MOVIE: "The Ward"

ข่าวบันเทิง Thursday May 12, 2011 09:58 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--12 พ.ค.--สหมงคลฟิล์ม ประเภท Horror / Thriller คำโปรย Only sanity can keep you alive กำหนดฉาย 19 พฤษภาคม 2011 เว็บไซด์ภาพยนตร์ http://thewardmovie.com/ บริษัทจัดจำหน่าย มงคลเมเจอร์ อำนวยการสร้าง ปีเตอร์ บล็อค (Saw I-VI, High Tension, Hard Candy) กำกับ จอห์น คาร์เพนเตอร์ (Halloween, The Fog, Village of the Damned) นำแสดง แอมเบอร์ เฮิร์ต (Never Back Down, The Informers) เดเนียลเล่ พานาบาเกอร์ (Friday the 13th, Sky High) มิก้า บูเรม (Dirty Dancing: Havana Nights, Blue Crush) ลินซี่ย์ ฟอนเซก้า (Kick-Ass) การกลับมาครั้งแรกในรอบ 10 ปีของ จอห์น คาร์เพนเตอร์ ผู้กำกับต้นฉบับ Halloween และ The Thing ผลงานจากผู้สร้าง Saw ทุกภาค เนื้อเรื่อง ผลงานการหวนคืนสู่การกำกับหนังครั้งแรกในรอบ 10 ปีของ จอห์น คาเพนเตอร์ ที่ให้กำเนิดหนังสยองขวัญสุดคลาสสิกอย่าง Halloween และ The Thing คริสเต็น (แอมเบอร์ เฮิร์ต) วัยรุ่นเจ้าปัญหาฟื้นขึ้นมาพร้อมกับรอยฟกช้ำและบาดแผลจากการถูกลาก เธอพบว่าตัวเองถูกกขังไว้ในวอร์ดผู้ป่วยโรงพยาบาลจิตเวช เธอสับสนว่าทำไมถึงถูกพามายังสถานที่แห่งนี้ และก็ไม่มีความทรงจำใดๆเกี่ยวกับชีวิตก่อนหน้านี้เลย มีเพียงสิ่งเดียวที่เธอรู้ในตอนนี้ก็คือ... ที่นี่ไม่ปลอดภัย หญิงสาวอีก 4 คนในวอร์ดแห่งนี้ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง คริสเต็น พบว่าทุกสิ่งไม่เป็นไปอย่างที่เห็น บรรยากาศหนักอึ้งไปด้วยความลับ โดยเฉพาะตอนกลางคืนเมื่อความมืดเข้าปกคลุม พวกเธอก็จะได้ยินเสียงแปลกๆที่ชวนให้ขนลุก... ดูเหมือนพวกเธอทั้งห้าคนจะไม่ได้อยู่เพียงลำพัง ในไม่ช้าเพื่อนร่วมวอร์ดของ คริสเต็น ก็หายตัวไปทีละคนสองคน เธอตัดสินใจว่าจะต้องหาทางออกขุมนรกนี้ให้ได้ ก่อนที่ตัวเองจะตกเป็นเหยื่อรายต่อไป แต่เมื่อพยายามหนี คริสเต็น ก็ยิ่งพบกับเหตุการณ์สุดอันตราย และความจริงอันน่าสยดสยองเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด The Ward กำกับโดย จอห์น คาร์เพนเตอร์ (Halloween, Escape from LA, Starman, The Fog, The Thing) จากบทภาพยนตร์ของ ไมเคิล ราสมุนเซน และ ฌอน ราสมุนเซน นำแสดงโดย แอมเบอร์ เฮิร์ต (Never Back Down, The Informers), เดเนียลเล่ พานาบาเกอร์ (Friday the 13th, Sky High), มิก้า บูเรม (Dirty Dancing: Havana Nights, Blue Crush), ลินซี่ย์ ฟอนเซก้า (Kick-Ass) และ จาเร็ด แฮร์ริส (Mad Men, The Curious Case of Benjamin Button) ในบท ดร. สตริงเกอร์ ทีมงานของ The Ward ประกอบไปด้วยผู้กำกับภาพ ยารอน ออร์บาค (The Joneses, Please Give), ผู้ออกแบบงานสร้าง พอล ปีเตอร์ส (Out of Time, High Crimes) และผู้อำนวยการสร้าง ปีเตอร์ บล็อค จาก Saw ทุกภาค จุดเริ่มต้น The Ward ถือเป็นการหวนคืนสู่จอเงินครั้งแรกในรอบ 10 ปีของผู้กำกับสยองขวัญในตำนาน จอห์น คาร์เพนเตอร์ โดยเขาได้กล่าวถึงสิ่งที่ทำให้เขาตัดสินใจกลับมาทำหนังว่า "ต้องยกเครดิตให้ มิค แกร์ริส ที่ชวนผมกำกับซีรี่ย์ Master of Horror เมื่อหลายปีก่อน ที่ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองสนุกกับการเป็นผู้กำกับอีกครั้ง โดยครั้งนี้ผมต้องการทำหนังที่ใช้ความคิดในการคลี่คลายปริศนา และนั้นก็ทำให้การเล่าเรื่องใน The Ward เป็นงานที่ทั้งท้าทายและสนุก" ถึงแม้ว่า The Ward จะมีองค์ประกอบที่คุ้นเคยตามแบบฉบับของหนัง จอห์น คาร์เพนเตอร์ แต่เรื่องราวก็ต้องมีจุดเด่นและความพิเศษพอ ที่จะชักชวนผู้กำกับคนนี้หวนกลับมาสู่จอเงิน และก็เป็นบทภาพยนตร์ที่มาจากสตูดิโอ Echo Lake Entertainment ที่ทำให้ คร์เพนเตอร์ รู้สึกแบบนั้น ดัค แมนคอฟ หนึ่งในผู้อำนวยการสร้างและผู้บริหารของ Echo Lake เผยว่า "พวกเราต้องการบทภาพยนตร์ที่มีความฉลาด