MOVIE: X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง)

ข่าวบันเทิง Friday May 27, 2011 14:09 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--27 พ.ค.--MMM Digital ภาพยนตร์เรื่อง X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) ผสมผสานความยิ่งใหญ่และภาพยนตร์แอ็คชั่นที่โด่งดังของช่วงซัมเมอร์เข้ากับตัวละครที่ขับเคลื่อนเรื่องราว ซึ่งปรากฏออกมาในตำนานของ X-Men ช่วงแรกเริ่ม ความเป็นมาของสงครามเย็นที่ถูกซ่อนเร้น และโลกของเราที่อยู่ภายใต้เหตุการณ์ที่อาจเกิดสงครามนิวเคลียร์ล้างโลก เมื่อมีการค้นพบและควบคุมรุ่นหนึ่ง จนมีพลังอำนาจที่น่ากลัว เหล่าสมาชิกก่อตัวกันขึ้นเพื่อสร้างสงครามนิรันดร์กาลระหว่างฮีโร่และเหล่าร้ายของโลก X-Men ดั่งเช่นเรื่อง X-Men ที่ยิ่งใหญ่ ภาพยนตร์เรื่อง X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) เกี่ยวกับความยากลำบากและการปรากฏตัวขึ้นมา ขณะที่มีการนำเสนอความเข้มข้นและภาพลักษณ์เฉพาะตัวของเหล่าซูเปอร์ฮีโร่ที่ไม่ธรรมดา ภาพยนตร์เป็นฉากของในรุ่งอรุณแห่งยุคอวกาศ 1960 และเป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความหวังในป้อมปรากการแห่ง JFK แต่มันก็เป็นจุดสูงสุดของสงครามเย็น เมื่อการคุกคามระหว่างอเมริกาและสหภาพโซเวียตได้คุกคามเพิ่มขึ้นทั่วโลก และเมื่อโลกค้นพบว่ามีมนุษย์กลายพันธุ์อยู่ และในระหว่างช่วงยุคนี้ชาร์ลส์ ซาเวียร์ ได้พบกับเอริค เลห์นเชอร์ ก่อนที่ชาร์ลส์ (เจมส์ แม็คอวอย) และเอริค (ไมเคิล แฟสเบ็นเดอร์) ได้รับฉายา โพรเฟสเซอร์ เอ็กซ์ และ แม็กนีโต พวกเขาเป็นเพียง 2 หนุ่มที่พบพลกำลังของตัวเอง ก่อนที่พวกเขาจะกลายเป็นศัตรูตัวฉกาจ พวกเขาเคยเป็นเพื่อนรักกันมาก่อน ร่วมมือกับเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์คนอื่นเพื่อหยุดหยั้งการคุคามโลกครั้งยิ่งใหญ่กว่าที่เคยพบมาก่อน มนุษย์กลายพันธุ์รุ่นเยาว์ที่มารวมตัวกันบางคนเป็นที่โปรดปรานของแฟนๆ จากหนังเรื่อง X-Men ภาคก่อน ขณะที่ตัวละครอื่นเป็นฮีโร่อมตะจากหนังสือการ์ตูนที่แปลกใหม่สำหรับภาพยนตร์ซีรี่ส์ ภาพยนตร์เรื่อง X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) เป็นคำตอบให้หลายข้อสงสัยที่แฟนหนังหรือการ์ตูนให้ความสนใจมาอย่างยาวนานว่า X-Men มารวมตัวกันได้อย่างไร? ทำไมชาร์ลส์ถึงอยู่บนเก้าอี้รถเข็น? คฤหาสน์เอ็กซ์และซีรีโบรมาจากไหน? แต่ประเด็นสำคัญและความเป็นมาของท้องเรื่องจะกึกก้องด้วยความแปลกใหม่จากภาพยนตร์เรื่องอื่นซีรี่ส์ จุดเริ่มต้น ภาพยนตร์เรื่อง X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) เป็นจุดเริ่มต้นครั้งใหม่สำหรับเหล่า X-Men เรื่องราวเกิดขึ้นโดย เชลดัน เทอร์เนอร์ ผู้ร่วมเขียนบทภาพยนตร์เรื่อง Up in the Air ที่เข้าชิงรางวัล Academy Award และไบรอัน ซิงเกอร์ ผู้ทำหน้าที่เป็นผู้กำกับของภาพยนตร์ซีรี่ส์ 2 ภาคแรกของ X-Men และ X2: X-Men United ได้รับการต้อนรับจากเหล่านักวิจารณ์และผู้ชมทั่วโลกสำหรับทักษะแลการผสมผสานแนวดราม่า ฉากแอ็คชั่น ความยิ่งใหญ่และรูปแบบที่เกี่ยวข้องกับสังคม-การเมืองที่ไม่มีที่ติ ภาพยนตร์เรื่อง X-Men ของซิงเกอร์กลายต้นแบบการฟื้นคืนชีพของของการดัดแปลงหนังสือการ์ตูนมาสู่ ภาพยนตร์ และเป็นภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ยุคใหม่ที่มีความโดดเด่น ส่วนใหญ่ของภาพยนตร์เรื่อง X-MEN: FIRST CLASS เริ่มต้นในยุค 1960 ซึ่งเป็นช่วงที่เหมาะสมสำหรับเรื่องราวจุดกำเนิด เพราะเป็นช่วงทศวรรษที่บรรณาธิการ หัวหน้าผู้เขียน และผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ของ Marvel Comics อย่างสแตน ลี พร้อมด้วยแจ็ค เคอร์บี้ สร้างหนังสือการ์ตูนเรื่อง X-Men ออกมา โดยเรื่อง The X-Men เหมือนกับการ์ตูนเรื่องก่อนๆ ของ Marvel ที่เป็นกลุ่มเหล่าผู้กล้าที่ไม่ธรรมดา ณ ช่วงเวลาที่การต่อต้านสังคมมีการบิดเบือนและเสียดสี แต่ก็ยังมีการเห็นใจเกิดขึ้น เมื่อมีการสู้รบปรบมือกับเหล่าศัตรูในมุมที่เกี่ยวข้องกับชีวิตแห่งความรัก การต่อกรกับวิกฟติแห่งศักดิ์ศรี หรือการสยบเหล่าร้ายผู้ทรงพลัง ในโลกแห่งพลังวิเศษของพวกเขา พวกเขาเป็นลูกหลานอะตอมของสิ่งมีชีวิตที่เหนือกว่ามนุษย์ และเชื่อมโยงต่อไปถึงวิวัฒนาการที่ต่อเนื่องกันไป มนุษย์กลายพันธุ์แต่ละคนเกิดมาพร้อมยีนการกลายพันธุ์อันมีเอกลักษณ์ ซึ่งแสดงขีดพลังออกอย่างเต็มขั้นได้ชัดเจนเมื่อเข้าวัยหนุ่มสาว ในโลกที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง ความอคติและความหวาดกลัว พวกเขามีความแตกต่างในทางหลักวิทยาศาสตร์ …แปลกจากธรรมชาติ… ไม่เป็นที่ยอมรับ น่าหวาดกลัวและเป็นที่น่ารังเกียจของผู้ที่ยอมรับความต่างของพวกเขาไม่ได้ “หลักการแรกแห่งธุรกิจในการนึกถึงเรื่องราว” ซิงเกอร์กล่าวว่า “คือการจินตนาการถึงยุคที่ทั้งชาร์ลส์และเอริคได้พบกัน ตอนที่พวกเขาอยู่ในช่วงอายุ 20 กลางๆ เราตินสินใจว่ามันน่าเป็นช่วงต้นยุค 60 จุดสูงสุดของการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชนและสงครามเย็น ซึ่งปัญหาทั้งสองด้านในยุคนั้นทำให้เกิดจังหวะความน่าตื่นเต้นในการขุดคุ้ยเหตุการณ์ต่างๆ ที่ทำให้โลกสมัยใหม่ของเราเป็นรูปร่างขึ้นมา” สถานการณ์ความรุนแรงอย่างหนึ่งของสงครามเย็นคือวิกฤติขีปณาวุธคิวบา ในช่วงที่มีการคุกคามของในช่วงที่มีการล้างเผ่าพันธุ์โลกกระทันหันอย่างยิ่งใหญ่ และท้ายที่สุดทำให้เกิดเครื่องเดิมพันต่อมนุษย์กลายพันธุ์เพื่อเปิดเผยตัวสู่โลก และป้องกันไฟร้ายที่อาจเผากลืนโลกไปได้ สภาพแวดล้อมที่มีความสำคัญเทียบเท่ากันของภาพยนตร์คือประเด็นของเรื่องสิทธิพลเมือง มนุษย์กลายพันธุ์จะเป็นที่ยอมรับของเหล่ามนุษย์ หรือพวกเขาจะถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามที่ต้องคุมขังหรือทำลายให้สิ้นซาก? เหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ควรยอมรับความแตกต่างของพวกเขาและปกครองผืนพิภพเยี่ยงมนุษย์ที่อยู่เหนือกว่าทุกคน หรือพวกเขาควรกลายเป็นส่วนหนึ่งขององค์ประกอบสังคม? “ผมรู้สึกหลงใหลคอนเซ็ปต์ของการปรับตัวเข้ากันของสังคมที่ตรงกันข้ามกับการบุกรุกมาโดยตลอด และเมื่อการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชนในวันนี้กลายเป็นการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิของเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ในวันหน้า” ซิงเกอร์ กล่าว มิตรภาพระหว่างชาร์ลส์และเอริคเกี่ยวข้องกับประเด็นนั้น และเป็นตัวอย่างของความแตกต่างทางอุดมการณ์และหลักปรัชญาของยุคนั้น โดยพื้นฐานแล้วพวกเขามาจากพื้นเพเดียวกัน และทั้งคู่มองว่ามนุษย์กลายพันธุ์เป็นสิ่งที่อาจนำไปสู่การคุกคามได้ อย่างไรก็ตามชาร์ลส์ใช้ชีวิตเพื่อปกป้องผู้หวาดกลัวเขา ขณะที่เอริคใช้ชีวิตอยู่เพื่อทำลายพวกเขา ต่างเชื่อว่าด้านของตนถูกต้อง ต่างไม่ยอมประนีประนอมกัน แมทธิว วอนก์ ผู้กำกับกล่าวว่า “เอริคหวาดระแวงในเหล่ามนุษย์มาก ส่วนชาร์ลส์คิดว่าทุกอย่างต้องเป็นไปด้วยดี พวกเขาวางใจมนุษย์ให้ยอมรับเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ที่มีอยู่ได้ เอริคโต้กลับว่า ‘พวกเขาจะปลุกเราขึ้นมาและเข่นฆ่าเรา’ ซึ่งเขาพูดถูก” Infusing ภาพยนตร์เรื่อง X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) ด้วยความเป็นมนุษย์ องค์ประกอบในการสร้างตัวละครเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญต่อวอนก์และซิงเกอร์ “ความวิเศษของภาพยนตร์แนวนี้คือเราสามารถถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับสถานภาพทางสังคมของมนุษย์จากจุดสังเกตุที่คาดไม่ถึง ใส่ภาพความน่าตื่นเต้นและความสงสัยลงไป” ซิงเกอร์กล่าว “สิ่งนั้นสำคัญเป็นพิเศษต่อหนังเรื่อง X-Men เพราะโลกใบนั้นแสดงถึงตัวละครที่มีความลึกซึ้ง เรื่องราว X-Men ที่มีความสุดยอดจะมีประเด็นที่ซับซ้อน และนั่นคือสิ่งที่พวกเราต้องการในหนังเรื่องนี้” “ในหนังทุกเรื่องที่ผมทำ” วอนก์ ผู้โด่งดังจากภาพยนตร์อินดี้ที่ได้รับการชมเชยอย่าง Layer Cake และ Kick-Ass กล่าวเสริม “ผมจะถามว่า ‘มุมมองของมนุษย์อยู่ตรงไหน? ทุกตัวละครและทุกจังหวะการเคลื่อนไหวต้องมีสิ่งนั้น หากผมหลุดเข้าไปในสิ่งที่ช่วยให้ผู้ชมเข้าถึงและสนใจตัวละครทุกตัวได้ มันจะยิ่งเพิ่มความรู้สึกในการชมภาพยนตร์ หากเราไม่สนใจเหล่าตัวละคร แล้วส่วนสำคัญคืออะไร? “ภาพยนตร์เรื่อง X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) มีแนวคิดและช่วงเวลาที่สำคัญ” วอนก์กล่าวต่อไปว่า “เราไม่เชื่อใจวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ขนาดใหญ่มาทำให้หนังประสบความสำเร็จเสมอไป เอ็ฟเฟ็กต์ช่วยสนับสนุนตัวละคร ภาพยนตร์เป็นผลงานโดดเด่นของตัวละครพร้อมฉากแอ็กชั่นขนาดมหึมา” ซิงเกอร์เริ่มคิดถึงจุดกำเนิดของเรื่องราวขณะกำลังกำกับภาพยนตร์เรื่อง X-Men สองภาคแรก “ผมคิดถึงประวัติความเป็นมาของพวกตัวละครทุกครั้งเวลาที่บอกวิธีแสดงลักษณะท่าทางตัวละครของพวกเขาให้กับนักแสดง ฉะนั้นการที่สามารถหวนกลับไปจัดการกับภูมิหลังเหล่านั้นที่ผมมีอยู่ในจินตนาการได้ มันเป็นความน่าพอใจมาก” หนึ่งในนักแสดงที่ถามประวัติความเป็นมาของตัวละครจากซิงเกอร์ คือ แพทริค สจ๊วต ผู้แสดงเป็นชาร์ลส์ ซาเวียร์ ในภาพยนตร์เรื่อง X-Men สามภาคแรก “แพทริคสงสัยที่มาของชาร์ลส์ จากนั้นผมก็มีความคิดถึงเรื่องนั้นที่ต่างจากเวอร์ชั่นของหนังสือการ์ตูนมาก” ซิงเกอร์จำได้ว่า “ผมอธิบายจุดเริ่มต้นในเวอร์ชั่นการ์ตูนที่เกิดขึ้นในธิเบต มีการรวมเจ้าหน้าที่สกัดมนุษย์ต่างดาวชื่อลูซิเฟอร์ หลังจากนั้นผมอธิบายแนวคิดของผม แพทริคบอกว่า ‘ผมชอบในแบบของคุณมากกว่า!’” ลอว์เร็น ชูเลอร์ ดอนเนอร์ ผู้อำนวยการสร้างผู้อยู่กับภาพยนตร์แฟรนไชส์เรื่อง X-Men ตั้งแต่เริ่มต้น ยังจำจุดกำเนิดของภาพยนตร์เรื่อง X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) เมื่อย้อนไปสู่การสร้างภายพนตร์ต้นฉบับได้ว่า “ระหว่างการสร้างภาพยนตร์เรื่อง X2 เราพูดคุยกันระหว่างฉากถึงเรื่องเหล่านักแสดงวัยรุ่นของเรา และผมพูดว่า ‘ไม่ดีหรอถ้าเราได้เห็นโพรเฟสเซอร์ เอ็กซ์ หรือ แม็กนีโตตอนเป็นหนุ่ม เราน่าจะทำหนังเกี่ยวกับ X-Men ตอนที่พวกเขาเป็นวัยรุ่น’ ทุกคนพูดว่า ‘ใช่ เป็นความคิดที่ดี เป็นความคิดที่เยี่ยมเลย’ และพวกเราคุยถึงเรื่องนั้นกันอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็กลับไปทำ X2” ซิงเกอร์ไม่ได้ร่วมเขียนเรื่องให้ X-MEN: FIRST CLASS เท่านั้น เขายังร่วมงานในโปรเจ็กต์ในฐานะผู้อำนวยการสร้างร่วมกับชูเลอร์ ดอนเนอร์ และ ไซมอน คินเบิร์ก นักเขียนผู้มีความชำนาญโดยสิทธิส่วนบุคคลของเขา ผลงานที่มีชื่อเสียงอย่าง Mr. and Mrs. Smith และภาพยนตร์ที่กำลังจะเข้าฉายเรื่อง This Means War. แต่ใครจะกำกับหนัง? ซิงเกอร์ไม่สามารถทำได้เพราะตรงกับหน้าที่ในโปรเจ็กต์อื่น แต่โอกาสที่เขาได้พบวอนก์ที่ลอนดอนได้นำมาสู่ข้อตกลงในการเป็นผู้นำในต่อมา ภาพยนตร์เรื่อง