กรุงเทพฯ--11 พ.ค.--MMM Digital
มองไปรอบๆ ห้องพักโรงแรมที่มีบรรยากาศมึนๆ แล้ว อาจคิดได้ว่าเรากำลังลงเอยอย่างผิดที่ผิดทางจากปาร์ตี้แอลกอฮอล์มาทั้งคืน แสงไฟสลัวที่ทิ่มแทงเบ้าตาของเรา ความโกลาหลที่ค่อนข้างใหญ่โต ทั้งสามหนุ่มเดินวนไปมารอบห้อง พยายามคิดว่าพวกเขาอยู่ที่ไหนและไปอยู่ที่นั่นได้อย่างไร
ความรู้สึกนี้สำหรับทั้งสามคนเป็นความรู้สึกที่แสนเคยชิน เพียงแต่ครั้งนี้พวกเขาไม่ได้อยู่ในห้องชุดสุดหรู(ถึงแม้จะเมา) ในลาสเวกัสระหว่างทางขับรถกลับบ้าน พวกเขาอยู่ในหักพักโรงแรมที่สุดรกในกรุงเทพที่ห่างไกลมาถึงครึ่งโลก และไม่ใช่ที่ที่พวกเขาจะคาดคิดไว้อย่างแน่นอน
ในความเป็นจริง นี่คือฉากตึกอพาร์ทเมนท์ที่มีรายละเอียดอย่างไม่น่าเชื่อของโรงถ่าย Warner Bros. ที่เบอร์แบงค์ แม้แต่การเดินไปรอบๆ ห้องโถงที่เห็นขดลวดที่โผล่มาเหมือนงูขดอยู่บนกำแพงและเพดานตึกสกปรกที่มีภาษาไทย อาจเชื่อได้ว่าเราอยู่ที่นั่นจริงๆ
ผู้กำกับทอดด์ ฟิลลิปส์ เหล่านักแสดงและทีมงานของเขาถ่ายทำภาพยนตร์ในฉาก “ตื่นนอน” ที่สำคัญของภาพยนตร์เรื่อง The Hangover Part II ภาพยนตร์คอมเมดี้สุดยิ่งใหญ่ภาคต่อจากปี 2009 ที่กลายเป็นปรากฏการณ์ของทั่วโลก การกลับมาของ “แกงค์ป่วน” อย่าง ฟิล สตูและอลันที่กำลังตื่นขึ้นมาจากอาการเมาค้างครั้งสำคัญอีกหน ซึ่งรับบทโดยแบรดลีย์ คูเปอร์, เอ็ด เฮล์มส และ แซ็ค แกลิเฟียนาคิส ตามลำดับ
ในฉากนี้พวกเขาตื่นขึ้นมาโดยไม่หลงเหลือความทรงจำจากคืนก่อน และพยายามจับใจความอย่างเต็มที่ว่าพวกเขาไปอยู่ที่นั่นได้อย่างไร สตูมีรอยสักขนาดใหญ่บนใบหน้าที่เห็นชัดเจนคล้ายคลึงกับไมค์ ไทสัน ของภาคแรกจากภาพยนตร์ อลันถูกโกนหัว ส่วนฟิลมอมแมมและเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
การได้เห็นทั้งสามมารวมตัวกันอีกครั้งในด้านชื่อเสียงแห่งความวุ่นวายเหมือนกับแสงที่ส่องสว่าง การเลือกเวลาที่ไม่มีผิดพลาดของพวกเขา ที่ไม่ใช่แค่สำหรับนักแสดงทั้งสาม แต่รวมถึงผู้กำกับที่อยู่ในห้องร่วมกับพวกเขาด้วยไอเดียต่างๆ ที่หนักแน่น เพื่อทำให้พวกเขาระเบิดความฮาออกมาหลังจากบทพูดหรือสภาพที่ประหลาด
“มันเป็นปัญหานิดหน่อย” เอ็ด เฮล์มสกล่าว เมื่อเขาและฟิลลิปส์หยุดพักเพื่อมาคุยกับเรา “โดยเฉพาะแซ็คกับผมหัวเราะกันอย่างไม่หยุด มันทำให้ทอดด์ยิ่งฮามาก และนั่นทำให้เรายิ่งหัวเราะหนักขึ้น มีแต่การหัวเราะกันมากมายแม้แต่ทีมงาน ทุกคนรู้สึกว่าพวกเขามีส่วนร่วมและเป็นส่วนหนึ่งของมัน”
“โดยพื้นฐานแล้วมันคือทีมเดียวกัน” ฟิลลิปส์กล่าว การสวมแว่นกันแดดอยู่ในที่ร่ม เขาเป็นผู้กำกับภาพยนตร์แนวคอมเมดี้สุดเพี้ยนทุกรายละเอียดอย่างในเรื่อง Due Date, Road Trip และแน่นอนว่าเป็นเรื่อง The Hangover “ฉะนั้นทุกคนจึงมีอารมณ์แห่งการถ่ายทอดงานเหนือภาพยนตร์ในบางมุมและนั่นเป็นเรื่องที่งดงามมาก”
ฟิลลิปส์กล่าวถึงปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักแสดงหลักทั้งสามว่า ฝีไม้ลายมือไม่ได้ถดถอยไปแม้แต่น้อย ตั้งแต่พวกเขาปิดกล้องเรื่อง The Hangover “มันไม่นานมากนักตั้งแต่ภาพยนตร์เรื่องสุดท้าย จึงกลับไปหาพวกเขาและบอกว่า ‘เฮ้ มาทำกันอีกซักเรื่องเถอะ’ เป็นอันรู้กัน”
