ฟิทช์ประกาศคงอันดับเครดิตของธนาคารไทยพาณิชย์ ที่ ‘BBB+’ แนวโน้มมีเสถียรภาพ

ข่าวทั่วไป Friday June 29, 2007 13:09 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--29 มิ.ย.--ฟิทช์ เรทติ้งส์
ฟิทช์ เรทติ้งส์ ประกาศคงอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาว (Foreign Currency Issuer Default Rating (“IDR”)) ของธนาคารไทยพาณิชย์ (“SCB”) ที่ระดับ ‘BBB+’ อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะสั้นที่ระดับ ‘F2’ อันดับความแข็งแกร่งทางการเงินที่ระดับ ‘C’ และอันดับเครดิตสนับสนุนที่ระดับ ‘2’ และอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศของหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิไม่มีหลักประกันและหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่ระดับ ‘BBB+’ และ ‘BBB’ ตามลำดับ อันดับเครดิตสนับสนุนขั้นต่ำ (Support Rating Floor) ของธนาคารที่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงที่ระดับ ‘BBB-’ (BBB ลบ) ในขณะเดียวกัน ฟิทช์ประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศ (National Ratings) ระยะยาวที่ระดับ ‘AA(tha)’ อันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้นที่ระดับ ‘F1+(tha)’ อันดับเครดิตภายในประเทศของหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิไม่มีหลักประกันระยะสั้นที่ระดับ ‘F1+(tha)’ และอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่ระดับ ‘AA-(tha)’ (AA ลบ (tha)) แนวโน้มอันดับเครดิตของธนาคารคงเดิมที่มีเสถียรภาพ
อันดับเครดิตของ SCB สะท้อนถึงการฟื้นตัวที่ต่อเนื่องของผลกำไรจากการดำเนินงานหลักและความสามารถในการทำกำไร เนื่องจากคุณภาพสินทรัพย์ที่ปรับตัวดีขึ้นและการขยายตัวของสินเชื่อ ระดับค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญและสถานะของเงินกองทุนของธนาคารก็ปรับตัวแข็งแกร่งขึ้นด้วยเช่นกัน SCB เป็นหนึ่งในธนาคารที่มีเครือข่ายภาคธุรกิจและภาครายย่อยที่แข็งแกร่งที่สุดในประเทศไทย
ฟิทช์เชื่อว่ามีความเป็นไปได้อย่างสูงที่ธนาคารจะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลหากต้องการความช่วยเหลือ ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ (“CPB”) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นภาคเอกชนรายเดียวที่ใหญ่ที่สุดของ SCB รวมทั้งการสนับสนุนในอดีตของกระทรวงการคลัง (“MOF”) ส่วนแบ่งการตลาดทางด้านเงินฝากของ SCB ที่สูง และความสำคัญที่มีต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศไทย อันดับเครดิตของ SCB ขณะนี้ถูกจำกัดโดยอันดับเครดิตของประเทศไทย ซึ่งได้รับการจัดอันดับเครดิตที่ระดับ ‘BBB+’ แนวโน้มมีเสถียรภาพ การปรับเพิ่มขึ้นของอันดับเครดิตของธนาคารในอนาคตจะเกิดขึ้นจากการปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้และหนี้ที่ผ่านการปรับโครงสร้างหนี้อย่างต่อเนื่องในอนาคต รวมทั้งการปรับตัวที่ดีขึ้นของโครงสร้างทางเศรษฐกิจและระบบธนาคารพาณิชย์ของไทย ซึ่งรวมถึงกฎเกณฑ์การกำกับดูแลและกรอบทางกฎหมาย
ถึงแม้ว่าผลการดำเนินงานของ SCB อาจได้รับผลกระทบโดยสภาพแวดล้อมในการประกอบธุรกิจที่อ่อนแอในปี 2550 แต่เครือข่ายธุรกิจและลูกค้ารายย่อยที่แข็งแกร่งของธนาคารน่าจะช่วยสนับสนุนผลกำไรของธนาคาร การขยายธุรกิจอย่างรวดเร็วในภาครายย่อยของธนาคาร โดยเฉพาะสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ ซึ่งถูกปล่อยผ่านบริษัทลูกคือ บริษัทไทยพาณิชย์ ลีสซิ่ง (SCBL) และการปล่อยสินเชื่อไปยังภาคธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) น่าจะกระทบต่ออัตราผลตอบแทนและอาจทำให้มีต้นทุนการกันสำรองหนี้เพิ่มขึ้น