น่ากลัว เล่าเรื่องในพื้นที่จำกัด และมีการศึกษาตัวละคร โดยในฐานะผู้อำนวยการสร้าง สิ่งที่เข้มแข็งที่สุดในบทภาพยนตร์ของ The Ward ก็คือตัวละคร คุณแค่อ่านมันครั้งแรกก็รู้สึกถึงได้แล้ว" แมนคอฟ พูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในบทภาพยนตร์ต่อว่า "ลองนึกว่าคุณถูกบังคับให้อยู่ในโรงพยาบาลบ้า และคุณก็เริ่มสงสัย หรืออาจรู้อะไรบางอย่าง เมื่อคนรอบตัวถูกฆ่าไปทีละคน แต่ก็ไม่มีใครเชื่อเพราะว่าพวกเขาคิดว่าคุณเสียสติไปเอง และมันก็ยิ่งน่ากลัวมากขึ้น เพราะคุณรู้ตัวว่าอีกไม่ช้าเหยื่อรายต่อไปก็คือคุณ" คาร์เพนเตอร์ เผยถึงการกลับมารับงานกำกับ The Ward ว่า "มันเป็นเรื่องสนุกที่ได้กลับมาทำงานอีกครั้ง สิ่งแรกที่ผมมองหาก็คือเรื่องราว ถ้าผมเห็นภาพเวลาที่ผมอ่านบท และเข้าใจถึงพื้นฐานของตัวละคร ผมก็ให้ความสนใจ ผมเข้าใจดีว่ากระบวนการสร้างหนังเป็นอย่างไร แต่ผมไม่เคยปล่อยให้ปัจจัยอื่นเข้ามาแทรกในสิ่งที่ผมต้องการทำ หนังที่อยู่ในหัวก็คือหนังที่ผมต้องการทำ" คอหนังสยองขวัญและสาวกที่ติดตามผลงานของ คาร์เพนเตอร์ ก็คือผู้อำนวยการสร้าง ปีเตอร์ บล็อค ที่มีผลงานอย่าง Saw ทุกภาค รวมถึงผลงานสยองขวัญคุณภาพอย่าง High Tension, Undead, Cronos, Dead Alive และ Hard Candy ก็ได้เข้ามาร่วมทุนสร้างภายใต้สตูดิโอใหม่ที่เขาก่อตั้งอย่าง A Bigger Boat บล็อค เล่าถึงการเข้ามาร่วมสร้างว่า "เป็นความใฝ่ฝันของผมที่จะสร้างหนังของ จอห์น คาร์เพนเตอร์ โดยตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา ผมได้ซื้อและสร้างหนังสยองขวัญมาแล้วมากมาย แต่การได้ร่วมงานกับ จอห์น ถือเป็นสิ่งที่เกินกว่าความความหวังของผม ในฐานะสาวกที่ติดตามผลงานของเขา ผมบอกได้ว่า The Ward จะไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง" บล็อค กล่าวสรุปว่า "The Ward จะอยู่เคียงข้างกับหนังคลาสสิกของ จอห์น คาร์เพนเตอร์ จะเป็นการสืบสานตำนานของหนังอย่าง The Fog, Halloween และ The Thing และยังเป็นการแสดงให้นักสร้างหนังในปัจจุบันเวทีเห็นว่า หนังสยองขวัญที่แท้จริงนั้นเป็นยังไง" การคัดเลือกนักแสดง ถ่ายทำนอกตัวเมือง รัฐวอชิงตัน ในเขตพื้นที่ของโรงพยาบาลโรคจิต อีสเทิร์น วอชิงตัน สเตท (Eastern Washington State) ที่ยังเปิดใช้งานในปัจจุบัน The Ward มีองค์ประกอบของหนัง จอห์น คาร์เพนเตอร์ อยู่ทุกอณู ไม่ว่าจะเป็น ความโดดเดี่ยว วิตกจริต และอันตรายที่มองไม่เห็น เมื่อคนไข้ 5 คนตกอยู่ในอันตราย ภายในเขาวงกตที่สร้างขึ้นด้วยฝีมือของ คาร์เพนเตอร์ อย่างพิถีพิถัน ผู้อำนวยการสร้าง แอนดี้ สปอลดิ้ง พูดถึงองค์ประกอบสำคัญของ The Ward ว่า "พวกเราต้องการยกระดับให้เหนือกว่าหนังสยองขวัญทั่วไป สำหรับพวกเราแล้วองค์ประกอบหลักของหนังก็คือ จอห์น คาร์เพนเตอร์ ผู้กำกับที่สามารถถ่ายทำเรื่องราวในจินตนาการ ด้วยสภาพแวดล้อมของทีมงานที่ทำงานกันรวดเร็ว และทีมนักแสดงที่น่าทึ่งที่สุด" นักแสดงนำของเรื่องก็คือ แอมเบอร์ เฮิร์ต ที่เคยร่วมงานกับสตูดิโอ Echo Lake มาแล้วใน The Joneses ผู้อำนวยการสร้าง ดัค แมนคอฟ เผยว่า "พวกเราดีใจที่ได้ทำงานร่วมกับ แอมเบอร์ อีกครั้ง เธอเป็นนักแสดงที่มีความสามารถ นั้นทำให้เราเสนอชื่อของเธอให้กับ จอห์น พิจารณา" แอมเบอร์ เฮิร์ต รับบทเป็น คริสเต็น พูดถึงสาเหตุที่ทำให้เธอเข้ามาแสดงนเรื่องนี้ "นี่คือโอกาสทองที่จะได้ร่วมงานกับตำนานของวงการภาพยนตร์ และอีกสิ่งที่ทำให้สนใจก็คือฉันชอบหนังแนวนี้ The Ward เป็นส่วนผสมที่ลงตัวสำหรับฉัน ฉันชอบทั้งผู้กำกับ แนวหนัง และบทภาพยนตร์" เฮิร์ต เล่าต่อว่า "จอห์น คาร์เพนเตอร์ เป็นปรมาจารย์ เมื่อคุณพูดถึงหนังสยองขวัญ ชื่อของเขาก็จะถูกเอ่ยขึ้นมาในบทสนทนา ฉันรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เห็นสิ่งที่เขาใส่เข้ามาที่ฉันมองไม่เห็นในบทภาพยนตร์ หนังเรื่องนี้คือตัวตนของเขา