“โดยส่วนตัวแล้วพวกเราผูกพันและอินกับตัวละครพวกนี้” เฮล์มสกล่าวเสริม “มันสร้างขึ้นมาเพื่อขั้นตอนการทำงานที่ดีร่วมกับทอดด์ เพราะเรามีความเชื่อมั่นอย่างหนักแน่นในเรื่องวิธีที่ตัวละครของเราอาจพบปัญหาหรือต้องจัดการกับสถานการณ์ มันสร้างขึ้นเพื่อใส่ความสร้างสรรค์หลายอย่างลงไปในทางที่ดี เราให้ความใส่ใจเพราะเราสร้างตัวละครพวกนี้และหลงรักพวกมันมาก”
หลังจากช่วงเริ่มเรื่อง หนุ่มๆ เดินทางไปยังเมืองไทยเพื่อไปงานแต่งงานของสตู หลังการดื่มฉลองช่วงเที่ยงคืนก็ตื่นขึ้นที่นี่ ฟิลลิปส์หวังจะเก็บการผจญภัยต่อเนื่องในกรุงเทพให้เป็นความลับ ความเชื่อในอารมณ์ความตื่นเต้นและความคาดไม่ถึงคือสิ่งที่ทำให้ภาคแรกตลกมาก “มันเป็นคำถามแปลกๆ: ขำอะไร?” ฟิลลิปส์คิด “ผมว่าเรื่องความประหลาดใจมีอะไรให้เล่นกับมันเยอะ พอตอนนี้ผู้คนเริ่มชินกับตัวละคร เราต้องประคองสถานการณ์และสภาพความน่าประหลาดใจเอาไว้ ผมไม่คิดว่าในภาคแรกจะมีตัวละครหลายตัวที่น่าตื่นเต้น มันเกี่ยวกับอุปสรรคและสิ่งที่เราพาพวกเขาไปพบเจอ ฉะนั้นพวกเราต้องพาพวกเขางย่างก้าวไปยังฉากใหม่ทั้งหมดอย่างที่เรากำลังเห็นในวันนี้”
เสียงที่คุ้นเคยระเบิดดังขึ้นกลางฉาก “ทุเรศ ลืมความทุเรศของพวกเราไปแล้วหรอ!”
มิสเตอร์ชอว์ที่ไม่ได้สวมเสื้อมีสภาพกระเซิงแสดงโดย เค็น จุง อีกครั้ง ในอดีตเคยร่วมเคียงกับสามหนุ่มและล้มลงไปในโซฟาที่ห่อตัว
“รู้มั้ยว่าผมมีรอยสักนี้ได้อย่างไร?” สตูถามอย่างหมดหวัง
“ใจเย็น” ชอว์กล่าว “ชอว์จะอธิบายทั้งหมดเอง นายอยากฟังเรื่องสุดพิลึกในชีวิตของนายใช่มั้ย?”
ฟิลลิปส์หัวเราะและขัดจังหวะด้วยการแนะบางอย่างให้แก่จุง
หลังจากนั้นอีก 2-3 เทครวมถึงการเปลี่ยนความตลกจากท่าทางและบทพูด จุงสวมเสื้อคลุมและไปพัก จุงเรียกชอว์ว่าเป็น “ตัวละครที่ดีที่สุดตั้งแต่เคยแสดงมา” กล่าวเสริมว่า “ผมชอบความเป็นจริงที่เขาไม่มีอะไรมาสกัดได้ เขาแค่พูดไปอย่างที่ใจคิด”
นี่เป็นเพียงวันที่ 2 ในฉากของจุงเท่านั้นและเขาก็ไม่ผิดหวัง เขาตั้งตารอการกลับมารับบทตั้งแต่ได้ยินว่าฟิลลิปส์กำลังวางแผนจะสร้างอีกภาคขึ้นมา “มันเหมือนกับทีมบาสเก็ตบอลเก่งๆ กลับมารวมตัวกันหลังจากปิดฤดูกาลและเกิดปฏิสัมพันธ์ขึ้นที่นั่น” จุงกล่าวให้เห็นว่า “บางครั้งเหมือนเราอาจใจกันออก ซึ่งเป็นเรื่องวิเศษ นั่นเป็นสิ่งที่เราได้จากภาคแรก”
จุงเป็นทั้งนักแสดง นักดนตรี และที่ดูขัดแย้งกันคือเขายังเป็นแพทย์อายุรศาสตร์ด้วย จุงถูก “ค้นพบ” อย่างถ่องแท้ในภาพยนตร์เรื่อง The Hangover “ผมเป็นหนี้อาชีพของผมให้กับภาพยนตร์เรื่อง The Hangover” เขายืนยัน “เหตุผลที่ผมกำลังพูดคุยกับคุณเพราะเรื่อง The Hangover ผมรู้สึกยินดีมากที่ได้มีส่วนร่วมในภาพยนตร์ภาคต่อไม่ว่าหน้าที่ใด ผมยอมทำทุกอย่างให้พวกเขาเลย”
สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาสำหรับชอว์ คือพวกเขาตื่นขึ้นมาพบว่ามีสมาชิกในกลุ่มเพิ่มขึ้นเข้ามาอีกนั่นคือลิง Capuchin ที่แสดงโดยคริสตัล ซึ่งต้องอยู่ร่วมการผจญภัญกับพวกเขาไปตลอดเรื่อง
