กรุงเทพฯ--10 ม.ค.--สหมงคลฟิล์ม
“ภวัต พนังคศิริ”
กลับมาหลอนจิตให้หลุดสุดแรงเกิด ด้วยอำนาจลึกลับมิอาจหยั่งรู้
ใน “คืนจิตหลุด” หนึ่งในโปรเจ็คต์ “หลุดสี่หลุด”
เรื่องนี้เป็นการเปลี่ยนแนวไปจากเดิมหรือเปล่า
จริงๆ มันก็ไม่ถึงกับเปลี่ยนแนว ถ้าหากได้ดูงาน ได้ดูเรื่อง มันก็ใกล้เคียงกับงานเดิมนะครับ
ครั้งแรกที่อ่านบทที่พี่เอกสิทธิ์ส่งให้เป็นอย่างไรบ้าง
จริงๆ ก่อนหน้าที่จะทำหนังเรื่องนี้ก็เคยติดตามผลงานของเอกสิทธิ์มาก่อนแล้ว ก็รู้สึกว่าผลงานของเขาดูหลุดๆ ดีเหมาะกับชื่อเรื่อง โดยส่วนใหญ่งานของเขาจะเป็นอย่างนั้น และพอได้อ่านเนื้อเรื่องก็รู้สึกว่ามันน่าสนใจจริงๆ แล้วเป็นหนังที่อยากทำ คือคุณเอกสิทธิ์กับผมก็พยายามที่จะพูดคุยกันตลอด ชอบอะไร อยากทำสไตล์ไหน เขาก็พยายามเอาข้อมูลจากผมไปส่วนหนึ่งเพื่อจะเอาไปทำเป็นพล็อตเรื่องขึ้นมา เราก็บอกข้อมูล ความต้องการ ความชอบของเราไปก็เลยออกมาเป็นเรื่อง “คืนจิตหลุด” ก็รู้สึกว่าเขาเขียนได้ออกมาตรงกับงานที่ผมถนัดเลยครับ
ธีมหลักของ “คืนจิตหลุด” เกี่ยวกับอะไร
มันเป็นเรื่องของอำนาจ คนที่ใช้อำนาจในทางที่ผิด เมื่อคนเรารู้สึกมีอำนาจขึ้นมา ซึ่งในเรื่องมันแทนด้วยปืน ถ้ารู้สึกว่ามีปืนแล้วมีอำนาจ แล้วผลร้ายที่ตามมาจากการใช้อำนาจแบบผิดๆ ผลสุดท้ายมันจะเป็นอย่างไร
มันเป็นไอเดียที่เกิดมาจากพี่ใหม่และพี่เอกสิทธิ์ร่วมแชร์ไอเดียกัน
คือเรื่องนี้เอกสิทธิ์เขามีพล็อตมา แล้วเขาก็มาขอไอเดียจากผม มันก็เหมือนการได้ร่วมแชร์ไอเดียกัน ต่างคนต่างร่วมแชร์เพื่อให้มันออกมาแล้วเหมาะกับสไตล์ผม
เรื่องราวของ “คืนจิตหลุด”
อย่างที่บอก มันเป็นเรื่องของคนที่รู้สึกว่ามันมีอำนาจ แต่พอมีอำนาจมันกลับเข้าใจผิดคิดว่าสามารถทำได้ทุกอย่าง มีแล้วไม่ต้องกลัวอะไร ก็เหมือนกับแก๊งอันธพาลในเรื่องที่ใช้อำนาจจากปืนกระบอกเดียวไปปล้นบ้านเขา แล้วหลบหนีเข้าไปในโรงพยาบาลร้าง แต่กลับไปเจอกับเกมประหลาดที่ต้องเอาบางสิ่งเข้าแลก บางสิ่งที่ว่าอาจจะถึงขั้นเอาชีวิตเข้าแลก แต่ว่าจะเป็นเกมอะไรต้องไปดูกัน
จุดเด่นของ “คืนจิตหลุด”
จุดเด่นมันน่าจะอยู่ที่การแสดง คือพี่ว่าเท่าที่เราเคยได้เห็นอนันดาจะดูเรียบๆ นิ่มๆ มาโดยตลอด แต่พอมาเรื่องนี้มันได้เห็นคาแร็คเตอร์ใหม่ของอนันดา ซึ่งถูกใจผมมาก มันดูเข้าทางดี ซึ่งอนันดาเขาทำให้การแสดงดูแข็งแรงขึ้นเยอะ เราจะได้เห็นการแสดงของอนันดาที่ไม่เคยเห็นว่าเขาจะมาเล่นบทแรงๆ แบบนี้ได้
