The Hangover ภาค 2 บทสัมภาษณ์ ทอดด์ ฟิลลิปส์ (ผู้กำกับ)

ข่าวบันเทิง Wednesday June 1, 2011 14:08 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--1 มิ.ย.--MMM Digital ทอดด์ ฟิลลิปส์ (ผู้กำกับ) คำถามและคำตอบ คำถาม: ตอนที่คุณนั่งอยู่กับเคร็ก แมซิน และ สก็อต อาร์มสตรอง เพื่อคิดถึงการสร้างภาพยนตร์เรื่อง The Hangover ภาค 2 คุณจัดการเรื่ององค์ประกอบอย่างไรบ้าง? ทอดด์ ฟิลลิปส์: ประเด็นสำคัญคือเรารู้ว่าเราต้องการคงรูปแบบของภาคแรกเอาไว้ และนั่นเป็นสิ่งที่สำคัญต่อผมมาก ผมว่าเหตุผลสำคัญที่ภาพยนตร์เรื่องแรกไปได้สวย นอกจากความเป็นจริงที่มันสร้างความหัวเราะจนหยุดไม่อยู่ และทุกคนมีเคมีสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน คือมันยังมีความลึกลับด้วย ซึ่งผมชอบไอเดียนั้นมาก มันเป็นหนังคอมเมดี้แนวสืบสวน ผมคิดว่าเราต้องรักษาส่วนประกอบนั้นเอาไว้ ฉะนั้นบางคนอาจพูดได้ว่ามันเหมือนหนังเรื่องเดิม จริงๆ แล้วมันไม่เหมือนเลย แต่มันเดินตามรูปแบบเดิม และผมคิดว่านั่นคือส่วนของความสนุกในหนัง ฉะนั้นมันจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก และแน่นอนว่าองค์ประกอบอื่นคือการเดินหน้าไปพร้อมกับคอมเมดี้อย่างรวดเร็ว และผลักดันมันไปพร้อมกับพวกเขา ดูว่าเราจะรักษาทุกอย่างไว้ได้ไกลแค่ไหน ซึ่งเป็นสิ่งที่เราทำกับหนังคอมเมดี้ทุกเรื่อง คำถาม: ภาพยนตร์มีการเปลี่ยนไปมากแค่ไหน จากที่ตอนแรกคุณนึกภาพเกี่ยวกับกรุงเทพกับตอนที่คุณได้ถ่ายหนังที่เมืองไทยจริงๆ? ทอดด์ ฟิลลิปส์: โอ้ เป็นร้อยเท่า บอกตามตรงว่ามันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา มันเปลี่ยนไปทุกๆ เช้าที่เราถ่ายทำ มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตอลดเวลา ผมพูดเสมอว่าบทภาพยนตร์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีชีวิตและหายใจได้ มันไม่ได้ไร้ชีวิตเหมือนก้อนหินแบบที่หนังบางเรื่องเป็น เราต้องเดินไปพร้อมจังหวะที่หนังให้เรา มันเป็นทำนองแจ๊สไม่ใช่คณิตศาสตร์ มันไม่มีสูตรในนั้น มันมีจังหวะของตัวเองและเราแค่เดินตามจังหวะนั้น ฉะนั้นนั่นคือสิ่งที่ผมคิดว่าเป็นสิ่งสำคัญ คำถาม: คนในประเทศไทยเป็นอย่างไรบ้าง? ทราบมาว่าคุณใช้กองถ่ายคนไทยค่อนข้างเยอะ ทอดด์ ฟิลลิปส์: มันเป็ฯเรื่องมหัศจรรย์ ผู้คนเรียกที่นั่นว่า ‘เมืองแห่งรอยยิ้ม’ และนั่นคือสิ่งที่เรารู้สึกได้ ผู้คนใจดีและน่าอัศจรรย์ คำถาม: ดูเหมือนหลักการนั้นเหมาะกับคุณและโดยเฉพาะเหล่านักแสดง เพราะมีท่วงทำนองแห่งความฮารวมอยู่ด้วย