X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) ไม่ใช่การพบกับภาพยนตร์แฟรนไชส์เป็นครั้งแรกของวอนก์ หลังการกำกับภาพยนตร์อินดี้ที่ได้รับการชมเรื่อง Layer Cake เป็นครั้งแรก วอนก์ยิ่งใกล้การทำหน้าที่ควบคุมภาพยนตร์เรื่องที่ 3 ในภาพยนตร์ซีรี่ส์ X-Men เรื่อง X-Men: The Last Stand ก่อนย้ายมากำกับภาพยนตร์มหากาพย์แฟนตาซีที่ได้รับเสียงต้อนรับจากเหล่านักวิจารณ์ เรื่อง Stardust และภาพยนตร์ที่ดัดแปลงมาจากนิยายภาพ เรื่อง Kick-Ass วอนก์กล่าวว่าเขามารับหน้าที่ในภาพยนตร์ เรื่อง X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) เพราะเขาเกิดประกายกับความคิดของซิงเกอร์เรื่องการวางเรื่องให้อยู่ในช่วงสงครามเย็น “ผมติดอยู่กับไอเดียของไบรอันโดยทันที ซึ่งเป็นวิธีการผสมผสานตัวละครเข้ากับเรื่องราวที่ผ่านมาไม่นานนี้ได้อย่างน่าสนใจ_” วอนก์จดจำได้ เจน โกล์ดแมน ผู้ร่วมเขียนบทของผู้กำกับกล่าวเสริมว่า “สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราตื่นเต้นมากที่สุดเกี่ยวกับโปรเจ็กต์คือภูมิหลังเรื่องการเมือง ไอเดียของการผสมผสานมุมมองนั้นเข้ากับพื้นหลังของ X-Men จับจินตนาการของเราไว้ได้จริงๆ” (แอชลีย์ เอ็ดเวิร์ด มิลเลอร์ และ แซ็ค สเต็นซ์ คู่หูนักเขียนบทภาพยนตร์ที่ล่าสุดร่วมเขียนเรื่อง Thor ได้รับเครดิตด้านารเขียนบทร่วมกับวอนก์และโกล์ดแมน) ขณะยืดขยายเรื่องการเมืองและมนุษยชาติออกไป วอนก์และโกล์ดยังได้นำองค์ประกอบอื่นเข้ามาผสมผสานในยุคนั้นด้วย “ภาพยนตร์คือการที่ X-Men เผชิญกับวิกฤติขีปณาวุธคิวบาและผสานกับเจมส์ บอนด์” วอนก์กล่าว “มันมีการผสมผสานของภาพยนตร์เรื่องเจมส์ บอนด์ ในยุค 60 ที่นำแสดงโดย ฌอน คอนเนอรี่ ความเท่ห์ ฉากแอ็คชั่น การเสี่ยงภัย ลักษณะทั้ง 3 อย่างมาผสมเข้าด้วยกันหมด” ด้วยการผสมผสานหลายประเภทของเขา วอนก์ผู้เขียนบทไม่ทำให้อะไรๆ ง่ายต่อวอนก์ผู้กำกับอย่างแน่นอน “เราต้องคัดเลือกตัวแสดงใหม่ทุกบท สร้างบรรยากาศยุค 60 และสร้างฉาก X-Men ที่โดดเด่นรวมถึงเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายขึ้นมาใหม่” เขาอธิบาย แต่การท้าทายความสามารถที่ใหญ่ที่สุดของเขาคือการคัดเลือกตัวนักแสดงนำทั้งสอง เพื่อมารับบทเป็นชาร์ลส์และเอริคที่หลายปีต่อมาต้องกลายเป็นโพรเฟสเซอร์ เอ็กซ์ และ แม็กนีโต และตามที่เห็นในจักรวาล X-Men อันยิ่งใหญ่ของหนังสือการ์ตูนและภาพยนตร์ คือการเป็นปรปักษ์กันด้วยทัศนคติที่ไม่ลงรอยกัน_ เมื่อชาร์ลส์พบเอริค ในการคัดเลือกตัวละครของชาร์ลส์ บัณฑิตหนุ่มผู้มีความสามารถจาก Oxford ด้านพันธุศาสตร์ ผู้สามารถโทรจิตได้อย่างทรงพลังที่สุดของโลก ส่วนเอริคเป็นชายหนุ่มผู้อยู่ภายใต้สถานการณ์ที่น่ากลัว เขาค้นพบพลังของเขาในการควบคุมอำนาจแม่เหล็ก ผู้สร้างภาพยนตร์สนใจว่าพวกเขาต้องหา 2 นักแสดงหนุ่มที่ผู้ชมจะยอมรับในการมาแสดงบทบาทของแพทริค สจ๊วต และ เอียน แม็คเคลเลน ได้ เจมส์ แม็คอวอย ผู้เปลี่ยนบทบาทจากภาพยนตร์อินดี้อย่างเรื่อง Atonement และ The Last King of Scotland รวมถึงภาพยนตร์ เรื่องดังอย่าง The Chronicles of Narnia: The Voyage of the Dawn Treader และ Wanted ได้รับการยอมรับให้มารับบทชาร์ลส์ แม็คอวอยยอมรับการท้าทายความสามารถของการบรรยายตัวละครช่วงการเปลี่ยนแปลงของชีวิตเขา บทซาเวียร์ของเขามีความแตกต่างในแบบเฉพาะจากผู้นำซาเวียร์ที่มีความมั่นใจจากต้นฉบับไตรภาค “ในหนังพวกนั้น” แม็คอวอยอธิบาย “โพรเฟสเซอร์ เอ็กซ์ ไม่มีความเห็นแก่ตัวและปราศจากอีโก้ เขาให้ความสนใจเหล่ามนุษย์ในโลกส่วนที่เหลือและการช่วยเหลือผู้อื่น เมื่อเราพบเขาในภาคนี้ตอนเขาเป็นวัยรุ่น เขาเป็นคนสนใจแต่ตัวเอง มีอีโก้ และค่อนข้างสิ้นหวัง ภาพยนตร์เรื่อง X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) เกี่ยวกับการค้นหาจุดมุ่งหมายของชาร์ลส์ และนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ผมสนใจในบทนี้ ได้เห็นว่าชาร์ลส์เคยเป็นคนอย่างไร และหาเหตุผลว่าทำไมเขาจึงกลายเป็นคนแบบนั้น แมทธิวสร้างมันได้อย่างชัดเจนในช่วงเริ่มต้น เขาต้องการให้ทั้งผมและไมเคิล [แฟสเบ็นเดอร์ผู้รับบทเป็นเอริค] มาแสดงบทบาท และไม่แสดงเหมือนเป็นแพทริค สจ๊วต หรือ เอียน แม็คเคลเลน ตอนหนุ่ม” “ผมคิดว่าเจมส์มีทุกสิ่งที่ต้องการในตัวละคร” วอนก์กล่าว “ในหนังเรื่องก่อนๆ ชาร์ลส์เป็นครูใหญ่ที่รายล้อมด้วยบรรยากาศคล้ายคลึงกับศาสนา Zen ชาร์ลส์ในวัยหนุ่มของเราดูมีความสนุกสนานมากขึ้น เขาเคลื่อนไหวไปทุกที่และอยู่เหนือสถานการณ์ ชาร์ลส์ตื่นตัวกับตัวตนของเขา เขาพอใจกับความสำเร็จและเป็นความภูมิใจของเขา” เจน โกล์ดแมน กล่าวเสริมว่า “การท้าทายความสามารถที่แท้จริงในการบรรยายตัวละครชาร์ลส์ คือการค้นหาข้อบกพร่องของเขาและทำให้เขาเป็นตัวละครที่มีความซับซ้อนหลากหลาย เจมส์ แม็คอวอย มาพร้อมกับไอเดียสุดมหัศจรรย์หลายอย่างเกี่ยวกับตัวละคร เพราะเขาเขามีรับมือกับชาร์ลส์ได้เป็นอย่างดี” เมื่อเราได้พบชาร์ลส์ในเรื่อง X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) เหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ยังไม่เปิดเผยตัวเองต่อโลก อันที่จริงชาร์ลส์ไม่แน่ใจว่าจะมีมนุษย์กลายพันธุ์คนอื่นนอกจากตัวเองหรือเปล่า และเขาได้เป็นเพื่อนกับสาวที่ชื่อว่าเรเว็นหลายปีก่อนหน้านี้ “ยิ่งนานเรายิ่งรู้จักชาร์ลส์” แม็คอวอยกล่าว “เขาเป็นคนเดียวที่อ่านใจออก และระหว่างที่เขาหวังว่าจะมีมนุษย์กลายพันธุ์คนอื่น