มีการวางตัวนักแสดงไว้ยังไงบ้าง
คาแร็คเตอร์ของนักแสดงที่เขาวางไว้ตามสไตล์ที่ชอบอีกเหมือนกัน ผมจะชอบอะไรที่ดูเป็นแบดบอย แล้วเรารู้สึกว่ามันเหมาะกับหนังประเภทอย่างนี้ เราอยากได้คาแร็คเตอร์ตัวละครเลวๆ แล้วลักษณะของคนเลวที่เคยทำงานมาด้วย อันนี้พูดถึงตัวละครนะอย่างใน “นาคปรก” เรื่องนี้มันก็ใกล้เคียงกัน เพราะเรากำลังพูดถึงคนชั่วคนเลว
แล้วยังไงถึงมาลงตัวที่นักแสดงหลักทีมนี้
คือสำหรับ “อนันดา” (เอเวอริงแฮม) ผมชอบงานการแสดงของเขาอยู่แล้ว แล้วเรามีคาแร็คเตอร์อย่างนี้ ก็อยากให้อนันดาลองเล่นดู ลองเปลี่ยนดูจากการแสดงของอนันดาที่เราเคยเห็นๆกันอยู่ เรื่องนี้มันอาจจะเปลี่ยนคาแร็คเตอร์เขาไปเลย
สำหรับ “เอ็กซ์” (ฐิติ เวชบุล) ในเรื่องเราก็อยากได้ตัวละครตัวหนึ่งที่มันนิ่งพอสมควร ตัวละครของเอ็กซ์จะเป็นตัวที่นิ่ง แล้วมันเหมือนมีแผนและคอยคิดอะไรอยู่ข้างใน แล้วตัวเอ็กซ์เองเขาก็ตอบโจทย์ตัวนี้ได้ดี คือเขาก็เป็นนักร้องเก่าแล้วหายหน้าหายตาไปนานแล้วด้วย ก็เลยลองชวนมาเล่นดู คาแร็คเตอร์ก็ได้เลย
ส่วน “อิ๊คคิว” (พีระพล เสนาคุณ) เราอยากมีคาแร็คเตอร์ตัวหนึ่งที่ทำให้เรื่องนี้มันซอฟต์ลง เราไม่อยากให้หนังทั้งเรื่อง มู้ดและโทนมันเครียดไป เราอยากให้มีตัวละครซักตัวมาสร้างสีสันให้หนังบ้าง ซึ่งคาแร็คเตอร์ของอิ๊คคิวก็จะเป็นตัวบ้าๆ บอๆ ขี้กลัว เราก็ว่าคาแร็คเตอร์แบบนี้น่าจะอยู่ในหนังเรื่องนี้ด้วยซักตัว ก็เลยเลือกไปที่อิ๊คคิว ก็โอเค เล่นได้ตรงคาแร็คเตอร์ดีครับ
หนังส่วนใหญ่ของพี่ใหม่จะสื่ออารมณ์จากตัวผู้ชายเป็นหลัก เพราะมันให้ความรู้สึกที่รุนแรงกว่าหรือเปล่า
ผมว่าไม่เกี่ยวนะครับ ที่จริงเพศหญิงก็เสนอความรุนแรงได้ เพียงแต่ว่า ณ ช่วงเวลานั้นงานที่เราอยากทำมันคืออะไรมากกว่า ไม่ได้เจาะจงว่าต้องเป็นเพศชาย อย่างงานต่อไปก็อาจจะเป็นเพศหญิงบ้างแล้ว แต่ขออุบไว้ก่อน
โลเกชั่นที่ใช้ในเรื่องนี้
โลเกชั่นหลักในเรื่องนี้มันก็จะเป็นโรงพยาบาลร้าง มันดูมีอะไรที่บอกไม่ถูกเหมือนกัน เวลาที่เราเข้าไปในโรงพยาบาลร้างมันเหมือนมีอะไรอยู่ มันไม่ใช่แค่อาคารร้างนิ่งๆ ธรรมดาๆ แน่ๆ เพราะก่อนหน้านี้มันคงมีหลายชีวิตที่ผ่านมาวนเวียนอยู่ในนี้ แล้วกลิ่นอายที่มันมีอยู่ในโรงพยาบาลร้าง ผมว่ามันมาช่วยสร้างบรรยากาศให้กับหนังเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดีเลย ก็เลยเลือกเจาะจงมาที่โรงพยาบาลร้าง