ทอดด์ ฟิลลิปส์: ใช่ เราต้องมีเหล่านักแสดงที่มีทักษะที่สามารถยืนด้วยตัวเขาเองได้บ้าง และผมมีสิ่งนั้นในหนังที่ผมเคยทำมาแล้ว นั่นคือเรื่อง Due Date มันเป็นแบบเดียวกัน โรเบิร์ต ดาวนีย์ และ แซ็ค [แกลิเฟียนาคิส] อินไปกับการลื่นไหลในการเปลี่ยนแปลงและเดินหน้าต่อไป เราต้องปล่อยให้หนังพาเราไป มันเป็นเรื่องแปลกมาก แต่มันยากที่จะอธิบายโดยไม่ให้ฟังดูเหมือนว่าเราเมายา แต่เราต้องเดินตามความเพ้อฝันของเราไปจริงๆ คำถาม: ช่วงเวลาแรกที่คุณกำกับฉากในหนังเรื่อง The Hangover ภาค 2 ตอนที่ทุกคนมาอยู่ร่วมกัน อะไรทำให้คุณรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ต้องไปได้สวย? ทอดด์ ฟิลลิปส์: ในวันแรกต้องบอกตามตรงเลยว่ามันน่ามหัศจรรย์ เพราะในวันแรกเราถ่ายทำกันที่ร้าน IHOP มันเป็นฉากไร้สาระที่พวกเขาพูดกันว่า ‘เฮ้ อลันอยากไปงานแต่งงานน่ะ’ ผมไม่เคยทำหนังภาคต่อมาก่อน แต่ชัดเจนว่าการทำหนังภาคต่อมันง่ายขึ้นในบางประเด็น ที่แน่ๆ คือสำหรับนักแสดง เพราะหากพวกเขาอยากคุยกันถึงเรื่องราวความเป็นมา เราแค่บอกว่า ‘กลับไปดูหนังภาคแรกสิ นั่นล่ะความเป็นมาของนาย’ พวกเขารู้ดีว่าตัวละครเป็นคนอย่างไร การเขียนหนังที่เป็นภาคต่อมันเป็นเรื่องที่ง่ายกว่านะสำหรับผม มันเป็นการสร้างหนังที่ง่ายขึ้น ผมว่ามันง่ายขึ้นสำหรับพวกเขาด้วยในการแสดงด้วย เพราะพวกเข้าใจบทบาทของแต่ละคน และทุกคนรู้ว่าพวกเราเหมาะกับอาณาเขตที่ไร้ข้อกังขาแบบไหนในหนัง มันผสานเข้ากันได้โดยทันที คำถาม: ตอนที่คุณกำลังพัฒนาฉากขึ้นมา มันมีขั้นตอนอย่างไร ทุกคนร่วมใส่ความเห็นลงไปหรือเปล่า? ทอดด์ ฟิลลิปส์: ครับ มันเป็นมุมมองของผมกับเหล่านักแสดงเท่านั้น มีบางครั้งที่ทุกคนหายสาปสูญไป พวกเราไปอยู่ที่มุมห้องเวลามีอะไรดูไม่เข้าท่า จากนั้นก็นึกภาพมันออกมา มันเกิดขึ้นทุกวันจริงๆ ไม่ได้หมายความว่าเราโยนบททิ้งไป เพราะเราไม่ได้ทำแบบนั้น มันลงเอยในเวอร์ชั่นแบบที่เราเขียนกันไว้ จังหวะของมันเปลี่ยนไปและนั่นเป็นสิ่งที่ผมเปิดรับมันสุดๆ ผมพบว่ามันมีชีวิตชีวาขึ้นมาใหม่จากที่บางทีรู้สึกได้ว่าเหมือนเป็นศพ คำถาม: หนังภาคนี้มุ่งความสนใจไปที่ตัวละครของเอ็ด เฮล์มส นั่นคือ สตู คุณช่วยเล่าให้ฟังได้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้นกับสตู? ทอดด์ ฟิลลิปส์: สำหรับผมแล้ว สตูเป็นตัวละครที่ผู้ชมจดจำได้มากถึง 90% ในหนังทั้งสองเรื่อง ผมว่าผู้ชมเป็นผู้เลือกตัวละครเสมอและดูหนังผ่านสายตาของตัวเองไม่ว่าจะเป็นหนังอะไร ผมว่าในหนังเรื่อง The