จิตแพทย์ ย้ำชัด 10 วิธี ตั้งสติ ก่อนสตาร์ทอารมณ์โกรธ

ข่าวทั่วไป Thursday August 2, 2007 16:16 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--2 ส.ค.--โรงพยาบาล มนารมย์
ปัจจุบันข่าวคราวทางหน้าหนังสือพิมพ์ในแต่ละวันที่เกี่ยวข้องกับการบาดเจ็บ พิการ หรือสูญเสียชีวิต อันมีสาเหตุมาจากการไม่สามารถยับยั้งควบคุมอารมณ์โกรธของผู้คนในสังคม มีความถี่และความรุนแรงมากขึ้นเป็นลำดับ การสูญเสียดังกล่าวไม่ได้จำกัดขอบเขตเฉพาะผู้เกี่ยวข้องในเหตุการณ์เท่านั้น ยังส่งผลกระทบถึงความเป็นอยู่และสภาพจิตใจของสมาชิกครอบครัวที่ต้องพบกับความสูญเสีย ซึ่งหลายครั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นเพราะไม่สามารถหยุดอารมณ์ชั่ววูบของผู้กระทำได้ ซึ่งหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสามารถระงับอารมณ์โกรธของตนลงได้ มีอารมณ์ที่เยือกเย็นลงอีกสักนิด ความสูญเสียต่างๆ ก็คงไม่เกิดขึ้น
น.พ. ไกรสิทธิ์ นฤขัตพิชัย กรรมการผู้จัดการ โรงพยาบาลมนารมย์ ได้ให้ความเห็นกับเรื่องดังกล่าวว่า “การรู้เท่าทันอารมณ์ของตนเองและสามารถจัดการได้อย่างเหมาะสม เป็นทักษะอย่างหนึ่งที่ต้องได้รับการฝึกฝน สาเหตุหลักที่ทำให้คนเราเกิดอารมณ์โกรธ นอกเหนือจากแรงกดดันจากภาวะเศรษฐกิจ ครอบครัว และการสูญเสียการควบคุมอารมณ์ชั่วขณะ อันเนื่องมาจากการใช้เหล้าหรือสารเสพติดแล้วก็คือ เรื่องบุคลิกภาพ อันเป็นผลมาจากการอบรมเลี้ยงดูของครอบครัว ซึ่งในปัจจุบันสถาบันครอบครัวของไทยมีความอ่อนแอลงทุกวัน เวลาและความใกล้ชิดที่มีให้กันน้อยกว่าในอดีต ในขณะที่ตัวอย่างการแก้ปัญหาโดยใช้ความรุนแรงในสังคม มีให้เห็นบ่อยมากขึ้นจนเกือบจะกลายเป็นเรื่องธรรมดา แนวทางสำคัญในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ สามารถเริ่มต้นได้ด้วยการลดการนำเสนอข่าวสาร ภาพยนตร์หรือเกมส์ที่ส่งเสริมการแก้ไขปัญหาโดยใช้ความรุนแรง และการเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับสถาบันครอบครัวก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ควรถูกหยิบยกมาใช้” จิตแพทย์ผู้คร่ำหวอดกับการดูแลสุขภาพจิตให้กับเด็กและครอบครัวมายาวนานกล่าว