ต้องเข้าไปเซ็ตอะไรเพิ่มเติมบ้าง
คือไม่ต้องเซ็ทอะไรมาก เพราะที่นี่ก็มีของมันมีอยู่แล้ว เราแค่คงความเป็นมู้ดแอนด์โทนของหนังให้มันได้อย่างที่เราต้องการพอ อย่างของผมก็อยากได้หนังที่ดูวัยรุ่นหน่อย ก็จะเพ้นต์ลายกราฟฟิตี้ลงไป แต่ว่าลายที่เพ้นท์ลงไป ก็ยังให้มีความหลอนไปในแนวทางเดียวกันกับหนังด้วย
ได้ข่าวว่าเจอผีในกองถ่ายด้วย
เราก็ไม่อยากบอกชัดเจนว่ามันคืออะไร คือเราก็ถ่ายอยู่ฉากหนึ่งซึ่งมันเป็นวันที่ตัวละครตัวหนึ่งต้องไปอยู่แถวกระจก ซึ่งตัวละครตัวนี้มันต้องเดินไปทางซ้าย แต่พอถ่ายไป เรามาเช็คในมอนิเตอร์เราเห็นเงาๆหนึ่งมาเดินไปทางขวา ก็สงสัยว่ามันคืออะไร ก็เช็คจากทีมงานและแบ๊กสเตจที่อยู่ด้านหลัง เขาก็บอกว่าไม่ได้มีอะไรนะพี่ ตอนแรกเราก็นึกว่าเป็นคน คือยังไม่ได้คิดถึงเรื่องผี คือเราก็ไม่รู้ว่ามันเป็นอะไรกันแน่ คือผมเองก็บอกไม่ถูกจริงๆว่ามันคืออะไร จนถึงตอนนี้ก็ยังคงเป็นปริศนาอยู่ดี แล้วมันติดอยู่ในเทปด้วยนะ เราก็พยายามถามอยู่ว่ามันคืออะไร มีใครไปเดินอะไรแถวนั้นหรือเปล่า ผู้ช่วยก็บอกว่ามันไม่มี เพราะเขากั้นคนไว้หมดแล้ว ก็ทำให้จิตหลุดกันทั้งกอง สมชื่อหนังจริงๆ ครับ
จากที่ทำหนังยาว พอมาเป็นหนังสั้น มันมีความแตกต่างกันในการกำกับหนังยังไง
ก็แตกต่างพอสมควร คือมันต้องเล่าให้ได้เนื้อหา ให้ได้เรื่อง ให้ได้ความรู้สึกภายในเวลาสั้นๆ คือหนังสั้นจริงๆ มันก็เป็นอะไรที่ยากเหมือนกันนะ
ประเด็นที่สะท้อนสังคมของหนังเรื่องนี้
คือเรื่องนี้เราพูดถึงเรื่องอำนาจ คนเราพอมันมีอำนาจเราจะรู้สึกว่าตังเองใหญ่คับฟ้า คิดจะทำอะไรก็ได้ เวลาที่เรามีอำนาจอยู่ในมือ มันจะมีความรู้สึกว่าตัวเองมีเพาเวอร์ที่จะสั่งอะไรก็ได้โดยไม่กลัวเกรงสิ่งใด เหมือนกับในเรื่องนี้ที่มันมีตัวละครตัวหนึ่งที่มันรู้สึกว่าตัวเองมีอำนาจ ก็ใช้มันไปในทางที่ผิดๆ จนเจอดีเข้าให้
ความน่าสนใจของโปรเจ็ตต์ “หลุดสี่หลุด”
มันอยู่ที่งานของผู้กำกับแต่ละคนที่ถูกจับมารวมกันอยู่ในโปรเจ็กต์เดียวกัน ซึ่งแต่ละคนก็มีแนวทางกำกับของแต่ละคนอย่างชัดเจน รวมถึงเนื้อหาของหนังที่ดูแปลกใหม่แหวกแนว ทีมนักแสดงก็เล่นกันอย่างเต็มที่ ผมว่าน่าสนใจมากๆ ทีเดียวครับ
นิยามของคำว่า “จิตหลุด” ของภวัต
มันคือหลอน มันคือช็อค ดูแล้วหลอน ดูแล้วช็อค ซึ่งตอนของผมอย่าง “คืนจิตหลุด” ก็มีให้ทุกคนได้เห็นแน่นอนครับ