เส้นทางของเขายังไม่ถูกตั้งให้เป็นเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ที่ดูมีชีวิตชีวา และเขาค้นหาการยอมรับจากมนุษยชาติ” ชาร์ลส์พบจุดมุ่งหมายของพลังอันน่าเกรงขามของเขา เมื่อเขาติดต่อกับมนุษย์กลายพันธุ์ทั่วโลกด้วยการโทรจิต เขาลงมือผ่านอุปกรณ์ที่รู้จักกันมาอย่างยาวนานในตำนานของแฟนๆ X-Men คือซีรีโบร หมวกโลหะสุดไฮเทคที่เพิ่มพลังการโทรจิตของชาร์ลส์ ซีรีโบรในภาพยนตร์เรื่อง X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) เป็นอุปกรณ์ทันสมัยต้นแบบในช่วงแรกที่พบในภาพยนตร์เรื่อง X-Men ในยุคร่วมสมัย ซีรีโบรในยุค 60 ของชาร์ลส์ในวัยหนุ่มที่ถูกหลอมรวมด้วยเทคโนโลยีและอุปกรณ์จากยุคนั้น รวมถึงสวิตช์เปิดปิด หลอดรังสีแคโธดและเสาอากาศสมัยก่อน ผู้ออกแบบฉาก คริส ซีเกอร์ส backward-engineered ซีรีโบรของภาพยนตร์ต้นฉบับ โดยผู้ออกแบบกล่าวว่าให้มันเป็น “โครงสร้างที่เรียบง่ายสุดๆ พร้อมส่วนสำคัญที่มาจากการออกแบบของภาพยนตร์ภาคก่อน หลังคาโดมของมันอิงมาจากหอดูดาวที่เต็มไปด้วยจุดรายล้อมที่ชนบทของประเทศอังกฤษทั่วไป” ซีรีโบรเปรียบเสมือนความหมายบางอย่างของชาร์ลส์ “ช่วงแรกเขาเข้าใจว่ามีมนุษย์กลายพันธุ์เป็นพันคนในโลก ไม่ใช่หลักล้าน ซึ่งนั่นทำให้เขาถ่อมตัว” แม็คอวอยกล่าว “มันทำให้ภารกิจและจุดประสงค์ของเขาเป็นรูปร่างขึ้นมา นั่นคือการค้นหามนุษย์กลายพันธุ์คนอื่นและช่วยเหลือพวกเขา” ชาร์ลส์เข้ามาพัวพันในสงครามที่ค่อยๆ เป็นรูปร่างขึ้นมาระหว่างอเมริกาและสหภาพโซเวียตอยู่แล้ว เมื่อตอนที่เขาช่วยชีวิตมนุษย์กลายพันธุ์ผู้มีพลังความสามารถที่น่ากลัว และอดีตที่หลอกหลอนที่กำหนดไว้ในมนุษย์กลายพันธุ์อยู่แล้วอย่างเอริค เลห์นเชอร์ บทเส้นทางที่จะพาเขาไปสู่การต่อสู้กับชาร์ลส์ แต่สำหรับตอนนี้พวกเขาเป็นเพื่อนและรู้สึกเหมือนเป็นพี่น้องกัน “นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของพวกเขาที่พวกเขาได้พบคนที่มีคุณสมบัติเหมือนกัน คนที่เข้าใจและสามารถผลักดันอีกฝ่ายได้ด้วย” แม็คอวอยกล่าว “ชาร์ลส์หลงใหลความสามารถที่ซ่อนอยู่ในตัวเอริค” ในความเป็นจริงชาร์ลส์เป็นคนแรกที่เอริคเคยติดต่อ ไมเคิล แฟสเบ็นเดอร์ ผู้แสดงเป็นเอริคกล่าวว่า “มันมีสายสัมพันธ์ที่หนักแน่นระหว่างชาร์ลส์และเอริค และมีความนับถือกันอย่างลึกซึ้ง แต่จากจุดเริ่มต้นอุดมการณ์ของพวกเขามีความไม่ลงรอยกัน เอริคเฝ้าระวังสิ่งแปลกใหม่ในชีวิตของเขา และการใกล้ชิดคนอื่นอีกครั้ง เขาทำกับชาร์ลส์แบบนั้นเหมือนที่ทำกับคนอื่น เราอยากได้วิธีการเข้าถึงจุดเริ่มต้นของรอยร้าวที่เป็นตัวทำลายของพวกเขาที่ดูน่าเชื่อถือ เมื่อเอริคและชาร์ลส์เกิดการแตกคอกัน ผู้ชมจะรู้สึกว่าเรื่องดีๆ คงเกิดขึ้นได้หากพวกเขารวมพลังกันตลอดไป” เอริคลังเลใจต่อการร่วมมือกับชาร์ลส์ในภารกิจปกป้องโลกจากตัวมันเอง เอริคถามว่าทำไมมนุษยชาติถึงควรค่าต่อการรักษาเอาไว้? “เอริคค่อนข้างเป็นคนมีเล่ห์เหลี่ยม เขาชื่อในจุดสุดท้ายจะเป็นเหตุผลเพียงพอในการกระทำ” แฟสเบ็นเดอร์อธิบาย “เขาไม่สนใจมนุษย์และรู้สึกว่าพวกเขาต่ำต้อยกว่า” ความรู้สึกอันห้าวหาญของเอริคเกี่ยวกับมนุษย์ในวัยเด็กของเขาไม่แตกต่างไปจากชีวิตที่มากด้วยโอกาสของชาร์ลส์มากนัก เอริคต้องใช้ชีวิตโดยไม่มีพ่อแม่และเป็นเด็กวัยรุ่นที่ถูกบังคับให้อยู่กับความทุกข์ทรมาณที่ยากเกินกว่าจะเข้าใจได้ ภาพยนตร์เรื่อง X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) แนะนำตัวเอริคด้วยฉากสนุกสนานที่เปิดตัวในภาพยนตร์ต้นฉบับของ X-Men มีการเริ่มต้นที่ค่ายกักกัน Auschwitz ในปี 1940 ตอนนั้นหนุ่มน้อยเอริคเกิดความหวาดกลัวเมื่อพวกนาซีแยกเขาออกจากพ่อแม่ และแสดงความสามารถของมนุษย์กลายพันธุ์ออกมาให้เห็นโดยการงอรั้วโลหะของแคมป์ ภาพยนตร์เรื่อง X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) หยิบฉากหลังจากนั้นขึ้นมา ตอนที่เอริคยังเป็นหนุ่มน้อยที่กลายเป็นเครื่องมือทดสอบของ ดร.ชมิด ผู้มุ่งมั่นปลดปล่อยและควบคุมพลังของเอริคอย่างเต็มที่ “แมทธิวกับผมยกย่องในพลังและอิทธิพลของฉากค่ายกักกันในเรื่อง X-Men ซึ่งเป็นตัวแสดงถึงตัวละครของเอริค” ผู้ร่วมเขียนบท เจน โกล์ดแมน กล่าวว่า “และแมทธิวอยากค้นหาว่าต่อมาเกิดอะไรขึ้นกับเอริค สิ่งที่เราเห็นจะเปลี่ยนความรู้สึกของเราเกี่ยวกับเอริค และทำให้เรามองเขาผ่านแง่มุมที่แปลกใหม่” 20 ปีต่อมา ตอนนี้เอริคเติบโตขึ้นพร้อมภารกิจอย่างหนึ่งในชีวิต คือสะกดรอยและสังหาร ดร.ชมิด (ผู้ที่เราจะพบอีกครั้งในรูปแบบที่แตกต่างออกไปมาก) เอริคไล่ล่าชมิดและนายแพทย์นาซีคนอื่นๆ ที่เขาเชื่อว่าเป็นคนแปลงร่างเขาให้กลายเป็นปีศาจแฟรงเกนสไตน์ด้วยความโกรธและเกลียด แม้แต่เมื่อเอริคได้พบเพื่อนคนแรกในตัวชาร์ลส์ และเป็นที่ยอมรับของสมาชิกในทีมคนอื่นๆ ที่จะกลายเป็น X-Men เขาก็ไม่เคยเบี่ยงเบนภารกิจของเขา “เอริคมีความมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ หากชาร์ลส์หรือใครก็ตามมาขวางทางเขา เขาจะสยบพวกนั้นลง” แฟสเบ็นเดอร์กล่าว วอนก์ได้เห็นการแสดงที่ได้รับคำชมจากเหล่านักวิจารณ์ของแฟสเบ็นเดอร์ในภาพยนตร์ เรื่อง 300, Hunger และ Inglourious Basterds หลังการออดิชั่นอันน่าประทับใจของแฟสเบ็นเดอร์ที่มาคัดเลือกตัวนักแสดงในบทของเอริค เขากล่าวว่า “ไมเคิลแสดงลักษณะท่าทางของเอริคได้น่าสนใจ และเอริคดูเป็นคนตรงไปตรงมาที่มีมาด” ผู้กำกับกล่าว “ผลงานของไมเคิลในภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้นึกถึงการแสดงของฌอน คอนเนอรี่ ในภาพยนตร์เรื่อง James Bond เอริคเหมือนสายลับมาก นึกถึงภาพบอนด์…แต่มีพลังวิเศษ” แฟสเบ็นเดอร์มีความกระตือรือร้นในการแสดงตัวละครที่มีความซับซ้อน เขากล่าวว่าตอนที่เขาได้รับบทภาพยนตร์ เขาคิดว่ามัน “อัจฉริยะที่สุด การแสดงแต่ละอย่างในหนังเรื่องนี้มีความสำคัญจริงๆ ทั้งหมดไม่ใช่การระเบิดปืนใส่ มีอะไรเกิดขึ้นมากกว่านั้น เป็นการเขียนเรื่องที่มีความซับซ้อนหลายอย่าง และผมประทับใจกับสิ่งนั้นมาก” แฟสเบ็นเดอร์ยังกล่าวอีกว่า สำหรับการพัฒนาการแสดงในบทของเอริค เขาไม่ได้สนใจภาพยนตร์เรื่องก่อนๆ เลย “แหล่งข้อมูลที่สำคัญอยู่ในหนังสือการ์ตูน จริงๆ แล้วเราเริ่มจากการขัดเกลาเพื่อนำเสนอเนื้อหาในมุมมองที่แปลกใหม่” เหล่า X-MEN มารวมตัวกัน หลังชาร์ลส์ร่วมมือกับเอริคเพื่อรับสมาชิกเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์หนุ่มสาว “รุ่นหนึ่ง” นักเรียนผู้มีพรสวรรค์เหล่านี้เรียนรู้การควบคุมและบังคับพลังของพวกเขาเพื่อคุณงามความดีอันใหญ่หลวงแห่งมนุษยชาติ แต่การควบคุมพลังเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่ใช่การรวมตัวเป็นทีมของพวกเขาด้วย ในภาพยนตร์ไตรภาคเรื่อง X-Men เริ่มแรก เหล่ามนุษย์กลายพันธุ์มีจุดมุ่งหมายด้วยศักยภาพของพวกเขาและเป็นทีมที่ (ส่วนใหญ่) มีความราบรื่น แต่เมื่อเราพบเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์รุ่นเยาว์ในภาพยนตร์ เรื่อง X-MEN: FIRST CLASS พลังของพวกเขายังไม่อาจควบคุมและปรับได้ ยิ่งไปกว่านั้นไบรอัน ซิงเกอร์ ผู้เป็นเหมือนวัยรุ่นส่วนใหญ่กล่าวว่า เหล่ามนุษย์กลายพันธุ์รู้สึกไม่สบายใจที่มีความแตกต่างจากเพื่อนของพวกเขา “สถานการณ์ของพวกเขาเป็นการเปรียบเทียบว่าพวกหนุ่มสาวจะรู้สึกอึดอัดในความเป็นตัวตนแค่ไหน และมันยากลำบากเพียงใดเมื่อเรา ‘แตกต่าง’ จากอุดมการณ์ทางสังคม” มนุษย์กลายพันธุ์ผู้เป็นสมาชิกในกลุ่มคนแรกของชาร์ลส์คือเรเว็น ผู้มีผิวสีน้ำเงิน สามารถแปลงร่างได้พร้อมกับความว่องไวเหนือมนุษย์ มนุษย์กลายพันธุ์ทั้งสองพบกันเมื่อตอนวัยรุ่น ตอนที่ชาร์ลส์พบเรเว็นกำลังรื้อข้าวของกระจุยกระจายผ่านห้องครัวของเขาในแมนชั่นของครอบครัว (ยิ่งไปกว่านั้นเพื่อปูความสัมพันธ์ที่สำคัญระหว่างชาร์ลส์และเรเว็น ฉากที่เรียบง่ายและงดงามของบ้านสุดหรูของซาเวียร์ เป็นจุดแทงใจดำถึงสภาพของเอริคในช่วงวัยเด็ก) ชาร์ลส์ทำให้เรเว็นเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวของเขา พวกเขาโตมาเหมือนพี่ชายกับน้องสาว แต่เรารู้ดีจากภาพยนตร์ภาคแรกๆ ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาจะเปลี่ยนไปอย่างน่าตื่นเต้น ไบรอัน ซิงเกอร์ อธิบายว่า “เพราะชาร์ลส์ยังเป็นและตอนนั้นยังอ่อนประสบการณ์ บางครั้งเขาไม่ได้เอาใจใส่เรเว็นมากอย่างที่ควร และบางครั้งเธอเองก็ไม่พอใจ และนั่นทำให้เธอมีเส้นทางอย่างที่เราพบเธอในภาพยนตร์ไตรภาคต้นฉบับ [แสดงไว้โดยรีเบ็คก้า โรมิน] ที่เหมือนพี่น้องของแม็กนีโตที่จากกันไป” เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ นักแสดงหญิงยอดเยี่ยมผู้เข้าชิงรางวัล Academy Award? จากการแสดงที่โดดเด่นของเธอเมื่อปี 2010 ในภาพยนตร์ดราม่าเรื่อง Winter’s Bone แสดงเป็นเรเว็น ผู้มีฉายาของมนุษย์กลายพันธุ์ว่ามิสทีก “เคเว็นเรียนรู้การอยู่ร่วมกับความลับของเธอ เธอเหมือนกับวัยรุ่นส่วนใหญ่ที่รู้สึกไม่ปลอดภัย เธอมีปฏิกิริยาต่อสิ่งที่รู้ว่าทำให้พวกเขามีความแตกต่าง เธอไม่เผชิญหน้ากับความสามารถพิเศษของเธอ” เธอกล่าว “เรเว็นอับอายในความสามารถมาก เธอเริ่มเข้าใจช้าๆ ว่ามันเป็นพรอย่างหนึ่ง และกลับรู้สึกภูมิใจในความสามารถการกลายพันธุ์ของเธอ เช่นเดียวกับพลังของมนุษย์กลายพันธุ์คนอื่น ในช่วงแรกเริ่มเราอ้างว้างและโดดเด่น มนุษย์กลายพันธุ์แต่ละคนผ่านพ้นวิวัฒนาการอันยิ่งใหญ่ เราร่วมมือกันเพื่อกลายเป็นกลุ่ม X-Men ที่มีเอกลักษณ์จากนั้นได้แยกตัวกันไป มันเป็นเสน่ห์ที่ได้เห็นการเดินทางของตัวละครแต่ละตัว และฝ่ายที่พวกเขาจะเข้าร่วมมือในท้ายที่สุด” เมื่อชาร์ลส์และเอริครู้ว่ายังมีมนุษย์กลายพันธุ์คนอื่นอยู่ พวกเขาหาอุบายที่พาพวกเขาไปอยู่ท่ามกลางความตึงเครียดที่มากขึ้นระหว่างอเมริกาและสหภาพโซเวียต ซึ่งเป็นการนำโลกสู่หายนะอย่างรวดเร็ว ในทางตรงกันข้ามนี่เป็นการสร้างพันธมิตรระหว่างมนุษย์กลายพันธุ์และตัวแทนรัฐบาลอเมริกาอย่างน่าเป็นห่วง ชาร์ลส์และเอริคได้พบกับแฮงค์ที่องค์กร ผู้เป็นนักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะที่มาพร้อมคุณสมบัติของมนุษย์กลายพันธุ์บางอย่าง จนกระทั่งเซรั่มตัวหนึ่งไม่อาจควบคุมความสามารถเหนือมนุษย์ที่อยู่ภายในตัวบีสได้อย่างไม่คาดฝัน สำหรับแฮงค์ พลังแห่งการเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ของเขายังไม่เป็นที่เปิดเผย เขาทำงานที่องค์กรลับสุดยอดเพื่อการพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับการเปลี่ยนแปลงโลก เช่น ซีรีโบรและ X-Jet แฮงค์อยู่อย่างโดดเดี่ยวในชีวิตเป็นส่วนใหญ่ เพื่อปิดบังและอับอายนิ้วเท้าที่มีขนาดใหญ่ดูเหมือนลิงรวมถึงความสามารถเหนือมนุษย์ของเขา เมื่อเขาได้พบชาร์ลส์และเอริค ชีวิตของแฮงค์เปลี่ยนไปอย่างไม่คาดฝัน นิโคลาส เฮาล์ต นักแสดงดาวรุ่งผู้รับบทของมนุษย์กาลยพันธุ์ที่แฟนๆ จะต้องหลงรักอย่างบีสอธิบายว่า “ชาร์ลส์บอกแฮงค์ว่าเขาต้องปลดปล่อยพลังการกลายพันธุ์ของเขาออกมาอย่างเต็มที่ แฮงค์ได้พยายามยับยั้งพลังและกล่อมตัวเองว่าพวกเขาไม่มีตัวตนอยู่ เขาหวาดกลัวมากว่าสิ่งที่เขามีความสามารถ หากเขาไม่ควบคุมมัน ชาร์ลส์ทำให้แฮงค์เผชิญหน้ากับความสามารถด้านการกลายพันธุ์ของเขา เรียนรู้การควบคุมมัน และใช้มันเพื่อช่วยเหลือทั้งเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์และมนุษยชาติ” สำหรับเฮาล์ต ตอนนี้เขาอยู่หน้ากล้องของภาพยนตร์ผจญภัยของไบรอัน ซิงเกอร์ เรื่อง Jack the Giant Killer เข้าใจว่าแฮงค์รู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับความสามารถเฉพาะตัวของเขาที่มีความเชื่อมโยงว่า “ทุกคนต้องรู้สึกอับอายหรือรู้สึกเหมือนเป็นคนนอกในช่วงหนึ่งของชีวิตพวกเขา ความรู้สึกที่มนุษย์กลายพันธุ์เหล่านี้มีต่อพลังของพวกเขาก็ไม่ต่าง เมื่อพวกเขาได้พบและร่วมแชร์พรสวรรค์ของพวกเขา ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาภูมิใจกับสิ่งที่เขาเป็น” ทีมงานผู้อยู่รายล้อมที่กลายเป็นรุ่นหนึ่งของภาพยนตร์ X-Men ได้แก่ ลูคัส ทิล ผู้รับบทเป็นอเล็กซ์ ซัมเมอร์ส ฉายาฮาว็อค ผู้สามารถปลดปล่อยวงแหวนที่เป็นศูนย์รวมคลื่นพลังความร้อนสูง ที่ทำให้เป้าหมายของเขาระเบิดเป็นเปลวไฟได้ และผู้ที่ชาร์ลส์และเอริคปล่อยตัวจากการกักตัวอย่างโดดเดี่ยวในสถานกักกัน คือแคเล็บ แลนดรี้ โจนส์ ผู้รับบทเป็น ฌอน แคสสิดี้ ฉายาแบนชี่ ผู้สามารถแผดเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้เขาบินได้ และอีดี้ แกเธกี้ ผู้รับบทเป็นอาร์มอนโด มูนอซ ฉายาดาร์วิน เจ้าของ "ปฏิกิริยาวิวัฒนาการ” ที่ทำให้เขาสามารถปรับตัวสู่สถานการณ์หรือสภาพแวดล้อมใดๆ ได้ HELLFIRE! ชาร์ลส์และเอริคนำเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์สู่การต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่กับเซบาสเตียน ชอว์ มนุษย์กลายพันธุ์ผู้ทรงพลังที่สามารถดูดซึมพลังงานและถ่ายเทใหม่ให้เป็นพลังที่เหนือมนุษย์ ชอว์จะเคลื่อนตัวอย่างลึกลับด้วยหมายกำหนดลับที่เป็นการคุกคามโลกทั้งใบ เขาจะไม่รั้งรอสิ่งใดเพื่อเริ่มศึกสงคราม และหากเขาทำสำเร็จเหล่ามนุษยชาติจะต้องถูกพิพากษา ภาพยนตร์เรื่อง X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) เป็นการสร้างภาพชอว์ให้กลายเป็น puppet master ผู้อยู่เบื้องหลังวิกฤติขีปณาวุธคิวบา ที่ประเทศคิวบาสหภาพโซเวียตได้เริ่มติดตั้งขีปณาวุธวิสัยกลาง ที่สามารถบรรทุกน้ำหนักอาวุธนิวเคลียร์ไปยังอเมริกาได้ ซึ่งต้องการให้การติดตั้งพวกนี้ถูกรื้อถอนไปโดยทันที การประจัญหน้าที่ดำเนินต่อไประหว่างประเทศมหาอำนาจทั้งสองได้นำโลกสู่การทำลายล้างอย่างช้าๆ “แผนการของชอว์” เควิน เบคอน ผู้รับบทบาทกล่าวว่า “คือการเพิ่มระดับวิกฤติขีปณาวุธคิวบาได้นำพาเรือรัสเซียและเรือดำน้ำไปสู่อ่าว Bay of Pigs มีชาวอเมริกันและชาวรัสเซียสาดกระสุนใส่กัน จุดชนวนสงครามนิวเคลียร์ที่จะขจัดเหล่า มนุษยชาติ และทำให้เหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ได้ครองโลก มันเป็นเค้าโครงแผนการที่สุดเฉียบ มันเป็นช่วงเวลาแห่งความตึงเครียดในประวัติศาสตร์โลกที่ไม่น่าเชื่อ และบอกถึงไอเดียของชอว์เป็นวิธีการสุดเฉียบเพื่อสร้างโลกของ X-Men ขึ้นมาในระหว่างยุคนี้ “ชอว์เป็นคนที่มีพลังอำนาจอย่างสูงและที่สำคัญเป็นผู้ต่อต้านสังคมด้วย” เบคอนกล่าวต่อว่า “แต่เขาเชื่อมั่นอย่างแท้จริงว่าเขากำลังพยายามสร้างโลกที่ดีขึ้น ซึ่งปราศจากมนุษย์ มีมนุษย์กลายพันธุ์ปกครองและอาศัยอยู่ทั้งหมด ธรรมเนียมปฏิบัติตามศีลธรรมนำมาใช้กับชอว์ไม่ได้ ความคิดของเขาเชื่อว่ามนุษย์กลายพันธุ์และมนุษย์ไม่มีทางอาศัยร่วมกันได้ ฉะนั้นนี่คือการเอาตัวรอดที่เหมาะสมที่สุด และชอว์มุ่งมั่นปกป้องประชากรมนุษย์กลายพันธุ์ เขาถูกผลักดันโดยความเชื่อที่หนักแน่น โดยเขาคิดว่าเขาคือผู้นำที่เหมาะสมสำหรับโลกใบใหม่” มนุษย์กลายพันธุ์…ผู้เป็นมือขวาของชอว์…และมีเรื่องความรักเข้ามาเกี่ยวข้อง คือ เอ็มม่า ฟรอสต์ ผู้มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนานว่าเป็นผู้หญิงที่เซ็กซี่ที่สุดในยุค 60 จากการถ่ายทอดของหนังสือการ์ตูน ซึ่งอยู่เหนือบทนางร้ายใดๆ เช่น แคทวูแมนและอิเล็คตร้า ผู้แสดงบทบาทของ เอ็มม่า ผู้สามารถโทรจิตพร้อมมีผิวที่ไม่สามารถทำลายได้เหมือนเพชรคือแจนยัวรี่ โจนส์ โจนส์ยอมรับว่ากรแสดงเป็นตัวละครที่มีความโดดเด่นนี้เป็นโอกาสหนึ่งที่ฉีกมาจากภาพยนตร์ซีรี่ส์ทางทีวีเกี่ยวกับโลกในยุค 60 ซึ่งได้รับการชมเชยอย่างเรื่อง “Mad Men” ซึ่งเธอแสดงเป็นเบ็ตตี้ เดรเปอร์ กล่าวได้ว่าโจนส์รู้สึกประหลาดใจเมื่อเธอได้อ่านบทภาพยนตร์เรื่อง he X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) โดยแน่นอนว่าฉากเป็นช่วงยุคสมัยเดียวกันกับซีรี่ส์ที่ได้รับการชมเชย เหมือนเป็นการถ่อมตนว่า “โอ้ พระเจ้า คุณต้องล้อกันเล่นแน่เลย!” เธอจำการอุทานของตัวเธอได้ แต่โจนส์เข้าใจอย่างรวดเร็วว่าเอ็มม่ามีความแตกต่างจากเบ็ตตี้ “ฉันตื่นเต้นมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโลกสุดเหลือเชื่อของ X-Men”เธอกล่าว “มันเป็ฯสิ่งที่ใหม่มากสำหรับฉัน การผสมผสานการท้าทายความสามารถทางด้านร่างกายทั้งหมดที่บทเสนอมา เช่นเดียวกับมุมมองด้านบทละคร เอ็มม่าเป็นตัวร้ายที่มีศิลปะ แต่ฉันคิดว่าจุดมุ่งหมายของเธอมีความชัดเจนและออกมาจากใจ เธอคิดว่าเธอกำลังทำสิ่งที่ดีที่สุดต่อเผ่าพันธุ์ของเธอ และจะทำทุกสิ่งเพื่อรักษาเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ให้คงอยู่และเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีความแข็งแกร่งขึ้น” อันที่จริงเอ็มม่าจากหนังสือการ์ตูนที่ลงมาเกิดใหม่มีลักษณะที่แตกต่างอย่างน่าประทับใจ และไม่ค่อยทำให้โจนส์เป็นกังวลมากนัก เธอรู้สึกดีใจที่ได้สวมเสื้อผ้าที่ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย แซมมี่ เชลดัน สร้างขึ้นมาเพื่อเธอ “ในหนังสือการ์ตูนเสื้อผ้าของเอ็มม่าดูเหมือนเป็นสีที่ทาเอาไว้” โจนส์กล่าวพร้อมหัวเราะ “แต่แซมมี่สร้างผลงานได้อย่างน่าอัศจรรย์ เธอทำให้เสื้อผ้าดูสมจริงกับตัวละคร และเป็นเสื้อผ้าที่ฉันสามารถเคลื่อนไหวไปรอบๆ ได้ด้วย” เชลดันกล่าวเสริมว่า “เราอยากทำให้เอ็มม่ามีช่วงเวลาแห่ง ‘ความเท่ห์’ และมีหลายครั้งที่เธอสวมชุดบิกินี่, เสื้อคลุมที่ดูยั่วยวน, ชุดนางแมว, ชุดชั้นในคริสตัล และรองเท้าบูทยาวมาถึงต้นขาที่ประกอบกับเสื้อผ้าของเธอ” ผู้มาร่วมมือกับชอว์และเอ็มม่าโดยเป็นส่วนหนึ่งของ Hellfire Club ของชอว์ ได้แก่ อาซาเซล (เจสัสน เฟลมิ่ง) ผู้เหมือนปีศาจที่สามารถเคลื่อนไหวตัวได้จากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง โดยการเปิดประตูไปสู่อีกมิติ; แองเจิล (โซอี้ เครวิตซ์) ผู้มีรอยสักของปีกแมลงอันงดงามที่กลายเป็นปีกของจริงขึ้นมาจากหลัง ทำให้เธอมีความสามารถในการบิน และริพไทด์ (อเล็กซ์ กอนซาเลซ) ผู้สร้างกระแสลมอันทรงพลังที่สามารถถอนรากถอนโคนเหล่าศัตรูได้อย่างน่าสะพรึงกลัวที่สุด X พบหน่วย MIB เพื่อสกัดการคุกคามชอว์และการเคลื่อนไหวของทีมเขา ชาร์ลส์ เอริค และมนุษย์กลายพันธุ์รุ่นเยาว์ของเขาต้องรวมตัวกับกลุ่มลับเฉพาะภายใน CIA ที่รู้จักกันว่า Division X ซึ่งมีหน้าที่สืบเสาะวิธีการใช้พลังโทรจิตและพลังเหนือธรรมชาติในกองกำลังทหาร ช่องทางการติดต่อของเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ที่สำคัญมีอยู่ทางเดียวโดยรู้จักกันในนาม MIB รับบทแสดงโดยโอลิเวอร์ แพลตต์ “สมาชิกตลกของ MIB ของหน่วยงานมาอย่างยาวนานเพราะการสืบสวนของเขาในจุดนั้น” นักแสดงผู้ชนะรางวัลและผู้มีการเคลื่อนไหวจากจุดหนึ่งอธิบายว่า “เมื่อชาร์ลส์กับมิสทีกติดกับองค์กร MIB เบี่ยงเบนความสนใจของพวกเขามาสู่หน่วยงานที่ครอบคลุมด้วยบรรยากาศแห่งการเมือง ในไม่นานเอริคมาร่วมมือกับพวกเขา และ X-Men ก็เฟื่องฟูภายใต้การคุ้มกันของ MIB” เหล่ามนุษย์กลายพันธุ์และ MIB ทำงานร่วมกับมอยร่า แม็คแท็กเกิร์ต รับบทแสดงโดย โรส บริน สายลับ CIA ในช่วงเวลาที่มีสายลับหญิงเพียงไม่กี่คน หลังจากที่มอยร่ากลายเป็นมนุษย์คนแรกในบรรดาผู้ที่รู้เห็นพลังอำนาจของเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ เธอเฝ้าติดตามชาร์ลส์ผู้ช่วยมอยร่าจูงใจผู้บังคับบัญชาของเธอเกี่ยวกับเรื่องมนุษย์กลายพันธุ์ที่ยังมีอยู่ และพวกสายลับควรทำงานร่วมกับเขาเพื่อหยุดยั้งชอว์ “มอยร่าเป็นคนหนักแน่นมาก มีความพยายามสูงและมีแรงผลักดันเมื่อเธอต้องมีชีวิตอยู่ในโลกของมนุษย์” โรส บริน ผู้แสดงภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงมาแล้วมากมาย เช่น Get Him to the Greek และภาพยนตร์ยอดนิยมล่าสุด Insidious กล่าวว่า “เธอเป็นคนพลิกโฉมเรื่องนั้นและมีแรงดลใจ แถมค่อนข้างใจกล้าด้วย” เกี่ยวกับการสร้าง การเปิดกล้องเริ่มต้นเมื่อเดือนสิงหาคม 2010 ที่ Pinewood Studios ในประเทศอังกฤษ ผู้ออกแบบฉาก คริส ซีเกอร์ส สร้างฉากมากกว่า 80 ฉาก รวมไปถึงฉากที่มีส่วนประกอบซับซ้อนอีก 20 ฉากใน Pinewood และสถานที่ต่างๆ ตลอดทั่วประเทศอังกฤษและอเมริกา ผลงานของซีเกอร์สมีความชำนาญจากการมองโลกในยุค 60 อย่างแง่ดี “ในยุคนั้นมีการเลื่องชื่อด้านการออกแบบ” ซีเกอร์สอธิบาย “ทุกอย่างเป็นความใหม่ ทั้งสี รูปร่าง และวัสดุน้ำหนักเบาที่ทันสมัยอย่างพลาสติกที่ระเบิดขึ้นในฉาก เราเริ่มจาการมองวัสดุใหม่ๆ เหล่านี้ในงานสถาปัตยกรรม แมทธิวมีความกระตือรือร้นกับการใส่สไตล์แบบเจมส์ บอนด์ ลงไปในภาพลักษณ์ของภาพยนตร์ ขณะที่ยังคงรักษาภาพลักษณ์ที่ดูมืดหม่นของโลก X-Men เอาไว้” เพื่อรักษาความต่อเนื่องของภาพยนตร์เรื่อง X-Men ก่อนหน้านี้ การออกแบบเป็นพิเศษถูกสร้างขึ้นตลอดขั้นตอนการประดิษฐ์ย้อนหลัง “เรามองจากการออกแบบที่มีเอกลักษณ์บางอย่างของภาพยนตร์เหล่านั้น เช่น ซีรีโบร, X-Jet, หมวกหุ้มเกราะของแม็กนีโต เช่นเดียวกับตัวละครของพวกเขา และถามตัวเราว่าต้นแบบของพวกเขาดูเหมือนอะไร” ที่ปรึกษาด้านภาพ รัสเซล เดอ โรซาริโอ กล่าวว่า “เรารู้สึกถึงความรับผิดชอบในการสร้างวิวัฒนาการของการออกแบบที่ดูน่าเชื่อถือ” ฉากหนึ่งในภาพยนตร์ที่เป็นสิ่งคาดหวังด้วยความกระตือรือร้นที่สุด คือ X-Jet ซึ่งสร้างขึ้นในฉากที่ Longcross Studios ในเซอร์รีย์ โดยอ้างอิงจาก XB-70 ต้นแบบวิสัยไกล เครื่องบินทิ้งระเบิดไวเหนือเสียงที่พัฒนาในอเมริกาช่วงปลายปี 1950s โครงสร้างขนาดใหญ่วัดได้ขนาดประมาณ 80 ฟุตตามยาว สถานที่/ฉากที่เป็นเอกลักษณ์อีกอย่าง คือ คฤหาสน์ของชาร์ลส์ ซึ่งตั้งอยู่ที่เวสต์เชสเตอร์ เมืองนิวยอร์ค ที่กลายเป็นโรงเรียนของซาเวียร์สำหรับหนุ่มสาวผู้มีพรสวรรค์ เด็กกลายพันธุ์จะมีการเรียนรู้เพื่อหาถิ่นฐานในสังคมที่รังเกียจพวกเขา โดยพบบ้านหลังหนึ่งในประเทศอังกฤษที่เหมือนกับคฤหาสน์ของภาพยนตร์ต้นฉบับที่ถ่ายทำในแคนาดา ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นการท้าทายความสามารถที่สำคัญ เพราะคฤหาสน์ชาวอังกฤษมีความเก่าแก่กว่าคฤหาสน์ที่คล้ายกันของชาวแคนาดา ในที่สุดผู้สร้างภาพยนตร์เลือก Englefield House คฤหาสน์ Tudor