การเกาะแกะอยู่หลังเวทีถ่ายทำ คริสตัลเป็นลิงที่เชื่อง มีความอยากรู้อยากเห็นและน่ารัก ชอบเดินไปมาบนไหล่ครูฝึกอย่างทอม กันเดอร์สัน “เธอแสดงผาดโผนเองทั้งหมดเลย”
เว้นแต่การสูบบุหรี่ ถึงแม้ว่าตัวละครของเธอในภาพยนตร์ชอบสูบบุหรี่ คริสตัลแสดงแค่ถือบุหรี่ปลอมเอาไว้ พร้อมด้วยควันและปลายบุรี่ที่มีการจุดที่ได้รับการชดเชยจากสเปเชียลเอ็ฟเฟ็กต์ กันเดอร์สันยอมรับว่า “มันเป็นการท้าทายความสามารถด้านการฝึกคริสตัลอย่างยิ่งใหญ่ เพื่อให้แสดงพฤติกรรมซับซ้อนที่เธอต้องเรียนรู้ โดยเฉพาะการแสดงพร้อมกับสิ่งรบกวนสมาธิในบางฉาก”
คริสตัลมีความช่ำชองในวงการภาพยนตร์ เธอแสดงภาพยนตร์เรื่อง Failure to Launch มาแล้วเมื่อปี 2006 ก่อนแสดงเรื่อง The Hangover Part II ร่วมกับแบรดลีย์ คูเปอร์ “แบรดลีย์เข้ามาหาในระหว่างเทคและแสดงร่วมกับเธอ จับมือเธอ คุยกับเธอและให้อาหารเธอนิดหน่อย” กันเดอร์สันกล่าว “มันน่ารักมาก”
ภาพยนตร์เรื่อง The Hangover ฉายเมื่อปี 2009 และได้สร้างชื่อเสียงกระหึ่มทั่วโลกอย่างพายุ จนกลายเป็นภาพยนตร์คอมเมดี้เรท R ที่กวาดรายได้สูงสุดตลอดกาล และได้รับรางวัล Golden Globe สาขาภาพยนตร์เพลงหรือคอมเมดี้ยอดเยี่ยม ท่ามกลางความฮาที่หยุดไม่อยู่ ไม่ใช่แค่มุขทั้งหมดที่ทำให้มันดูน่าสนใจมาก มันเกี่ยวกับเหล่านักแสดงที่ดูเป็นเพื่อนกันอย่างน่าเชื่อ และปฏิสัมพันธ์ทั้งหมดในหนังที่เข้าล็อคกัน
“มันฟังดูเชย แต่มันเหมือนกับเรื่องในความฝัน ที่ได้แสดงหนังที่มีความฮาออกมาจากใจ และได้ร่วมงานกับคนที่เราปลื้ม” แกลิเฟียนาคิสบอกกับเรา “มันเป็นเรื่องที่เจ๋งสุดๆ”
ผู้มีส่วนร่วมทั้งหมดรู้สึกตื่นเต้นที่ภาพยนตร์ภาคแรกเข้าถึงผู้ชมทั่วโลก “ผมว่าภาพยนตร์แนวคอมเมดี้ที่เป็นรูปเป็นร่างค่อนข้างมีความเป็นสากล” แกลิเฟียนาคิสได้ยืนยัน “แถมเรายังสร้างอิทธิพลให้ตัวละครเหล่านี้ โดยหวังว่าทุกอย่างที่พวกเขาผ่านพ้นมา พวกเขาพยายามหาช่วงเวลาดีๆ นั่นเป็นรูปแบบที่มีร่วมกันในภาพยนตร์พวกนี้”
“และสิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้น่าติดตาม คือใครอยู่เบื้องหลังความเร้นลับ” แบรดลีย์ คูเปอร์ กล่าวเสริมว่า “ฉะนั้นมันไม่ใช่แค่ฉากที่รวมความตลก มันเป็นหนังที่มีพลังมาก หากเราดึงเรื่องตลกออกไปทั้งหมด มันเล่นเป็นหนังระทึกขวัญได้เลย มันเป็นสิ่งที่มุ่งประเด็นไปที่สองจุดนั้น”
ในภาพยนตร์เรื่อง The Hangover Part II ตัวละครเดินตามรอยเท้าเดิมจากการผจญภัยครั้งล่าสุดของ แต่ครั้งนี้พวกเขาอยู่ที่ต่างถิ่นอย่างกรุงเทพของประเทศไทย “เริ่มแรกทอดด์ได้แรงบันดาลใจจากความคิดว่าพวกเขาจะเดินทางไปที่ไหนต่อดี” แดน โกล์ดเบิร์ก ผู้อำนวยการสร้างที่ร่วมงานกับผู้กำกับฟิลลิปส์ตั้งแต่ภาพยนตร์เรื่อง Road Trip ในปี 2000 “และทุกครั้งที่เราพูดถึงกรุงเทพไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ผู้คนพากัน ‘ว้าว นั่นมันเยี่ยมไปเลย’ ฉะนั้นทอดด์และ เคร็ก มาซิน ผู้ร่วมเขียนเรื่องและสก็อต อาร์มสตรอง ทำการค้นคว้าข้อมูลขนานใหญ่จากกรุงเทพจริงๆ และเรื่องราวเริ่มเป็นรูปร่างที่ดูแตกต่างออกไป แต่ยังคงความรู้สึกของภาพยนตร์เรื่องแรกเอาไว้”
“สำหรับผมแล้ว สถานที่เป็นบทบาทที่สำคัญอย่างหนึ่งของภาพยนตร์” ฟิลลิปส์กล่าวให้เห็นภาพว่า “เวกัสเป็นส่วนใหญ่ของภาพยนตร์ในภาคแรก และสำหรับภาคนี้มันเกี่ยวกับการหาเมืองหรือสถานที่ที่เมื่อเราพูดถึงแล้ว มันมีความหมายถึงบางสิ่งบางอย่าง เมื่อเราตัดสินใจเลือกกรุงเทพ มันให้นิยามของหนังได้ค่อนข้างมาก มันฟังดูเหมือนความวุ่นวาย โดยเฉพาะสำหรับหนุ่มๆ ของเรา”
“แถมที่นั่นยังมีบางสิ่งที่เกิดขึ้นได้แค่ในต่างประเทศ รู้สึกเคว้งคว้าง ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และไร้ความช่วยเหลือในที่ที่เราไม่สามารถพูดภาษานั้นได้” เฮล์มสกล่าว “เราไม่เข้าใจขนบธรรมเนียม เราไม่คุ้นเคยกับอาหาร พวกนั้นเป็นสิ่งพื้นฐานที่ผิดแปลกไปอย่างกระทันหัน และพาให้ทุกอย่างผิดแผนไปกว่าปกติ”
“เหมือนพวกเขาเป็นอิสระและนั่นทำให้เราสามารถทำเรื่องบ้าๆ หรือวางอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่กว่าไว้ตรงหน้าพวกเขา นั่นคือประเด็นที่แท้จริง” ฟิลลิปส์กล่าว
สิ่งเดิมพันคือความสุขในอนาคตของสตูและการแต่งงานกับ ลอว์เร็น สาวสวยลูกครึ่งไทย-อเมริกัน ที่แสดงโดยเจมี่ ชุง (Sucker Punch) ซึ่งมีความเป็นไปได้น้อยลง ตั้งแต่ เท็ดดี้ น้องชายของเธอ (แสดงโดยนักแสดงหน้าใหม่ เมสัน ลี ลูกชายของผู้กำกับ อัง ลี) อยู่ร่วมกับหนุ่มๆ ในระหว่างช่วงสุดท้ายที่พวกเขายังมีสติ และมอบเงื่อนงำที่เป็นลางร้ายเอาไว้ในห้องพักโรงแรมของพวกเขา ตอนนี้เท็ดดี้มีส่วนร่วมกับหนุ่มๆ ในกรุงเทพแล้ว และการหาตัวเขาจะพาเขาสู่การเดินทางเข้าไปในมุมเมืองที่เข้มข้นขึ้น ลึกลับขึ้นและแปลกประหลาดขึ้น
“มันเป็นเรื่องใหม่ทั้งหมด” คูเปอร์อธิบายว่า “ในเรื่องเป็นตัวละครใหม่ แต่ก็มีบางตัวละครที่กลับมา สิ่งที่พวกเราชอบคือเราได้บรรยากาศเดิมอย่างที่เรารู้สึกได้ในภาคแรก แต่เราพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่การบอกเล่าเรื่องราวครั้งใหม่ สำหรับผมรู้สึกเหมือนพวกเราพยายามแก้ปริศนาร่วมกัน”
จังหวัดกระบี่ในประเทศไทยอยู่ห่างจากสนามบินเล็กๆ ของพื้นที่ชายฝั่งเขตร้อน 1 ชั่วโมง มีหน้าผาหินที่เป็นแหลมยื่นออกมาจากป่าเขตร้อนชื้นอันเขียวชอุ่มด้านหนึ่ง ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นเกาะกระจัดกระจายที่อยู่บนทะเลอันดามันสีฟ้า มีร้านค้าที่ตั้งมาอย่างยาวนานและกิจกรรมของชาวเมืองในตรอกซอกซอยบนถนนที่คดเคี้ยว ผ่านเนินเขาและภายในความอุดมสมบูรณ์ของชายหาดส่วนตัวที่ขยายตัวรีสอร์ทส่วนตัว ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ดูธรรมดา รีสอร์ทเหล่านี้เป็นสัญลักษณ์ของช่วงเวลาที่เงียบสงบจากชีวิตที่วุ่นวายในสังคมเมือง จากจสวนของพวกเขาทอดยาวสู่ชายฝั่งมีการตกแต่งอย่างไม่มีที่ติ
… เว้นแต่เรือด่วนที่พุ่งชนพุ่มไม้
วันนี้ชายหาดเต็มไปด้วยชาวไทยที่แต่งตัวแบบโบราณ มีการแสดงให้เห็นดอกกล้วยไม้ที่มีสีสัน มันเป็นไปตามที่เราผสมผสานงานแต่งงานเข้ากับการสร้างภาพยนตร์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้สร้างภาพยนตร์สร้างขึ้นเอาไว้ หลายฉากถ่ายทำที่นี่มีทิวทัศน์ที่สวยงาม มีพระอาทิตย์ตกดินที่ดูสงบนิ่ง แตกต่างอย่างชัดเจนกับตัวละครหลักทั้งสามที่สับสนวุ่นวายในกรุงเทพที่ไม่คุ้นเคย