มันจะกลายเป็นหนังอีกเรื่องไปเลยถ้าไม่ใช่ผู้กำกับคนนี้ บุคลิกของเขามีความโดดเด่น เขาสามารถแบกหนังเอาไว้ได้ทั้งเรื่อง" เฮิร์ต กล่าวสรุปว่า "นักแสดงทุกคนต่างก็มีความสามารถและจุดเด่น ฉันรู้สึกแปลกใจที่ได้เห็นแนวทางของพวกเธอที่หยิบมาใช้ในตัวละคร พวกเราทุ่มเทในการทำให้ตัวละครมีความโดดเด่น และน่าแปลกที่ถึงแม้จะมีนักแแสดงหญิงอยู่ถึง 5 คน พวกเราก็ไม่เคยทะเลาะกันเลย" ลินซี่ย์ ฟอนเซก้า รับบทเป็น ไอริส พูดถึงประสบการณ์ในการถูกคัดเลือกเข้ามารับบทว่า "การทดสอบบทของฉันควรที่จะเป็นช่วงอาหารกลางวัน แต่ตอนที่ออกมาจากรถฉันก็เห็น จอห์น คาร์เพนเตอร์ นั่งสูบบุหรี่บนม้านั่งนอกร้านอาหาร เขาบอกฉันว่า "เรามานั่งคุยกันข้างนอกดีกว่า" ซึ่งเราก็ได้พูดคุยกันทุกเรื่อง เขาบอกว่าที่เขาเลือกเพราะฉันเป็นคนที่ใช่สำหรับเขา" ลอร่า-ลีห์ รับทเป็น โซอี้ พูดถึงการเข้ามาแสดงว่า "นี่คือหนังเรื่องแรกของฉัน ฉันรู้จัก จอห์น คาร์เพนเตอร์ มาก่อนแต่ก็ยังไม่ได้ดูผลงานของเขา ก่อนที่จะทดสอบบทฉันได้เลือกหนังของเขามาดูภายในสองคืน และมันก็มีความแตกต่างกันในแนวหนัง อย่างเช่น Christine ที่เต็มไปด้วยความสมจริง หรือหนังหลุดโลกอย่าง Big Trouble in Little China และหนังรัก-แฟนตาซีอย่าง Memoirs of an Invisible Man" มามี่ กัมเมอร์ รับบทเป็น เอมิลี่ ก็พูดถึงการได้เข้ามารับบทว่า "ฉันได้อ่านบทและรู้สึกชอบมาก เพราะมันทำให้ฉันกัดเล็บตลอดเวลา จากนั้นฉันก็ได้นัดพบกับ จอห์น ในร้านอาหาร เราทั้งคู่คุยกันถูกคอกันทันที แต่ฉันดูหนังของเขาไม่ไหวหรอกนะ เพราะฉันทนดูหนังผีไม่ได้ แต่เขาก็เป็นผู้กำกับที่ยอดเยี่ยมที่ได้ร่วมงานด้วย" เดเนียลเล่ พานาบาเกอร์ รับบทเป็น ซาร่าห์ เล่าว่า "หน้าที่ของฉันก็คือการช่วย จอห์น เล่าเรื่องออกมาให้ดีที่สุด มันเป็นเวลานับทศวรรษที่ จอห์น ห้างหายจากการทำหนังใหญ่ แต่ก็เป็นเรื่องน่าทึ่งที่เขาสามารถกลับมากำกับเหมือนไม่ได้หายไปไหน และยังทำให้คุณรู้สึกทึ่งตลอดเวลา ฉันหวังว่าแฟนๆที่รอคอยทุกคนคงไม่ผิดหวัง" มิก้า บูเรม รับบทเป็น อลิซ ก็เผยว่า "ทั้งชีวิตคุณคงแสดงหนังได้ไม่กี่สิบเรื่อง และหนึ่งในนั้นก็ควรจะเป็นหนังของ จอห์น คาร์เพนเตอร์ ฉันเป็นแฟนพันธุ์แท้ของเขา และหนังที่ฉันชอบที่สุดก็คือ The Thing เมื่อได้อ่านบทฉันก็ชอบทันที องค์ประกอบทุกอย่างดึงฉันเข้าไปในเรื่องราว ความกดดันทำให้ฉันรู้สึกตื่นเต้น และฉันยังสนใจเรื่องจิตเวชอยู่แล้ว และการได้รับบทเป็น อลิซ ก็เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจ เป็นสิ่งที่ฉันนึกไม่ถึงมาก่อน" จอห์น คาร์เพนเตอร์ พูดถึงทีมนักแสดงของเขาว่า "นี่คือกลุ่มนักแสดงที่ยอดเยี่ยมที่สุด ทุกคนสามารถสร้างความผูกพันในระหว่างการถ่ายทำ และความผูกพันก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะมันทำให้พวกเธอแสดงได้อย่างเป็นธรรมชาติ และทำให้บรรยากาศของการทำงานมีความสนุก เพราะด้วยเนื้อหาและสภาพแวดล้อมที่แต่ละคนต้องเจอเป็นอะไรที่กดดันมาก" ผู้อำนวยการสร้าง ปีเตอร์ บล็อค พูดถึงทีมนักแสดงว่า "นักแสดงหญิงทั้ง 5 คนเมื่อรวมกันแล้วจะทำให้คุณต้องทึ่ง จอห์น ดูมีความชัดเจนในการถ่ายทอดแต่ละคน เขาดึงเดาจุดเด่นของนักแสดงแต่ละคนออกมาใช้ และก็ยังมอบพื้นที่ให้พวกเธอได้เติบโต จอห์น รู้ว่าหนังสยองขวัญที่ดีจะขับเคลื่อนด้วยตัวละคร และเขาก็ได้มอบความมั่นใจให้กับพวกเธอ" บล็อค เล่าต่อว่า "นักแสดงทั้ง 5 มีช่วงเวลาที่โดดเด่น มามี่ สามารถแสดงเป็นผู้หญิงร้ายได้อย่างน่าจดจำ ดาเนียลเล่ ก็มีความเซ็กซี่ ลินซี่ย์ ก็มีเสียงกรีดร้องที่น่าขนลุกที่สุด ในณะที่ ลอร่า-ลีห์ ก็แสดงเป็นตัวละครที่ไม่รู้จักโตได้อย่างน่าทึ่ง แต่ก็เหมือนกับทีมบาสเก็ตบอล เมื่อในทีมต้องมีซุปเปอร์สตาร์อยู่ และใน The Ward ก็คือ แอมเบอร์ เฮิร์ต เพราะทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับเธอ เพราะทุกๆฉากต้องมีเธอปรากฏตัว" คาร์เพนเตอร์ พูดถึงสิ่งที่นักแสดงของเขาต้องทำว่า "นักแสดงต้องสามารถพิสูจน์ตัวเอง เพราะนั้นคือส่วนหนึ่งของงาน ผมไม่ติดใจถ้าพวกเธอจะค้นพบระหว่างอยู่ในกองถ่าย เราสามารถช่วยกันได้ แต่สุดท้ายแล้วผมต้องการให้พวกเธอพร้อมเมื่อถึงเวลาถ่ายทำ หน้าที่ผมก็คือคอยแนะนำ ผมเป็นคนทำงานเร็ว มีฉากที่ต้องถ่ายทำมากมาย ผมต้องการเทคที่ดีสองเทคแล้วถ่ายทำฉากต่อไป แต่บางฉากมันก็ต้องใช้เวลา" ลอร่า-ลีห์ เล่าถึงประสบการณ์ในการถ่ายทำว่า "ฉันชอบวิธีการทำงานในเรื่องนี้ ฉันไม่ต้องถ่าย 30 เทคเพื่อให้ตัวเองเข้าใจว่าต้องทำยังไง จอห์น ต้องการให้คุณมีการเตรียมตัว เขาบอกให้คุณทำการบ้านมาก่อนและนำสิ่งที่คุณเข้าใจเข้ามาในการถ่ายทำ ซึ่งทำให้ฉันได้เรียนรู้ว่าถ้าคุณมีการเตรียมตัว บางสิ่งบางอย่างก็จะเกิดขึ้นเมื่อถึงเวลาของมัน และเขาก็พร้อมที่จะช่วยเหลือคุณในการทำงาน" ฟอนเซก้า พูดถึงผู้กำกับว่า "จอห์น เป็นคนตลก เพราะเขาดูเหมือนพวกหัวโบราณ เช่นทุกคนต้องปิดโทรศัพท์มือถือ ไม่มีการหยอกล้อเล่นกัน เขาดูเหมือนคนที่คุณเล่นด้วยไม่ได้ แต่กลายเป็นว่า จอห์น แค่แกล้งทำให้ดูเหมือนผู้กำกับสุดเฮี้ยบ คุณจะรู้ได้ทันทีว่าเขาเป็นคนใจดี และก็คอยดูแลพวกเราทุกคน" คาร์เพนเตอร์ พูดถึงทีมนักแสดงของเขาว่า "ผมชื่นชมนักแสดงทุกคน เพราะพวกเธอทำให้ผมทำงานเบาลง ผมคิดว่าถ้านักแสดงนำแนวคิดของตัวเองเข้ามา และมีแรงใจในการแสดงเป็นตัวละครที่ได้รับ มันก็จะดีกว่าในทุกขั้นตอน ผมภูมิใจในพวกเธอ และมีความสุขกับผลลัพธ์ รวมถึงนักแสดงอย่าง จาเรด แฮร์ริส ที่เป็นเหมือนผู้บังคับกฏในหนัง" จาเรด แฮร์ริส รับบทเป็น ดร. สตริงเกอร์ ได้กล่าวชื่นชมผู้กำกับว่า "จอห์น คาร์เพนเตอร์ เป็นคนยอดเยี่ยมมาก เพราะเขาสามารถทำแนวหนังที่ยากให้เป็นเรื่องง่าย เขาไม่ใช่แค่ผู้กำกับหนังสยองขวัญ เพราะหนังอย่าง Starman หรือ Big Trouble in Little China ก็แสดงให้เห็นว่าเขาทำหนังได้ทุกแนว The Ward มีองค์ประกอบของหนังสยองขวัญ แต่มันก็ยังเป็นหนังทริลเลอร์จิตวิทยา ผมคิดว่าสิ่งที่เราทำนั้นประสบความสำเร็จ" แฮร์ริส พูดถึงการเข้ามาร่วมงานว่า "ผมพบกับ จอห์น ครั้งแรกในวันที่พวกเราเริ่มถ่ายทำ และพบว่าเขาเข้าใจสิ่งที่กำลังตามหาอย่างแน่นอน ผมรู้สึกได้เลยว่าเขาตัดต่อหนังทั้งเรื่องเอาไว้ในหัวแล้ว เขาถ่ายทำส่วนนี้หน่อยส่วนนั้นหน่อย เขาทำงานแตกต่างไปจากระบบของสตูดิโอ ที่ต้องการให้ทุกอย่างเป็นไปตามตารางงาน เขามีพื้นที่สำหรับเรื่องที่ไม่คาดคิดเสมอ นี่เป็นหนังที่มีการดั้นสดมากที่สุดในอาชีพนักแสดงของผม ผมรู้สึกซาบซึ้งไปกับประสบการณ์ที่ได้รับจากเรื่องนี้" ถ่ายทำจากสถานที่จริง The Ward ถ่ายทำกันทางตะวันออกของรัฐวอชิงตัน ทีมงานได้พบสถานที่หลักในการถ่ายทำที่ Eastern Washington State โรงพยาบาลสำหรับผู้ป่วยทางจิต ที่ส่วนหนึ่งก็ยังมีการเปิดใช้งานจนถึงปัจจุบัน ถูกสร้างตั้งแต่ปีค.ศ. 1891 โดย ดร. สตอรี่ เคิร์คไบรด์ เพื่อใช้รักษาอาชญากรที่มีอาการป่วยทางจิต ด้วยภายนอกที่ใหญ่โตน่าเกรงขาม และภายในที่ซับซ้อนเหมือนเขาวงกต แต่ละปีกทอดยาวไกลจากห้องโถงใหญ่ ทั้งหมดได้มอบเลือดเนื้อให้กับโลกที่ คาร์เพนเตอร์ ต้องการสร้างใน The Ward ผู้อำนวยการสร้าง ไมค์ มาร์คัส พูดถึงสถานที่ถ่ายทำว่า "องค์ประกอบของที่นี่สมบูรณ์แบบที่สุด พวกเราถ่ายทำในส่วนที่ไม่ได้ใช้ในปัจจุบัน" ในขณะที่ คาร์เพนเตอร์ เล่าต่อว่า "สภาพแวดล้อมของเราก็คือโรงพยาบาลที่มีผู้ป่วยทางจิตของจริง อาคารแห่งนี้มีความเก่าแก่และมีเรื่องเล่าที่มอบอารมณ์ร่วมให้เรา ผมพอใจกับสถานที่แห่งนี้มาก" หน้าต่างนับร้อยบานแสดงให้เห็นทุ่งข้าวโอ๊ตที่ไกลสุดลูกหูลูกตา ในขณะที่ส่วนที่ถูกทิ้งร้างของอาคาร ก็มีบรรยากาศที่เหมาะสำหรับ ดร. สตริงเกอร์ ที่จะรักษาด้วยวิธีการของเขา ด้วยความยิ่งใหญ่ของสถานที่นี้ทำให้ คาร์เพนเตอร์ มีวัตถุดิบที่เสมือนจริง ซึ่งเขาและผู้ออกแบบงานสร้าง พอล ปีเตอร์ส สามารถใช้เพื่อสร้างความรู้สึกสุดสยองได้ ปีเตอร์ส อธิบายว่า "ภายในอาคารแห่งนี้มีความซับซ้อน ถึงแม้มันจะมีทางที่คุณหนีออกมาได้ แต่มันก็จะเป็นการหนีจากห้องสู่อีกห้อง ไม่มีทางหนีออกไปข้างนอก โดยห้องที่อยู่สุดทางระเบียงที่มีกระจกบานใหญ่ที่สวยงาม ซึ่งมันก็เป็นเหมือนการบอกให้กับผู้ที่อยู่แต่ละฝากของกระจกว่า คุณเข้ามาไม่ได้ และ คุณออกไปไม่ได้" ปีเตอร์ส พูดถึงการออกแบบงานสร้างว่า "ด้วยความที่โรงพยาบาลแห่งนี้ถูกสร้างในปีค.