ในปี 2549 ผลกำไรสุทธิของ SCB ลดลงมาอยู่ที่ 13.6 พันล้านบาท จาก 19.0 พันล้านบาทในปี 2548 เนื่องจากค่าใช้จ่ายทางภาษีและการตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญที่เพิ่มขึ้นเพื่อปฏิบัติตามแนวทางการตั้งค่าเผื่อหนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งอิงตามมาตรฐานการบัญชี IAS39 อย่างไรก็ตาม ผลกำไรก่อนหักค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญและภาษีเงินได้เพิ่มขึ้น 17% มาอยู่ที่ 24.7 พันล้านบาทในปี 2549 จาก 21.1 พันล้านบาทในปี 2548 ในไตรมาส 1 ปี 2550 ผลกำไรสุทธิลดลงมาอยู่ที่ 3.7 พันล้านบาท จาก 4.2 พันล้านบาท ในไตรมาส 1 ปี 2549 สาเหตุหลักมาจากการตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามผลกำไรจากการดำเนินงานหลักยังคงปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยผลกำไรก่อนหักค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญและภาษีเงินได้เพิ่มขึ้น 3.4%
หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของ SCB อยู่ที่ระดับ 61.2 พันล้านบาท หรือ 8% ของสินเชื่อรวม ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2550 ธนาคารได้ตั้งเป้าหมายที่จะลดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ให้อยู่ที่ระดับน้อยกว่า 6% ภายในสิ้นปี 2550 ระดับค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญของธนาคารได้ลดลงมาที่ 52.9 พันล้านบาทเนื่องจากการบันทึกหนี้สูญตัดบัญชี ซึ่งระดับค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญนี้อยู่ที่ 86.4% ของหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ซึ่งยังคงเป็นระดับที่สูงที่สุดแห่งหนึ่งของธนาคารไทย
ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2550 เงินกองทุนขั้นที่ 1 ของธนาคารอยู่ที่ระดับ 78.9 พันล้านบาท หรือ 11.1% ของสินทรัพย์เสี่ยง ในขณะที่เงินกองทุนทั้งหมดของธนาคารอยู่ที่ระดับ 99.2 พันล้านบาท หรือ 13.9% ซึ่งเป็นระดับที่แข็งแกร่ง
ธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งก่อตั้งโดยพระบรมราชานุญาต ในปี 2447 เป็นธนาคารที่เก่าแก่ที่สุดและใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศไทยโดยมีส่วนแบ่งการตลาดทางด้านสินเชื่อและเงินฝากประมาณ 13% ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2550 สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์มีสัดส่วนการถือหุ้นอยู่ที่ 23.72% SCB มีบริษัทในเครือชั้นนำในธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์แก่ผู้บริโภค การดำเนินงานด้านวาณิชธนกิจ การบริหารกองทุน และธุรกิจประกัน
ติดต่อ
ชัยพัฒน์ ไพฑูรย์, Vincent Milton, กรุงเทพฯ +662 655 4762/4759
David Marshall, ฮ่องกง +852 2263 9963
หมายเหตุ : การจัดอันดับเครดิตภายในประเทศ (National Ratings) ใช้วัดความน่าเชื่อถือของบริษัทในประเทศที่อันดับเครดิตของประเทศนั้นอยู่ในระดับต่ำกว่าอันดับเครดิตระดับเพื่อการลงทุน หรือมีอันดับเครดิตอยู่ในระดับต่ำแม้จะอยู่ในระดับเพื่อการลงทุน อันดับเครดิตของบริษัทที่ดีที่สุดของประเทศจะอยู่ที่ระดับ “AAA” และการจัดอันดับเครดิตอื่นในประเทศ จะเป็นการเปรียบเทียบความเสี่ยงกับบริษัทที่ดีที่สุดนี้เท่านั้น อันดับเครดิตภายในประเทศนั้นถูกออกแบบมาเพื่อนักลงทุนภายในประเทศในแต่ละประเทศนั้นๆ และมีสัญลักษณ์ที่กำหนดไว้ต่อท้ายจากอันดับเครดิตสำหรับแต่ละประเทศ เช่น “AAA(tha)” ในกรณีของประเทศไทย อันดับเครดิตภายในประเทศนั้นไม่สามารถนำไปใช้เปรียบเทียบระหว่างประเทศได้
คำจำกัดความของอันดับเครดิตและการใช้อันดับเครดิตดังกล่าวของ ฟิทช์ เรทติ้งส์ สามารถหาได้จาก www.fitchratings.com อันดับเครดิตที่ประกาศ หลักเกณฑ์และวิธีการจัดอันดับเครดิต ได้แสดงไว้ในเว็บไซต์ดังกล่าวตลอดเวลา หลักจรรยาบรรณ การรักษาข้อมูลภายใน ความขัดแย้งทางผลประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้น แนวทางการเปิดเผยข้อมูลระหว่างบริษัทในเครือ กฎข้อบังคับรวมทั้งนโยบายและกระบวนการที่เกี่ยวข้องอื่นๆของฟิทช์ ได้แสดงไว้ในส่วน ‘หลักจรรยาบรรณ’ ในเว็บไซต์ดังกล่าวเช่นกัน

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