กรุงเทพฯ--6 ม.ค.--สำนักงานที่ปรึกษาการเกษตร ประจำนครปักกิ่ง
กรมสุขอนามัยจีนเตรียมออกประกาศห้ามใช้สารฟอกขาวแป้งมัน ๒ ชนิด ได้แก่ benzoyl peroxide และ calcium peroxide เนื่องจากมีการใช้สารสองชนิดนี้ในปริมาณมากเกินจำเป็น ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายและสร้างความวิตกกังวลต่อผู้บริโภคชาวจีนในปัจจุบัน คาดมีผลบังคับใช้ภายในเดือนธันวาคมปีถัดไป
ประกาศฯได้เริ่มเสนอตั้งแต่ปี ๒๕๔๓ โดยสมาคมธัญพืชแห่งชาติจีน และสำนักงานธัญพืชแห่งชาติได้นำไปพิจารณาในปี ๒๕๔๗ ต่อมากระทรวงสาธารณสุขได้ร่างประกาศฯในปี ๒๕๕๐ แต่ก็ได้ยกเลิกไป จนกระทั่งในครั้งนี้ซึ่งเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณสุขได้เตรียมออกประกาศฯหลังจากจีนได้เพิ่มความเข้มงวดในเรื่องกฎหมายความปลอดภัยทางอาหารประเทศตั้งแต่ปี ๒๕๕๒ เจ้าหน้าที่ประจำกระทรวงสารสนเทศจีน เผยว่า “จีนได้เริ่มอนุญาตให้ใช้ benzoyl peroxide ตั้งแต่ปี ๒๕๒๙ โดยให้ผสมในแป้งมันปริมาณ ๖๐ มิลลิกรัมต่อแป้งจำนวน ๑ กิโลกรัม ตามมาตรฐานของคณะกรรมการอาหารสากล (Codex Alimentarius Commission)
ซึ่งได้กำหนดให้ใช้ในปริมาณ ๗๕ มิลลิกรัม การออกประกาศฯในครั้งนี้มีผู้สนับสนุนแนวคิดให้ยกเลิกใช้สารฟอกขาวฯนี้ถึงร้อยละ ๙๑ จากโพลสำรวจความเห็นในเวบไซต์จำนวน ๓๖,๖๐๐ คน ซึ่งคาดว่าหากร่างประกาศฯฉบับนี้ผ่านการอนุมัติ ก็จะมีผลบังคับใช้กับสินค้าแป้งมันนำเข้าด้วย ปัจจุบันประเทศพัฒนาแล้วเช่นอเมริกา แคนาดา ญี่ปุ่น ฮ่องกง ไต้หวัน ก็ยังคงมีการอนุญาตให้ใช้ benzoyl peroxide” นาย Sang Liwei นิติกรในปักกิ่ง ตัวแทนเข้าร่วมประชุมฟอรัมความปลอดภัยอาหารโลก กล่าวว่า “แป้งมันสีขาวที่ผู้บริโภคชาวจีนเคยซื้อ ในตลาดเกือบทั้งหมดผสมสารฟอกขาวที่ช่วยทำให้ราคาผลิตภัณฑ์ถูกลง ” Benzoyl peroxide และ calcium peroxide เป็นสารออกซิเดนท์ที่ช่วยเร่งการเปลี่ยนแปลงและฟอกสีขาวในแป้งสาลี แต่ก็มีผู้เชี่ยวชาญบางท่านกล่าวว่า สารชนิดนี้มีอันตรายต่อสุขภาพ เนื่องจากมีตัวออกซิเดนท์ที่ทำลายสารอาหารในแป้งมันเช่นสารเบต้าแคโรทีน ซึ่งหากใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานก็จะ ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคทางระบบไหลเวียนโลหิต
สำนักงานควบคุม ตรวจสอบคุณภาพ และกักกันโรคแห่งชาติจีน (AQSIQ) เผยว่า จากผลการสำรวจล่าสุด พบว่าผู้ผลิตมีการใช้สารเติมแต่งอาหารในปริมาณที่มากเกินจำเป็น เช่น เมือง Guanxian ในมณฑลซานตง พบว่ามีแป้งมันจำนวนกว่าร้อยละ ๑๕ ถูกตรวจพบว่ามีสารเติมแต่งมากเกินกำหนด แต่ก็มีหลายฝ่ายที่กังวลว่า หากยกเลิกการใช้สาร ๒ ตัวดังกล่าว จะทำให้ผู้ผลิตหันไปใช้สารตัวอื่น ซึ่งอาจมีผลเป็นพิษที่รุนแรงมากกว่าแทน