ศ. 1891 มันก็ได้มอบอารมณ์ร่วมที่เราต้องการสร้างพอดี ในอดีตนั้นผู้ป่วยต้องรวมกันเหมือนหอพัก ในปัจจุบันมีวิธีรักษาผู้ป่วยทางจิตอยู่หลายทาง แต่ในอดีตนั้นการรักษาก็ถูกจำกัดอยู่เพียงแค่ไม่กี่วิธีเท่านั้น" ปีเตอร์ส พูดถึงกระบวนการออกแบบงานสร้างต่อว่า "พวกเรามีพื้นที่ในการถ่ายทำที่กว้างใหญ่ ทำให้ไม่จำเป็นที่เราจะต้องใช้พื้นที่เดียวในการถ่ายทำ เราอาจจะใช้ะเบียงจากอาคารหนึ่ง แต่ห้องผู้ป่วยอาจจะไปถ่ายทำกันในอาคารสาม พวกเราต้องการสร้างเขาวงกตที่ถูกประสานเข้าด้วยกัน แต่ทุกฉากจะต้องรวมกันเหมือนกับว่าเกิดขึ้นภายในอาคารเดียว" ผู้กำกับภาพ ยารอน ออร์บาค อธิบายว่า "พวกเราพยายามรวมอาคารสามหลังให้กลายเป็นหนึ่งเดียว เมื่อเราได้เลือกสถานที่หลักที่จะเป็น วอร์ด หมายเลข 19 พวกเราก็มองหาห้องอื่นๆที่จะนำเข้ามาเรียงร้อยเข้าด้วยกัน และสุดท้ายแล้วทุกอย่างก็เป็นไปได้ด้วยดี จอห์น ขอให้พวกเราวาดแผนผังที่จะเชื่อมห้องต่างๆเข้าด้วยกัน" คาร์เพนเตอร์ สรุปว่า "มนต์เสน่ห์ของโลกภาพยนตร์ก็คือการหลอกคนดูว่า สิ่งที่คุณเห็นนั้นเป็นไปอย่างที่เห็น พอล ได้วาดแผนผังที่ช่วยผมสามารถถ่ายทำได้ง่ายขึ้น และทำให้ผมรู้ว่าอันไหนสามารถถ่ายได้หรือว่าอันไหนที่เป็นไปไม่ได้" ขณะเดียวกันบรรยากาศภายในโรงพยาบาลก็ถือเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ พานาเบเกอร์ เล่าว่า "พวกเราทำงานร่วมกับผู้ป่วยทุกคน ฉันชอบที่ได้ออกไปถ่ายทำในสถานที่จริง เพราะมันช่วยให้ฉันเข้าใจในตัวละครมากขึ้น มันเป็นสถานที่ที่ห่างไกลผู้คน อาณาเขตก็มีรั้วหนามกั้นโดยรอบ มันทำให้คุณรู้สึกว่าตัวเองถูกขังและถูกจับตามองอยู่จริงๆ และความรู้สึกนั้นก็ทำให้คุณเข้าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น" แอมเบิร์ต เฮิร์ต เสริมว่า "การถ่ายทำในโรงพยาบาลบ้าของจริงเป็นประสบการณ์ที่แตกต่างออกไปเลย ช่วงแรกๆที่ฉันเข้ามาทำงานในกอง ถ่าย ฉันก็อดใจที่จะหันไปมองข้างหลังไม่ได้ มันเป็นสถานที่ที่น่าสะพรึงกลัว ซึ่งฉันก็หวังว่ามันจะถูกถ่ายทอดออกมาเต็มที่บนจอภาพยนตร์" ลอร่า-ลีห์ เล่าประสบการณ์ของเธอว่า "พวกเราได้ยินเสียงของผู้ป่วยที่อยู่อีกอาคารแทบทุกวัน ในขณะที่ตึกที่เราถ่ายทำก็เคยถูกใช้งานจริง ฉันจะเข้าไปในห้องที่ตัวละครของฉันอยู่ เพื่อเตรียมตัวสวมบทเป็นเธอทุกครั้ง เพราะห้องเล็กๆนั้นเป็นห้องที่เคยมีผู้ป่วยจริงอยู่ สถานที่ถ่ายทำมีอิธิพลต่อการแสดงของฉัน เมื่อฉันตื่นขึ้นมาและขับรถไปจ่ายตลาด มันจะทำให้คุณรู้สึกปกติ แต่เมื่อฉันตื่นขึ้นมาและขับรถไปโรงพยาบาลบ้า มันจะทำให้คุณรู้สึกอีกแบบหนึ่งเลย" ฟอนเซก้า ก็พูดถึงสถานที่ถ่ายทำว่า "สถานที่แห่งนี้สมบูรณ์แบบที่สุด มันทั้งน่ากลัวและโดดเดี่ยว มันเป็นโรงพยาบาลบ้าของจริง โดยส่วนหนึ่งของอาคารก็ยังเอาไว้กักขังอาชญากรโรคจิต คุณจะสัมผัสมันได้จากกำแพง" จาเรด แฮร์ริส กล่าวสรุปว่า "มันเป็นความสุขที่ได้ทำงานในสถานที่แห่งนี้ มันมอบความสมจริงให้กับตัวหนัง ซึ่งจะช่วยในเรื่องจินตนาการของคุณ ผมคิดว่าการรักษาด้วยกระแสไฟฟ้าเป็นเรื่องที่รบกวนจิตใจ และสำหรับคนดูมันก็จะเป็นเรื่องที่ทรมานจิตใจที่สุด และที่สำคัญพวกเรายังถ่ายทำกันในห้องที่เคยใช้ช็อตผู้ป่วยจริงๆอีกด้วย" การออกแบบงานสร้าง ผู้ออกแบบงานสร้าง ปีเตอร์ส พูดถึงแนวทางการออกแบบว่า "ถึงแม้แต่ละห้องจะบ่งบอกถึงตัวตนของผู้ป่วย แต่โดยรวมแล้วมันก็คือการร่วมให้เป็นหนึ่ง ผมต้องการสร้างสถานที่แห่งนี้ให้มีความกดดัน ความอึดอัด ปราศจากความสดใส ขาดแรงใจ ความอบอุ่น และความสะดวกสบาย สิ่งเดียวที่เชื่อมผู้หญิงเหล่านี้เข้าด้วยกัน ก็คือการถูกจับมาอยู่ที่เดียวกันโดยที่พวกเธอไม่ได้เลือก" สำหรับ ปีเตอร์ส สิ่งที่ทำให้เขามาทำงานใน The Ward ก็คือตัวผู้กำกับ หลังจากได้อ่านบทภาพยนตร์ ปีเตอร์ส ก็ได้พูดคุยกับผู้กำกับ "จอห์น และผมได้คุยเกี่ยวกับหนังและแนวทางในการทำงาน โชคดีที่ทั้งเขาและผมมองหนังเรื่องนี้ในแนวทางเดียวกัน ผมอยากให้โลกของ The Ward มีโทนเดียวกันทั้งหมด เพื่อที่จะได้สร้างความรู้สึกของการถูกกักขังจนไร้อิสระภาพ ให้กลายเป็นสถานที่ที่ความชั่วร้ายอาศัยอยู่" การใช้ระเบียงยาว 140 ฟุต และห้องผู้ป่วยขนาด 22 ห้องเป็นสถานที่หลักที่ใช้ใน The Ward ปีเตอร์ส ก็พบว่ามันสร้างแรงบันดาลใจจากสถานที่จริง ทำให้การทำงานของเขาง่ายขึ้น "เมื่อเรานำตัวของ คริสเต็น เข้ามาอยู่ในโรงพยาบาล เธอก็สำรวจลึกเข้าไปเรื่อยๆภายในตัวอาคาร และผู้ชมก็จะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศ มันจะเป็นอะไรที่น่าหดหู่ มืดหม่น และสูญเสียกำลังใจมากที่สุด" การถ่ายทำ ยารอน ออร์บาค เป็นผู้กำกับภาพของ The Ward เขาได้พูดถึงการทำงานในเรื่องนี้ว่า "สถานที่ถ่ายทำเป็นฝันสำหรับผู้กำกับภาพทุกคน เพราะว่ามันมีหน้าต่างให้เราเล่นกับแสงได้มากมาย ผมไม่ต้องการให้มันเป็นหนังเชือดสยองทั่วไป แน่นอนที่มันมีช่วงเวลาที่โหด แต่มันก็ยังเป็นหนังทริลเลอร์จิตวิทยา เป็นบางสิ่งที่อยู่เหนือจินตนาการของคุณ" ออร์บาค เล่าต่อว่า "โรงพยาบาลบ้าของจริงเป็นวัตถุดิบที่สมบูรณ์แบบ ผมใช้แสงที่ส่องเข้ามาจากทางหน้าต่าง และผมก็ปล่อยให้ความมืดปกคลุมในส่วนที่แสงส่องไปไม่ถึง หรืออย่างฉากอาบน้ำ องค์ประกอบทุกอย่างก็เพียบพร้อม ความมัวจากไอความร้อน และมีลำแสงจากดวงอาทิตย์ส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ก่อให้เกิดภาพที่งดงามเหมือนฝัน ผมคิดว่าการใช้แสงเป็นส่วนหนึ่งที่บอกเล่าเรื่องราว" ออร์บาค ยังพูดถึงการร่วมงานกับ คาร์เพนเตอร์ ว่า "จอห์น อาจดูน่าเกรงขามในครั้งแรกที่ได้เห็น เขาเป็นคนเงียบ แต่เมื่อคุณได้รู้จักเขาก็จะรู้ว่าเขาเป็นคนอบอุ่น และที่สำคัญที่สุดคือเขาฟังความคิดเห็นของทุกคน เขามีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน หนังของ จอห์น คาร์เพนเตอร์ ที่ผมชอบที่สุดคือ Starman และ The Thing แต่ผมต้องการสร้างอะไรใหม่ๆขึ้นมา ผมจึงนำเสนอสิ่งที่ผมรู้สึกให้กับเขาด้วย" คาร์เพนเตอร์ พูดถึงการร่วมงานกับ ออร์บาค ว่า "ความสัมพันธ์ของผู้กำกับและผู้กำกับภาพ ไม่เคยเปลี่ยนตั้งแต่ยุคสมัยหนังเงียบ คุณต้องการบางช็อตเพื่อเล่าเรื่อง คุณจะทำยังไงให้ช็อตนั้นถ่ายทอดอารมณ์ออกมา ดังนั้น ยารอน และผมจึงร่วมมือกันเพื่อสร้างเรื่องราวไปในทิศทางเดียวกัน" คาร์เพนเตอร์ ยังพูดถึงผู้กำกับภาพต่ออีกว่า "ยารอน พยายามสร้างความสมจริงให้กับหนัง เขาทำงานหนัก และมีแรงใจในการทำหนังเรื่องนี้ ผมดีใจที่ได้ร่วมงานกับเขา พวกเราพูดคุยกันว่าหนังเรื่องนี้จะถูกถ่ายทอดแบบไหน และจะทำยังไงเพื่อเลี่ยงช็อตซ้ำซากในหนังสยองขวัญ เขาสอนผมเรื่องการจัดวางภาพ รวมถึงสิ่งที่ผมสามารถทำได้ช่วงโพสโปรดักชั่น ซึ่งในอดีตนั้นคุณยังไม่มีเครื่องมือชิ้นนี้" อย่างไรก็ตาม คาร์เพนเตอร์ ก็ยอมรับอย่างเต็มใจว่า "ผมชอบลูกเล่นเก่าๆในหนังสยองขวัญ เช่นการทำให้คนดูสะดุ้ง ผมได้มาเรียนรู้จากการทำงานใน The Ward ว่า เราสามารถปรินท์ฟิล์มออกมาดูผลลัพท์ได้เลย ผมไม่เคยทำงานร่วมกับเทคโนโลยีที่ทันสมัยแบบนี้ มันเป็นประสบการณ์ที่สนุก" ออร์บาค สรุปว่า "ช่วงเวลาที่ผมชอบที่สุดก็คือการทำงานร่วมกับ จอห์น ผมรอคอยมานานที่จะได้ร่วมงานกับตำนานแห่งโลกภาพยนตร์ ผมเป็นผู้กำกับภาพหน้าใหม่ แต่เขาก็มอบความมั่นใจให้กับผม ด้วยการมอบอิสระให้กับผมในขณะที่ก็ยังทำให้ผมอยู่ในแนวทางที่ต้องการ ถึงแม้เราจะเติบโตและมีพื้นฐานที่แตกต่างกัน แต่เราก็มีรสนิยมในหนังแบบเดียวกัน ผมรู้ได้จากการดูผลงานที่ผ่านมาของเขาทั้งหมด" เมคอัพเอฟเฟ็ค ทีมสเปเชี่ยลเอฟเฟ็ค K.N.B. Effects ที่เคยมีผลงานอย่าง Kill Bill: Vol. 1, Transformers และ Pulp Fiction ก็ได้กลับมาร่วมงานกับ จอห์น คาร์เพนเตอร์ อีกครั้งหนึ่ง โดยพวกเขาร่วมงานกันมาตลอดนับตั้งแต่หนังโทรทัศน์ปี 1993 เรื่อง Body Bags คาร์เพนเตอร์ พูดถึงการเลือกทีมสเปเชี่ยลเอฟเฟ็คนี้เข้ามาทำงานใน The Ward ว่า "ผมทำงานร่วมกับ เกร็ก นิโคเทอโร่ และ โฮเวิร์ด เบอร์เกอร์ มาหลายเรื่องและรู้จักพวกเขามาเป็นทศวรรษแล้ว พวกเขารู้ดีว่าผมต้องการอะไร ครั้งนี้ผมขอให้พวกเขาเข้ามาช่วยผม และพวกเขาก็ตอบตกลงโดยที่ไม่ยังไม่ได้คิดด้วยซ้ำ" ผู้ทำเอฟเฟ็คมือหนึ่ง นิโคเทอโร่ เล่าถึงการเข้ามาทำงานว่า "ผมเป็นเพื่อนกับ จอห์น มากว่า 17 ปี ไม่ใช่เพียงแค่ผลงานของเขาสร้างแรงบันดาลใจ แต่ผมยังรู้สึกว่าการทำงานร่วมกับ จอห์น ก็เหมือนการเข้าเรียนการสร้างหนัง เขาเป็นผู้กำกับที่ฉลาดและรอบรู้ที่สุดเท่าที่ผมเคยทำงานด้วย ทั้ง The Thing, Escape from New York, Starman หรือ Halloween ทั้งหมดเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้กำกับอย่าง โรเบิร์ต รอดริเกซ, ร็อบ ซอมบี้, อีไล ร็อธ และ อเล็กซานเดอร์ อาจา" นิโคเทอโร่ เล่าต่อว่า "พวกเราร่วมงานกันครั้งแรกใน Body Bags จากนั้นก็เป็นหนังใหญ่ที่ชื่อ In the Mouth of Madness ที่เราได้สร้างสัตว์ประหลาดที่หลุดมาจากโลกของ เลิฟคราฟท์ จากนั้นเราก็ทำ Vampires โดยหนังแต่ละเรื่องที่ผมทำกับ จอห์น ก็ให้ความรู้สึกที่แตกต่างกัน นั้นแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการเล่าเรื่องที่หลากหลาย สำหรับผมแล้วประสบการณ์ทำงานร่วมกับ จอห์น เป็นช่วงเวลาที่ผมชื่นชอบที่สุด" นิโคเทอโร่ เล่าว่า "มันมีการพัฒนาตัวละครที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน ทั้งการออกแบบตัวละครและการใช้ จอห์น และผมรู้จักกันมาเกือบสองทศวรรษ ซึ่งก็เหมือนกับที่ผมรู้จัก เควนติน ทารันติโน่ หรือ แซม ไรมี่ พวกเราพูดภาษาเดียวกัน ผมรู้ว่า จอห์น ชอบอะไรและต้องการแบบไหน ตั้งแต่ช่วงแรกของการออกแบบ แนวคิดของพวกเราก็ไปในทางเดียวกันแล้ว" คาร์เพนเตอร์ พูดถึงเอฟเฟ็คที่ถูกใช้ใน The Ward ว่า "นี่คือหนังสยองขวัญ ที่มีจะคนตายและศพที่กลับมามีชีวิตอีกครั้ง พวกเราพยายามสร้างผีที่มีความโดดเด่น และไม่ให้มันเหมือนกับหนังสยองขวัญญี่ปุ่น ซึ่งนักแสดงที่น่ารักที่สุดที่คุณเคยรู้จัก เธอมีความอดทนสูง และใช้เวลา 2 ชั่วโมงครึ่งของแต่ละวันในการแต่งหน้า" นิโคเทอโร่ กล่าวสรุปว่า "จอห์น ไม่ใช่ผู้กำกับที่สนใจแต่การสร้างฉากสยดสยอง มันไม่เกี่ยวกับปริมาณเลือดที่เราใช้ แต่มันเกี่ยวกับการที่เราจะสร้างความน่าสะพรึงกลัว และจะให้ผู้ชมนั่งไม่ติดเก้าอี้ได้ยังไง คุณอาจจะเห็นฉากการฆ่าเพียงแค่เสี้ยวเดียว หรือเห็นเพียงแค่เงาที่วิ่งผ่านไปแต่ละเฟรม นี่คือหนังสยองขวัญแบบคลาสสิก มันจะสร้างความประทับใจให้กับผู้ชมในอีกระดับ บางสิ่งที่พวกเขาจะพูดถึงเมื่อเดินออกจากโรงภาพยนตร์" ประวัติทีมสร้าง จอห์น คาร์เพนเตอร์ (ผู้กำกับ) ในระหว่างที่เขาเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย เซ้าท์เธิร์น แคลิฟอร์เนีย คาร์เพนเตอร์ ก็ได้เริ่มทำหนังสั้นเรื่องแรกที่ชื่อ Dark Star ซึ่งต่อมากถูกขยายให้กลายเป็นหนังยาวเรื่องแรก ที่ออกฉายในปี 1975 หลังจากเรียนจบ คาร์เพนเตอร์ ก็ได้กำกับเรื่องที่สอง Assault on Precinct 13 (1976) หนังแอ็คชั่นที่เป็นการบูชาผู้กำกับคนโปรดของเขา โฮเวิร์ด ฮอกส์ แต่ภาพยนตร์ที่สร้างชื่อให้ คาร์เพนเตอร์ มากที่สุดก็คือ Halloween (1978) หนังสยองขวัญที่ใช้ทุนสร้างเพียงแค่ 