และเราจะมาถึงเรื่องนั้น ขณะนี้ที่กระบี่เหล่านักแสดงและทีมงานอยู่ท่ามกลางฤดูฝนของเมืองไทย และต้องพักงานเป็นเวลานานอยู่เป็นประจำเพื่อปล่อยให้ฝนตกเบาบ้างหนักบ้าง สำหรับครั้งนี้เมื่อทีมงานตากล้องและเครื่องเสียงป้องกันอุปกรณ์ของพวกเขาอยู่ใต้เต็นท์แบบพกพา ทอดด์ ฟิลลิปส์ และ เจมี่ ชุง ยืนอยู่ใต้ที่พักในร่มคันเดียวกัน และคุยกันถึงฉากที่พวกเขาต้องถ่ายทำ
และทันทีที่เริ่มต้นขึ้น ฝนก็หยุดตกและมีแสงแดดปรากฏให้เห็น
จัสติน บาร์ธ่า กลับมารับบท ดั๊ก ซึ่งยังเป็นดั๊กคนเดิมที่ติดอยู่บนหลังคาอาบแดดของลาสเวกัสที่ Caesars Palace ในฉากวันนี้ดั๊กเดินไปมาโดยมองไม่เห็นน้ำ โทรศัพท์มือถืออยู่ในมือนักแสดง เขากำลังพูดคุยอย่างไม่ปะติดประต่อก่อนที่โทรศัพท์ของเขาจะถูก ลอว์เร็น ว่าที่เจ้าสาวของสตูกระชากไปจากมือ
ลอว์เร็น ซึ่งเป็นตัวละครของเจมี่ ชุง สวมชุดที่มีเนื้อผ้าสบายๆ และเสื้อเชิ้ตของผู้ชาย ในระหว่างการเตรียมงานแต่งที่จะเกิดขึ้นใน 2-3 ชั่วโมง “ฟิล” เธอพูดพร้อมเดินไปมา “เกิดอะไรขึ้น? ให้สตูมาพูดได้แล้ว”
ฟิลลิปส์ยืนอยู่ใกล้ๆ ช่วยพูดบทของฟิลที่โทรมาจากกรุงเทพ ขณะที่พวกเขามาถึงจุดวิกฤติของเรื่อง “ใช่ … เราทำเท็ดดี้หายไป”
“อะไรนะ?”
ดั๊กถอยหลัง รับรู้ทุกอย่างเป็นอย่างดีว่าพวกเขาพบว่าตัวเองอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ดั๊กค่อนข้างเป็นคนเสมอต้นเสมอปลายที่สุดในบรรดาหนุ่มๆ” บาร์ธ่ากล่าวระหว่างฉาก “ผมมองว่าเขาพอๆ กันอยู่เสมอ เขาพยายามปลีกตัวออกจากเหตุการณ์ และทำให้ทุกอย่างดีขึ้นโดยตลอด แต่เห็นได้ชัดว่ามันคว้าน้ำเหลวอีกแล้ว ฉะนั้นฟิล สตูและอลันเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นในงานแต่งที่นี่ แต่ก็ใช่นะ พวกเขาไปยังนรกและได้กลับมา หัวใจของดั๊กอยู่ที่พวกเขา แม้ว่าจะเป็นการช่วยเหลือที่ดูห่างไกล”
เช่นเดียวกับเพื่อนร่วมแสดงกลุ่มเดียวกัน บาร์ธ่ากลับรู้สึกตื่นเต้นกับการสร้างภาพยนตร์เรื่อง The Hangover Part II เมื่อพวกเขากลับมารวมตัวกัน และพร้อมแสดงการผจญภัยที่ทวีตัวมากขึ้นของฟิล สตู ดั๊กและอลัน “ทอดด์ไม่เคยเปลี่ยนไป ไม่ว่าเราจะทำยังไงกับเขา”
นักแสดงกล่าว “เขามีมุมมองที่ชัดเจนมาก พร้อมกับสิ่งที่เขาต้องการ และเขาเข้าใจความสนุกสนานดีกว่าใครๆ ผมเลยคิดว่าการมุ่งไปข้างหน้ามันมีการรับรู้ถึงสิ่งที่เขาต้องการทำให้สำเร็จ เพราะมันมีการคาดหวังอย่างสูงจากภาพยนตร์ภาคแรก เขารู้สึกได้ถึงการนับถือภาพยนตร์เรื่อง The Hangover และสิ่งที่มันเป็น เพราะตอนนี้ผู้คนรักมันมากๆ เขาอยากกระตุ้นตัวเองและทุกคนให้ทำภาพยนตร์เรื่องนี้ให้ยิ่งใหญ่ขึ้น ฮามากขึ้น รวดเร็วขึ้นและบ้ามากขึ้น”
เป็นอีกคืนหนึ่งบนหาดอีกที่ ซึ่งอยู่บนต้นหาด บรรยากาศเป็นปาร์ตี้กองไฟที่ชายหาด ฟิล สตู อลันและเท็ดดี้รวมกลุ่มกันรอบกองไฟที่ผู้ควบคุมสเปเชียลเอ็ฟเฟ็กต์และทีมงานของพวกเขาได้แขวนโพรเพนเอาไว้ ให้มันดูเหมือนกองไฟในจินตนาการของฉากบนชายหาด ผู้ช่วยด้านการอำนวยการสร้างทำการเก็บกวาดชายหาดรอบๆ ฉาก ที่มีท่อนไม้ริมหาดขนาดใหญ่ที่เป็นองค์ประกอบของฉาก