แสนสวยในเบิร์คเชียร์ที่มีประวัติความเป็นมาอย่างยาวนานและมีเสน่ห์ในตัวมันเอง ซึ่งทำให้มีวิวเมืองชนบทชาวอังกฤษที่ดูน่าทึ่ง ฉากสำคัญอื่นๆ ถูกสร้างขึ้นที่ Pinewood รวมถึงสำนักงานใหญ่ MIB และเรือดำน้ำขนาดใหญ่ สำหรับที่ Pinewood ผู้สร้างภาพยนตร์ยังสร้างค่ายกักกันที่มีประโยชน์ในภาพยนตร์เรื่อง X-Men ต้นฉบับขึ้นมาใหม่ด้วยความพยายาม “มันเป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่พวกเขาสามารถสร้างฉากขึ้นมาใหม่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ” ไบรอัน ซิงเกอร์ กล่าวว่า “ผมคิดว่าพวกเขาได้เห็นการถ่ายทำประจำวันบนจอมอนิเตอร์ขณะที่ผมกำลังดูฉากที่ถ่ายทำในเรื่อง X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง)” จากนั้นยังมีจุดอันตรายของ The Hellfire Club ที่ทันสมัยในยุค 60 ที่เป็นกองบัญชาการของเซบาสเตียน ชอว์และเหล่าบริวารของเขา ฉาก The Hellfire Club ทั้งหมดรวมถึงทางเข้าคาซิโนที่มีสไตล์เหมือนเวกัส (สร้างขึ้นที่อเมริกา); บนสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ Caf? de Paris ในลอนดอนมีผู้หญิงสวมชุดชั้นในหลายร้อยคนเป็นนักแสดงประกอบ และห้องลับภายในของชอว์ซึ่งเป็นฉากวงกลมสร้างขึ้นที่ Pinewood สีสันที่โดดเด่นและสดใสของคลับรวมถึงการใช้ศิลปะป๊อปซึ่งสะท้อนให้เห็นความรู้สึกและกลิ่นไอของยุค 1960 เพื่อเป็นการเพิ่มขอบเขตสากลของภาพยนตร์ ผู้สร้างภาพยนตร์ยังสร้างสถานที่ต่างๆ ขึ้นมาใหม่ในอาร์เจนติน่า ลอนดอน สวิตเซอร์แลนด์และรัสเซีย ในช่วงต้นเดือนธันวาคมกองถ่ายที่ถูกย่อส่วนย้ายสถานที่ไปอเมริกาเพื่อถ่ายทำฉากชายหาดคิวบาที่ Jekyll Island ในตอนปลายทางใต้ของจอร์เจีย ผู้ควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ในตำนานอย่าง จอห์น ไดค์สตรา ผู้สร้างผลงานสุดวิเศษเอาไว้ในภาพยนตร์เรื่อง Star Wars Episode IV- A New Hope และ Spider-Man และบรรดาผู้มีชื่อเสียงในวงการภาพยนตร์คนอื่นๆ มาร่วมกันใส่ชีวิตชีวาของพลังมนุษย์กลายพันธุ์ ซึ่งบางสิ่งยังไม่เคยได้เห็นในภาพยนตร์แฟรนไชส์ “เรามีตัวละครใหม่บางตัวในภาพยนตร์เรื่อง X-Men และพลังของพวกเขาต้องกระตุ้นความสนใจได้” ไดค์สตรากล่าวว่า “มันต้องมีจุดเชื่อมโยงระหว่างลักษณะเฉพาะของมนุษย์กลายพันธุ์และพลังของเขาหรือเธอโดยธรรมชาติ เราอยากให้ตัวละครและความสามารถของพวกเขาเป็นมากกว่าพลังอำนาจที่ประจักษ์แก่สายตา มันต้องมีความฉลาดอยู่เบื้องหลังกลยุทธ์ของพวกเขา” ไดค์สตรากล่าวชื่นชมภาพยนตร์เรื่อง X-Men โดยเฉพาะภาคนี้ว่า “จุดประการความเชื่อว่าการมพลังเป็นเรื่องดีเสมอ ภาพยนตร์ซีรี่ส์เรื่อง X-Men บรรยายเรื่องถึงมนุษย์กลายพันธุ์ว่าพวกเขามีความพิเศษ และมาพร้อมกับความรู้สึกของการเป็นผู้ที่ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้” เขากล่าว ผลงานด้านดิจิตอลของไดค์สตรามีความสมบูรณ์แบบได้ด้วยเอ็ฟเฟ็กต์พิเศษ (ที่มีความเป็นไปได้) ที่สร้างขึ้นโดยผู้ชนะรางวัล Academy Award? คริส คอร์โบล์ด เจ้าของผลงานเลื่องชื่อล่าสุดอย่าง The Dark Knight, Inception และ Casino Royale เอ็ฟเฟ็กต์อันน่าสนใจที่ประจักษ์แก่สายตาของคอร์โบล์ดในภาพยนตร์เรื่อง X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) สามารถพบได้ในฉากค่ายกักกันที่สร้างขึ้นมา ใน X-Jet (ซึ่งการหมุนเป็นวง 360 องศาถูกสร้างขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบก่อนหน้านี้ในเรื่อง Inception) และในเรือดำน้ำของชอว์ด้วย และสำหรับการเพิ่มสีสันภาษาภาพเข้ามาในภาพยนตร์เป็นผลงานของผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย แซมมี่ เชลดัน ผู้ทำหน้าที่โดยการคงรูปแบบ “ที่ทันสมัย” ของยุค 60 และความรู้สึกที่เหมือนเจมส์ บอนด์ การท้าทายความสามารถที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเชลดันคือการพัฒนาชุด X ที่สวมโดยชาร์ลส์ เอริค และสมาชิกหนุ่มสาวคนใหม่ระหว่างการต่อสู้อันยิ่งใหญ่ครั้งสำคัญกับชอว์และ Hellfire Club วอนก์ต้องการรักษาศรัทธาต่อหน้าปกของหนังสือการ์ตูน X-Men ภาคแรก ที่ได้เห็นมนุษย์กลายพันธุ์สวมชุดสีฟ้าและสีเหลือง “แมทธิวกับผมมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าในการสร้างชุดที่นึกถึงประโยชน์ใช้สอยเป็นส่วนสำคัญ โดยการใช้เทคโนโลยีจากยุค 1960” เชลดันกล่าวว่า “มันเลยกลายเป็นว่าเคฟล่า, เนื้อสารป้องกันกระสุนที่ถูกพัฒนาขึ้นมาในช่วงต้นยุค 60 และวัตถุถูกนำมาพัฒนาต่อให้มีสีเหลือง (เชลดินเพิ่มสีฟ้าเข้ามาในเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายในตอนท้าย) ผลงานในช่วงโพสต์-โพรดักชั่น ได้แก่ เพลงประกอบภาพยนตร์ของเฮนรี่ แจ็คแมน ที่รวมถึงประเด็นของ “X-Men” และ “Magneto” แบบใหม่ที่กำลังจะสิ้นสุดลง วอนก์ใช้เวลา 2-3 นาทีเพื่อคุยถึงความหวังและมาตรฐานที่คาดหวังไว้ในหนังเมื่อเข้าฉายในโรงภาพยนตร์เดือนมิถุนายน “ผมว่าสิ่งที่สร้างความแตกต่างของ X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) จากภาพยนตร์หนังสือการ์ตูนเรื่องอื่น คือเรามีตัวละครที่หลากหลาย” เขาชี้ชัดว่า “และตัวละครของเราแต่ละตัวมีพลัง บุคลิกลักษณะ ความน่าตื่นเต้น อุดมการณ์ จริยธรรมและความสัมพันธ์ในแบบเฉพาะตัว และทั้งหมดนั่นคือสิ่งที่จำเป็นต่อจักรวาล X-Men” เว็บ http://www.xmenfirstclass-thai.com/ ตัวอย่าง http://www.youtube.com/XMenFCThailand

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