การเลี้ยงดูเด็กให้เจริญเติบโตมีสุขภาพกาย ใจ ที่แข็งแรง เป็นงานสำคัญและยิ่งใหญ่ที่สุดของชีวิตมนุษย์ ต้องใช้เวลา ต้องการทั้งความรู้ ความเข้าใจ และความอดทนของผู้เลี้ยงดูเป็นอย่างมาก ช่วงอายุของเด็กที่มีความสำคัญที่สุดต่อพัฒนาการของบุคลิกภาพได้แก่ ช่วงอายุ 0-6 ขวบ เพราะเป็นช่วงที่เด็กจะเรียนรู้เรื่องการวางใจผู้อื่น รับรู้และซึมซับบุคลิกภาพจากคนใกล้ชิด โดยเฉพาะจากผู้เลี้ยงดู การฝึกเด็กให้รู้จักคอย การเห็นอกเห็นใจ การเคารพสิทธิผู้อื่น การรู้จักแพ้ รู้จักชนะ จะมีส่วนช่วยในการฝึกทักษะการควบคุมอารมณ์ของเด็ก คุณหมอยังได้กล่าวฝากถึงพ่อแม่ในวันนี้ว่า “หากเราเลี้ยงดูเด็กให้เป็นผู้ที่มีทั้ง ไอคิว อีคิวที่ดี คนที่อยู่ใกล้ชิดและสังคมก็จะพลอยมีความสุขไปด้วย ความก้าวร้าวของเด็กเมื่อมีพัฒนาการขึ้นเป็นผู้ใหญ่แล้วจะเกิดขึ้นได้ยาก เพราะสมาชิกในครอบครัวต่างเป็นเบ้าหลอมสำคัญยิ่ง และเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่เขา”
การมุ่งหวังที่จะเลี้ยงลูกให้เป็นคนดี มีคุณภาพ เป็นความตั้งใจของพ่อแม่ทุกคนในทุกยุคทุกสมัย แต่ก็ยังมีพ่อแม่อีกจำนวนมากที่ยังขาดความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับพัฒนาการทางด้านอารมณ์และจิตใจของเด็กในแต่ละช่วงวัย รวมทั้งเทคนิคการเลี้ยงดู แก้ปัญหาที่เหมาะสม ซึ่งมีผลทำให้เด็กมีสุขภาพจิตและบุคลิกภาพที่ไม่แข็งแรง ไม่สามารถเผชิญปัญหาในชีวิตและขาดการจัดการที่ดี ที่สามารถแก้ไขเหตุการณ์ให้ผ่านพ้นวิกฤตไปได้ นอกจากนี้ บรรยากาศภายในครอบครัวก็เป็นสิ่งสำคัญ ครอบครัวที่อบอุ่นจะช่วยให้เด็กมีความมั่นคงทางอารมณ์และจิตใจ สามารถมองเห็นข้อดีของตนเอง สามารถภาคภูมิใจในคุณค่าของตนเอง รวมทั้งสามารถมองเห็นข้อดีของผู้อื่นได้ ครอบครัวที่มีแต่ความยุ่งเหยิง ทะเลาะเบาะแว้งใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหา เด็กที่เติบโตมาในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ก็จะซึมซับวิธีการแก้ไขปัญหาด้วยความรุนแรงเช่นเดียวกัน
การป้องกันปัญหาการไม่สามารถยับยั้งอารมณ์โกรธได้ สามารถทำได้ด้วยวิธีการหลายอย่างประกอบกัน เริ่มตั้งแต่การบริหารจิตใจ โดยการฝึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อและลมหายใจทุกวันตามแต่โอกาสจะอำนวยเพื่อลดความคลายเครียดไม่ให้สะสมซึ่งเป็นเหตุให้เกิดอารมณ์โกรธได้ง่าย รวมทั้งฝึกสังเกตให้รู้เท่าทันอารมณ์ตนเองเตือนตัวเองได้ นอกจากนี้ การศึกษาหาความรู้ทางด้านสุขภาพจิต การปรับวิธีคิด วิธีมองโลก วิธีมองปัญหา จะช่วยให้มีมุมมองที่กว้างขึ้น มีทางเลือกในการแก้ไขปัญหามากขึ้น มีความยืดหยุ่นในการดำเนินชีวิตและโอกาสเกิดความเครียดน้อยลง สำหรับการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าขณะเผชิญเหตุการณ์ที่ทำให้โกรธนั้น น.พ.ไกรสิทธิ์ ได้ให้หลักปฏิบัติ 10 ประการ ที่พึงนำไปใช้เพื่อระงับความโกรธแบบสั่งได้ดั่งใจไว้ดังนี้