300,000 เหรียญ แต่กลับทำรายได้ถล่มทลายและกลายเป็นหนังอิสระที่มีสัดส่วนของกำไรได้มากที่สุดจนถึงปัจจุบัน และยังมีภาคต่ออีกมากมาย รวมถึงฉบับรีเมคของผู้กำกับ ร็อบ ซอมบี้ คาร์เพนเตอร์ มีผลงานคลาสสิกออกมาอย่างต่อเนื่องและหลากหลายแนว ไม่ว่าจะเป็น The Fog (1980), Escape From New York (1981), The Thing (1982), Christine (1983), Starman (1984) และ Big Trouble in Little China (1986) โดยหนังทุกเรื่องนั้นเขาทั้งกำกับ เขียนบท และแต่งเพลงประกอบเองด้วย ผลงานในช่วงหลังของ คาร์เพนเตอร์ ก็ยังมี Prince of Darkness (1987), They Live (1988), In the Mouth of Madness (1994) และ Vampires (1996) เขายังเขียนบทภาพยนตร์เรื่อง Eyes of Laura Mars (1978) และกำกับหนังโทรทัศน์อย่าง Someone’s Watching Me (1978) และ Elvis (1979) ที่นำแสดงโดย เคิร์ต รัสเซล ทั้งสองเรื่อง เขายังรับหน้าที่กำกับซีรี่ย์ Masters of Horror อยู่สองตอน ซึ่งก็ได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากแฟนๆที่คิดถึงผลงานของเขา จอห์น คาร์เพนเตอร์ เกิดในนิวยอร์ค โดยครอบครัวย้ายมาจากรัฐเคนตักกี้ ที่พ่อของเขาเคยเป็นหัวหน้าอาจารย์คณะดนตรีของมหาวิทยาลัยเคนตักกี้ คาร์เพนเตอร์ เข้าศึกษาในมหาวิทยาลัย เวสเทิร์น เคนตักกี้ ก่อนที่จะมาเรียนต่อที่ USC มหาวิทยาลัยที่เรียนสร้างหนังในเมืองลอสแองเจลิส ปีเตอร์ บล็อค (ผู้อำนวยการสร้าง) ผลงาน >>> Saw I-VI, High Tension, Cronos, Dead Alive, Hard Candy ยารอน ออร์บาค (ผู้กำกับภาพ) ผลงาน >>> The Joneses, Please Give พอล ปีเตอร์ส (ผู้ออกแบบงานสร้าง) ผลงาน >>> Out of Time, High Crimes ทีมนักแสดง แอมเบอร์ เฮิร์ต (รับบทเป็น คริสเต็น) แอมเบอร์ เฮิร์ต ดาราสาวดาวรุ่งมาแรง เข้าวงการมาตั้งแต่ปี 2004 โดยเธอปรากฏตัวครั้งแรกในทีวีซีรี่ย์เรื่อง Jack and Bobby ในบท Liz หลังจากนั้นเธอก็เริ่มมีงานในฮอลลีวูด เรื่องแรกของเธอคือ Fridays Night Light แต่ผลงานที่ทำให้คนจดจำเธอได้ ก็คือจากภาพยนตร์เรื่อง Never Back Down และในปี 2008 ซึ่งเป็นปีที่ภาพยนตร์เข้าฉาย เธอได้รับรางวัล Breakthrough Performance Award จากเวที Young Hollywood Award ในปี 2009 บทบาทที่ทำให้เธอได้รับจากภาพยนตร์เรื่อง Zombieland ทำให้เธอถูกเสนอชื่อเข้าชิงถึงสองรางวัลในเวที Detroit Film Critics Society Awards และ เวที MTV Award จากภาพยนตร์เรื่อง Zombieland เรียกได้ว่าเป็นการแจ้งเกิดในวงการอย่างแท้จริง นอกจากนี้เธอยังเป็นเซ็กซี่ตัวแม่ของวงการฮอลลีวู้ด เมื่อมีชื่ออยู่ในโผสาวสุดฮ็อตของนิตยสาร FHM และนิตยสาร MAXIM ตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นมา และในปี 2011 ก็จะเป็นปีที่เธอจะกลับมาแจ้งเกิดเพื่อเป็นราชินีหวีดคนใหม่ ในหนังสยองขวัญสั่นประสาท เรื่อง The Ward ของผู้กำกับในตำนาน จอห์น คาร์เพนเตอร์ ผู้ให้กำเนิด Halloween /The Fog /Village of the Damned ซึ่งครั้งนี้เธอรับบทเป็น คริสเต็น วัยรุ่นเจ้าปัญหาที่ตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาลแผนกจิตเวช โดยไม่รู้ว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร และต้องเผชิญเหตุการณ์หวีดหลอนเกินคำบรรยาย เดเนียลเล่ พานาบาเกอร์ (รับบทเป็น ซาร่าห์) ผลงาน >>> Friday the 13th, The Crazies, Sky High มิก้า บูเรม (รับบทเป็น อลิซ) ผลงาน >>> Dirty Dancing: Havana Nights, Blue Crush, The Patriot ลินซี่ย์ ฟอนเซก้า (รับบทเป็น ไอริส) ผลงาน >>> Kick-Ass, Hot Tub Time Machine, Big Love มามี่ย์ กัมเมอร์ (รับบทเป็น เอมิลี่) ผลงาน >>> Evening, Stop-Loss, The Hoax จาเรด แฮร์ริส (รับบทเป็น ดร. สตริงเกอร์) ผลงาน >>> The Curious Case of Benjamin Button, Resident Evil: Apocalypse

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