ฟิลลิปส์เดินไปตามหาดทรายพร้อมกับเพเทอร์ ลิดดัล ผู้มิกซ์เสียง และเขาก็ปล่อยวางอุปกรณ์ไว้บนชายหาด จากนั้นเมื่ออุปกณ์อยู่ในตำแหน่งที่ใกล้กับการถ่ายทำเท่าที่เป็นไปได้แล้ว ลิดดัลบอกกับเราว่า “สิ่งหนึ่งที่เป็นความน่ารักของการทำงานในภาพยนตร์ของทอดด์ ฟิลลิปส์ และเก่ยวกับการทำงานร่วมกับเหล่านักแสดงนี้ด้วย คือความพยายามสร้างผลงานด้วยเทคนิคระดับสูงในด้านของการรวบรวมเสียง ไม่ว่าเราจะอยู่บนชายหาด กลางสายฝน หรือบนเรือที่วิ่งด้วยระยะทาง 60 ไมล์ต่อชั่วโมง การท้าทายความสามารถคือการมีความพร้อมเพื่อการทำงานที่ไม่ได้เตรียมการมาก่อนขนาดใหญ่ และพวกการแสดงที่กระทันหันที่มันเกิดขึ้นครั้งหนึ่งแล้วเราอยากอยู่ตรงนั้นเพื่อถ่ายทอดให้ทอดด์ได้เอาไปใช้มากๆ แต่มันเป็นเรื่องน่ายินดีมากเพราะพวกเขาเป็นนักแสดงสดที่มีฝีมือ”
ในฉากที่ถ่ายทำในเย็นวันนี้ เพื่อนๆ ทั้งหมดมารวมตัวกันที่รีสอร์ท ถึงอย่างไรก็ตามเพื่อทำให้มันผ่านพ้นการซักซ้อมในช่วงดินเนอร์ ซึ่งขัดกับสัญชาตญาณที่ดีของสตู คือการดื่มเบียร์ครั้งสุดท้ายร่วมกันก่อนที่สตูจะแต่งงาน แม้ว่าลอว์เร็นจะเตือนสตูให้พาน้องชายของเธอไปด้วยก็ตาม
“เท็ดดี้เป็นคนที่ซื่อสัตย์ต่อตัวละครทั้งหลายที่อยู่ที่นั่น” ลีกล่าวถึงการแสดงภาพยนตร์ของเขาเป็นครั้งแรก นักแสดงหนุ่มและนักศึกษาที่ New York University อยู่ในการซ้อมการแสดงที่กลับไปกลับมาที่น่าหวาดหวั่นระหว่างเหล่านักแสดงและผู้กำกับให้เหมาะกับตัวละครของเขา “ผมว่าบทบาทของเท็ดดี้ส่วนใหญ่แล้วคือแค่ฟังและแสดงการตอบสนองกับสิ่งนั้น มันจึงเป็นเรื่องวิเศษที่ได้เห็นทักษะการซ้อมมุขตลกของแซ็ค แบรดลีย์และเอ็ด”
แต่ลีเองก็ไม่พ้นจะระเบิดเสียงฮา “ผมแสดงได้ดีมากตอนที่เราเริ่มแสดงตอนแรก ผมภูมิใจตัวเองที่ไม่หัวเราะ แต่บางครั้งมันก็ทำได้ยาก มันยากจริงๆ”
การให้ชายหาดสว่างไสวในคืนที่ไม่มีแสงจันทร์คืนนี้ ผู้กำกับภาพลอว์เรนซ์ เชอร์ และทีมงานของเขายกบอลลูนขนาดยักษ์ 4 ลูกขึ้นมา ลูกสีเงินลูกหนึ่งและได้ก่อคลื่นขนาดยาวในทะเลแบบดวงจันทร์ ส่วนลูกอื่นเป็นสีอ่อนและมีสีเหลืองอำพัน ทำให้กล้องมีแสงเพียงพอในแบบธรรมชาติ “เราไม่ได้มีแค่แสงไฟบอลลูกเท่านั้น เรายังมีแสง Klieg บนเรือปลาหมึกบนชายฝั่งด้วย” เจ.พี. เว็ตเซล ผู้ร่วมอำนวยการสร้างและเป็นหนึ่งในผู้ที่ต้องวุ่นวายที่สุดในฉากคนหนึ่งกล่าว “แถมเรายังมีเรือหางยาว 2-3 ลำที่มีไฟคริสต์มาสระยิบระยับเพื่อให้น้ำทะเลมีประกายแวววาวสวยงามอีกด้วย”
ฟิลเสนอให้หนุ่มๆ ยกแก้วดื่มให้แก่สตูและลอว์เร็น ทุกคนยืนขึ้นยกเบียร์ขึ้นมา นั่นเป็นช่วงเวลาที่พวกเขาอาจต้องเศร้ากับอนาคตอันใกล้แกลิเฟียนาคิสแสดงท่าทางที่ดูเวอร์ เมื่ออลันวิ่งหาไม้สำหรับอุ่นมาร์ชเมลโล่ ทำให้ผู้กำกับถึงกับหัวเราะ และนั่นชัดเจนจากการบอกเล่าว่า การทำงานร่วมฟิลลิปส์ฟิลลิปส์ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการทำให้เขาหัวเราะ “และคัท…” ฟิลลิปส์กล่าวทั้งๆ ที่ยังหัวเราะ “เราทำได้ละ”