1. พยายามสังเกตตัวเองให้รู้เท่าทันอารมณ์ตนเองว่ากำลังจะโกรธ
2. เตือนตนเองว่า การโกรธ คือ การเผาตัวเอง ทำลายสุขภาพตัวเอง
3. ชะลออารมณ์โกรธโดยการเบี่ยงเบนความสนใจ ด้วยการนับ 1-10 หายใจเข้าออกลึกๆ ช้าๆ พยายามผ่อนคลายกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ
4. พยายามออกจากสถานที่ยั่วยุให้เกิดอารมณ์โกรธนั้นเพื่อไปสงบสติอารมณ์
5. เตือนตนเองว่าเราไม่สามารถควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างได้ดังใจเรา
6. เตือนตนเองว่าคนเราแตกต่างกัน ไม่มีใครสมบูรณ์แบบแม้แต่ตัวเราเองก็มีข้อบกพร่อง
7. เตือนตนเองให้มองเห็นข้อดีของผู้อื่นและความดีของเขาในอดีตที่ผ่านมา
8. ฝึกคิดฝึกมองสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในด้านบวก
9. ฝึกให้อภัยและปล่อยวาง
10. ถ้าแก้ปัญหาด้วยตนเองไม่ได้ ควรขอคำปรึกษาจากคนที่มีประสบการณ์ไว้ใจได้ ในบางครั้ง ถ้าปัญหารุนแรงมากอาจจะจำเป็นต้องปรึกษาจิตแพทย์ ซึ่งปัจจุบันไม่ใช่เรื่องน่าอายแต่อย่างใด
จากหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้ทรงมอบให้กับ พสกนิกรชาวไทย เป็นสิ่งที่มีประโยชน์มากและใช้ได้ตลอดไปทุกยุคทุกสมัย ถ้าผู้คนนำมายึดปฏิบัติก็จะทำให้มีชีวิตที่ปลอดภัยและสงบสุข นพ.ไกรสิทธิ์ ให้ความเห็นสนับสนุนอย่างเต็มที่ แล้วให้ทัศนะว่า ”การใช้ชีวิตที่เรียบง่ายไม่ฟุ้งเฟ้อ ไม่คาดหวังสูงเกินจริง ไม่ทำอะไรเกินกำลังของตน สามารถพึงพอใจกับสิ่งที่ตนเองมีอยู่ จะช่วยลดความกดดันในชีวิตไปได้อย่างมาก มีเวลาผ่อนคลาย ครอบครัวมีเวลาให้กันมากขึ้น ความสัมพันธ์ดีไม่หงุดหงิดหรือขัดแย้งง่าย สามารถเอื้อเฟื้อเพื่อแผ่สิ่งที่ตนมีอยู่ให้กับผู้อื่นได้ ช่วยลดการยึดติด ปล่อยวางได้ง่ายขึ้น เหล่านี้เองจะเป็นการป้องกันและแก้ไข ปัญหาในชีวิตได้เกือบทุกปัญหาไม่ใช่เฉพาะเรื่องอารมณ์โกรธเท่านั้น” คุณหมอกล่าวทิ้งท้ายไว้ได้อย่างน่าคิด และสมควรนำไปประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันของทุกคนอย่างเร็วพลัน เพื่อวันที่ดีที่สุด จะเป็นของเราในทุกๆ วัน หากใครยังต้องพึ่งคำปรึกษาจากจิตแพทย์ ก็อย่ารีรอ สามารถเข้าเว็บไซต์อ่านเรื่องราวดีๆ เพื่อพัฒนาสุขภาพจิตได้ที่ www.manarom.com หรือติดต่อสายด่วน โรงพยาบาลมนารมย์ โทร. 02-275-9595
*** ต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ อนุศักดิ์ ขันธสิทธิ์ ที่ปรึกษาการประชาสัมพันธ์ โรงพยาบาลมนารมย์ โทร. 081-558-8085 หรือ 02-864-3900 ***
สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