เป็นไปได้ยาก
ดังนั้น ประเด็นสำคัญของการรักษาเสถียรภาพของราคาจึงอยู่ที่เกษตรกรได้รับผลประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมก่อน จึงควรส่งเสริมให้เกษตรกรได้เข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดราคาสินค้าเกษตรด้วย และสร้างกลไกในการพัฒนาการผลิตและจำหน่ายสินค้าเกษตรที่มีประสิทธิภาพในระยะยาวที่จะส่งเสริมให้เกษตรกรมีแนวคิด มีแนวทางปฏิบัติ และเพิ่มรายได้ในที่สุด
ที่มา http://www.farmer.com.cn/gd/snwp/201012/t20101216_602705.htm วันที่ ๑๖ ธ.ค. ๒๕๕๓