“สตูคิดว่าเขาได้จุดยืนของเขาในเรื่องนี้” ฟิลลิปส์กล่าวต่อว่า “เขาไม่ได้ดื่มหนัก พวกเขาแค่จิบนิดๆ หลังจากนั้นก็ไม่ดื่มที่กองไฟอีกเลย เขาคิดว่าเขาคุมสถานการณ์เอาไว้ไม่ให้หลุดมือไปอย่างระมัดระวัง เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นที่เวกัส … จากนั้นแน่นอนว่าพวกเขาตื่นมาในห้องพักโรงแรมแสนรกในใจกลางกรุงเทพ และไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร”
กรุงเทพมีอุณหภูมิที่ร้อนขึ้น 2-3 องศาอย่างรู้สึกได้ และมีความร้อนใจที่เร็วกว่าในกระบี่ถึงพันไมล์ต่อชั่วโมง การขับรถไปทั่วเมือง เราต้องผ่านสถานที่ใกล้เคียงขนาดใหญ่ที่แตกต่างกันออกไป จากตึกที่สูงเสียดฟ้าและทางเดินเท้าที่พื้นมันเงาของตัวเมือง ไปจนถึงชานเมืองที่มีการผสมผสานของผู้คน หลากหลายเรื่องราวที่เหมือนถนนในเรื่อง Blade Runner ของไชน่าทาวน์ในกรุงเทพ “กรุงเทพมีความสมบูรณ์ไม่ว่าเรามองไปที่ใด” โกล์ดเบิร์กกล่าว “เราไม่สามารถเลียนแบบบรรยากาศนี้ได้จากที่ไหนเลย การอยู่ที่นี่มีผลต่อพวกเราทุกคน นักแสดงบางคนและ 2 ใน 3 ของทีมงานของเราเป็นคนไทย และเรานำวัฒนธรรมไทยมาใช้ เรารู้สึกว่าเราเป็นแขกของพวกเขาที่เมืองไทย และพวกเขามีน้ำใจต่อพวกเรามาก มุขของเราอาจดูเป็นการการดูถูก แต่เราอยากแสดงความยกย่องด้วยความเคารพ”
ผู้สร้างภาพยนตร์สนุกสนานกับโอกาสที่ได้ถ่ายทำภาพยนตร์ในไชน่าทาวน์แห่งประวัติศาสตร์ของเมือง “กรุงเทพเป็นเมืองที่มีความทันสมัย เว้นแต่ที่เดียวคือไชน่าทาวน์” ผู้ออกแบบฉาก บิล บรีสกี กล่าว เขารับผิดชอบในด้านการนำมุมมองที่แตกต่างกันมาใส่ในฉากที่เบอร์แบงค์ ซึ่งเป็นที่ถ่ายทำฉากที่ “ตื่นขึ้นมา” “ไชน่าทาวน์ของพวกเขามีความแปลกมาก และเป็นส่วนที่เก่าแก่ที่สุดของกรุงเทพ แต่ผู้คนไม่คิดที่จะปรับเปลี่ยนมัน พวเขาชอบแบบนั้น มันมีความเก่าแก่ มีสถาปัตยกรรมแบบชาวอาณานิคมที่มีผู้คนหนาแน่น เสียงดัง กลิ่นแปลกๆ อาหารแปลกๆ ผมมาที่นี่ 2 ครั้งก่อนและเดินสำรวจอยู่ 2-3 อาทิตย์ โดยทั่วไปแล้วผมอยู่ในตัวเมือง ซึ่งเป็นงานส่วนที่สนุกสนาน ฉะนั้นนั่นคือภาพลักษณ์ที่เราให้ความสนใจในภาพยนตร์เรื่องนี้”
ขั้นตอนของการซึมซับเริ่มขึ้นจากการศึกษาข้อมูลและทริปการตระเวณสถานที่ และต่อเนื่องเมื่อฟิลลิปส์และผู้ร่วมเขียนเรื่องของเขาอย่างมาซินและอาร์มสตรองทำการปรับเปลี่ยนตลอดทั้งการสร้างภาพยนตร์ “มันมีการปรับเปลี่ยนตลอดเวลา และเราต้องเปิดโอกาสให้การเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น” ฟิลลิปส์กล่าว “สิ่งที่วิเศษที่สุดเมื่อตอน 6 เดือนที่แล้วตอนที่เรานั่งเขียนเรื่องอยู่ในห้อง อาจไม่สร้างความรู้สึกได้มากเหมือนตอนนี้ที่เราอยู่ที่กรุงเทพ มันมีการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ แต่เรามีการปรับตัวอยู่ตลอดเวลา และผมว่าหนุ่มๆ ทั้งสามและผมร่วมงานกันอย่างดีเพื่อสร้างการปรับเปลี่ยนนั้นให้เกิดขึ้นเล็กน้อย บางครั้งมันใช้เวลา 3 ชั่วโมง บางครั้ง 10 นาที แต่มันคือขั้นตอนหนึ่งเสมอ”
การถ่ายทำในสนามที่ที่วุ่นวายและมีชีวิตชีวา เป็นการท้าทายความสามารถทั้งในและนอกของตัวมันเอง “แค่สถานที่เดียวอย่างในไชน่าทาวน์ เรามีพื้นที่มากกว่า 230 แห่งที่ต้องดูแล คนและพวกร้านค้าอีก 200 ร้าน” คริส โลเว็นสตีน ผู้ควบคุมสถานที่กล่าว “บวกกับตำรวจผู้ควบคุมอีก 1-2 คน หรืออาจผู้ควบคุมจากรัฐบาลอีก 3-4 คน มันจึงเป็นความยุ่งยาก แต่ผู้คนมีการเปิดโอกาสให้มาก”
