กรุงเทพฯ--30 มี.ค.--ตลท.
ตลาดหลักทรัพย์ฯ บมจ.บล. ภัทร และ Bank of America Merrill Lynch มั่นใจ “Thailand Focus 2011” เป็นเวทีสำคัญย้ำความน่าสนใจ ตลาดหุ้นไทย พร้อมแสดงถึงความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจและศักยภาพของภาคธุรกิจไทยแก่ผู้ลงทุนและนักวิเคราะห์จากทั่วโลก ในขณะที่ภาคธุรกิจตลาดทุน ได้รับข้อมูลสำคัญเพื่อทำงานผลักดันตลาดหุ้นไทยให้ได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนต่างชาติมากขึ้น
นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ ผู้ช่วยผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงผลสำเร็จของการจัดงาน “Thailand Focus 2011- Enhancing Thailand’s Competitiveness Through the Next Decade” ว่า การจัดงานครั้งนี้ได้สร้างความมั่นใจแก่ผู้ลงทุน โดยการสื่อสารข้อมูลจากทั้งภาครัฐและเอกชนตลอดทั้ง 3 วัน ได้เน้นย้ำและแสดงถึงความแข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียนไทยและสภาพแวดล้อมของเศรษฐกิจไทยโดยรวม โดยบจ.ที่ร่วมงานเห็นว่าเป็นประโยชน์มากต่อการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจด้วยการพบกับผู้ลงทุนหน้าใหม่ และคำถามที่หยิบยกมาพูดคุยก็เป็นประโยชน์ต่อการปรับใช้ในการดำเนินธุรกิจ และมีผู้ลงทุนจำนวนมากที่แสดงความสนใจชัดเจนในการเข้าลงทุนเมื่อมีโอกาส นอกจากนี้โอกาสการเติบโตด้านเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียใน 4-5 ปีข้างหน้ายังเป็นจุดเด่นของตลาดหุ้นไทย อีกทั้งสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนและส่งผลกกระทบกับภูมิภาคอื่น จะทำให้ผู้ลงทุนมุ่งหาแหล่งลงทุนที่มี Performance ของการเติบโตและให้ผลตอบแทนดีต่อเนื่อง การจัดงานครั้งนี้ จึงเป็นประโยชน์ต่อการผลักดันให้ข้อมูลเชิงบวกเหล่านี้ ส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุนของผู้ลงทุนสถาบัน นอกจากนี้การได้พูดคุยอย่างใกล้ชิดทำให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ข้อมูลสำคัญที่จะใช้ปรับในการทำงานเพื่อผลักดันให้ตลาดหุ้นไทย ได้รับความสนใจและเพิ่มศักยภาพเพื่อดึงดูดความสนใจต่อการลงทุนอีกด้วย
Jason R.Cox, Managing Director, Head of Asia Pacific Equity Capital Markets, Bank of America Merrill Lynch กล่าวว่า การจัดงานประสบความสำเร็จอย่างสูง ทั้งด้านความสนใจเข้าร่วมงานจากผู้ลงทุนสถาบันที่มาจากทั่วโลกเป็นจำนวนมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา และด้านผลตอบรับจากผู้ลงทุนภายหลังการได้รับฟังข้อมูลที่ให้ความสนใจซักถามข้อมูลในเชิงลึก ส่วนใหญ่เชื่อมั่นต่อโอกาสการเติบโตของตลาดทุนไทยและบริษัทจดทะเบียน
นายธีระพงษ์ วชิรพงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การจัดงานครั้งนี้บรรลุวัตถุประสงค์ในการนำเสนอข้อมูลจากผู้บริหารนโยบายภาครัฐ ธนาคารแห่งประเทศไทย เกี่ยวกับภาพรวมอุตสาหกรรมที่สำคัญที่เน้นถึงประสิทธิภาพและความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไทยในเวทีโลก และที่สำคัญการจัดการประชุมย่อยประมาณ 800 ครั้งในงาน ทั้ง one-on-one meeting ระหว่างผู้ลงทุนกับผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนถึงเกือบ 500 ครั้ง และ group meeting อีกกว่า 300 ครั้ง เปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนได้สอบถามข้อมูลโดยตรงจากผู้บริหาร และการพบกับผู้บริหารจำนวนมากในเวลาเดียวกัน ผู้ลงทุนจะมีโอกาสเปรียบเทียบข้อมูล และสามารถเชื่อมโยงถึงโอกาสในการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ผู้ลงทุนได้ให้ความสนใจข้อมูลของทุกกลุ่มอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มการเงินยังได้รับความสนใจมากที่สุด รองลงมาก็จะเป็นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีซึ่งมีแนวโน้มของอุตสาหกรรมที่เป็นบวก อันดับสามเป็นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์รวมถึงนิคมอุตสาหกรรมซึ่งมีความสนใจใกล้เคียงกับกลุ่มพลังงาน ในขณะที่กลุ่มค้าปลีกก็ได้รับความสนใจมากขึ้นมาก เนื่องจากศักยภาพในการเติบโตระยะยาวสูง