โกล์ดเบิร์กเห็นด้วยโดยกล่าวเสริมว่า “ผมหมายถึง มันแออัดไปด้วยผู้คน แต่ผู้คนเป็นมิตรและให้อำนวยความสะดวกให้มาก”
ฟิลลิปส์กล่าวว่า “เราใช้เวลาอยู่ในตรอกซอกซอยบนถนนไชน่าทาวน์อยู่นาน มันเป็นบรรยากาศการทำงานที่มีความเข้มข้นและน่าสนใจมาก ผมชอบนะ แต่เวลาเดียวกันก็เป็นการท้าทายความสามารถมากเลย”
“ผมว่าทอดด์ประสบความสำเร็จอย่างไม่คาดหมาย” เว็ตเซลกล่าว
เพื่อเป็นการยกตัวอย่างของประเด็นนั้น สถานที่ในวันนี้อยู่ชานเมืองของกรุงเทพ เหล่านักแสดงและทีมงานเตรียมถ่ายทำในคลองที่คดเคี้ยหลายแห่งของเมือง ซึ่งทั้งหมดเชื่อมโยงกับแม่น้ำเจ้าพระยา ในเงาของวัดกัลยาณมิตรฝั่งธนบุรี ทีมงานตั้งกล้องและอุปกรณ์บนตรอกซอกซอยที่แคบมากและเป็นพื้นที่ริมฝั่งน้ำเล็กๆ ผู้ที่เห็นเหตุการณ์ต่างยื่นศีรษะออกจากหน้าต่างและประตูบ้านเพื่อดูการถ่ายทำ
“ผมคิดว่าความวุ่นวายทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นมาก” ลอว์เรนซ์ เชอร์ แสดงความเห็นระหว่างช่วงเวลาพักที่หาได้ยาก “ที่นั่นเป็นเมืองขนาดใหญ่ที่มีผู้คนคับคั่ง เรารู้สึกหวาดกลัวมากและภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ที่ต้องพยายามหาคนที่หายไปจากใจกลางเมืองนี้ เมื่อพวกเขาตื่นขึ้นมาโดยไม่รู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน”
ฟิลลิปส์และเชอร์หาวิธีผ่านตรอกซอกซอยแคบๆ เพื่อตรวจสอบการติดตั้งบนน้ำ เรือของเจ้าฮีโร่ (ซึ่งเป็นเรือที่เหมือนทรงบุรีมีความโฉบเฉี่ยว เรียกกันว่าเหมือน “ชีวิตที่เพอร์เฟ็กต์”) เมื่อเรือถูกยึดติดกับเคนกล้องและเรือของทีมงานอีก 2 ลำ
เรือของเจ้าฮีโร่ถูกขึงเอาไว้เป็นพิเศษ เพื่อให้คนขับสตั๊นท์ถือหางเสือ เพื่อนำตัวลำเรือในระหว่างที่นักแสดงควบคุมตัวเองอยู่หน้ากล้อง “เราขับผ่านคลองมากมาย และเราขับไปอย่างไม่รู้ทิศทาง เพราะจะมีคนขับซ่อนอยู่ใต้ท้องเรือ ดังนั้นนักแสดงจึงไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นเลย” ผู้ควบคุมสตั๊นท์ อัลลาน กราฟ กล่าว
หลังการตรวจเช็คด้านเทคนิคบางอย่าง ฟิลลิปส์ไปอยู่ในตำแหน่งที่ใกล้กับกล้องในซอยที่นำไปสู่ท่าเรือ แขวนมอนิเตอร์แบบพกพกไว้รอบคอ และหมวกฟางที่อยู่ติดตัวตลอดเวลารวมถึงแว่นตาไว้บนศีรษะ นักแสดงนำอยู่ในตำแหน่งที่ตรงข้ามท้ายซอย เตรียมพร้อมจะวิ่งไปเมื่อได้สัญญาณจากผู้กำกับ เขาตกลงกับเชอร์อย่างรวดเร็วจากนั้นพยักหน้า “ไปได้เลย”
ทุกๆ ที่รอบฉาก ทีมงานตะโกนว่า “แอ็คชั่น!” จากนั้นทุกคนก็ออกตัว
“ผมว่าภาพยนตร์คอมเมดี้เป็นสิ่งที่ดีที่สุดเสมอ ในยามที่มันรู้สึกอันตรายนิดๆ เช่นมันสามารถเข้าไปสู่สถานที่ที่คาดไม่ถึงได้” ฟิลลิปส์ กล่าว “สำหรับภาพยนตร์เรื่อง The Hangover Part II พวกเราไม่ได้พยายามเอาชนะว่าพวกเราจะผลักดันทุกอย่างไปได้ไกลกว่าภาพยนตร์เรื่องแรกมากแค่ไหน มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการทำสิ่งที่ต้องยกย่องสถานที่ของภาพยนตร์เรื่องแรกที่เราดู”
ภาพยนตร์เรื่อง The Hangover Part II เปิดตัวทั่วโลกเริ่มวันที่ 26 พฤษภาคม