Hangover ผู้คนทั่วไปส่วนใหญ่เฝ้ามองผ่านสายตาของสตู ผมมองมันผ่านสายตาของอลัน ซึ่งมันก็โอเค เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นการเดินทางของเขาในหนังทั้งสองเรื่องอย่างเลี่ยงไม่ได้ และภาคนี้เป็นเรื่อง 2 ปีหลังจากหนังภาคแรก สตูมีแผลเป็นทางอารมณ์จากสิ่งที่เขาผ่านพ้นมาในหนังภาคแรก เขาเป็นคนที่ระมัดระวังตัวมากขึ้น สิ่งที่ผมชอบในหนังภาคต่อนี้และไม่พบในหนังภาคต่อส่วนใหญ่ แม้ว่าเราไม่ใช่คนแรกที่ทำแบบนั้นแน่ๆ คือทุกคนในหนังภาคต่อเชื่อมโยงกับหนังภาคแรก บางครั้งหนังภาคต่อจะกันไม่ให้มีเรื่องหนังภาคแรกเข้ามา ในหนังภาคนี้พวกเขายังคงไว้อย่างชัดเจน และได้รับผลกระทบจากหนังภาคแรกอยู่โดยเฉพาะสตู เมื่อเขาถ่ายทอดและแสดงในหนังเรื่อง The Hangove ภาค 2 เราได้รู้เมื่อเขาใส่มันเข้าไปว่า เขามีปีศาจอยู่ในตัวเขา ซึ่งผมว่ามันเป็นสิ่งที่ผู้คนเข้าถึงได้ และมันกลับเป็นเรื่องว่าเราไปกระตุ้นปีศาจตัวนั้นบ่อยแค่ไหน หรือเราปิดบังและดึงปีศาจตัวนั้นกลับมาบ่อยแค่ไหน? สตูซ่อนไว้ได้ยากลำบากเมื่อเขาไม่มีสติตอนที่อยู่กับพวกของเขา ซึ่งมันกลายเป็นส่วนสำคัญของหนัง คำถาม: แล้วคนอื่นเป็นอย่างไรบ้าง? โดยทั่วไปแล้วพวกเขาเหมือนกับที่เป็นในหนังภาคแรกหรือเปล่า? ทอดด์ ฟิลลิปส์: อลันยังเหมือนเดิม เว้นแต่ว่าเขามั่นใจมากขึ้น ซึ่งก็รับประกันไม่ได้ เขาดูก้าวร้าวขึ้นนิดหน่อยที่ตอนนี้เขามีเพื่อนทั้ง 4 คน แทนที่จะมีเพียงคนเดียว คราวนี้เขาดูกร่างขึ้นกว่าภาคแรก และไม่มีอะไรที่ผมจะชอบมากไปกว่าคนก้าวร้าวที่ไม่อยู่ในร่องในรอย ซึ่งเป็นคนที่อวดดีได้โดยไม่ต้องมีเหตุผล นั่นแหละคืออลัน สำหรับผมฟิลเป็นเหมือนกับหัวหน้าแกงค์ 2 ปีต่อมาเขายังได้รับผลกระทบจากที่เวกัสอยู่ แต่มันไม่ได้เปลี่ยนโลกของเขาไป มันไม่ได้สั่นคลอนโลกของเขาเหมือนกับสตู ฉะนั้นเขายังคงมีความเป็นผู้นำของกลุ่มที่ผมคิดว่าเป็นสิ่งสำคัญ เพราะเขาเป็นเพียงคนเดียวที่พยุงพวกเขาในอุปสรรคใหญ่ๆ ตลอดทั้งเรื่อง เขาเป็นคนเดียวที่คอยสมานเข้าด้วยกันในหนังทั้งสองเรื่อง คำถาม: คุณช่วยพูดถึงเหล่านักแสดงและการทำงานร่วมกับพวกเขา โดยเฉพาะกับนักแสดงนำทั้ง 3 และสิ่งที่พวกเขาแสดงในบทบาทของพวกเขาให้ฟังได้มั้ย? ทอดด์ ฟิลลิปส์: สำหรับผมแล้ว ถึงแม้แบรดลีย์จะไม่ใส่ความมั่นใจลงไปโดยส่วนตัว แต่เราวางใจเขาได้และเชื่อมั่นได้ว่า เขาจะดึงคุณออกจากเรื่องเดือดร้อน บอกตามตรงผมคิดว่าแบรดลีย์เป็นแบบนั้นในชีวิตจริง แต่เขาไม่เคยบรรยายตัวเองไว้แบบนั้น เพราะเขาเป็นนักแสดงและจริงๆ แล้วนักแสดงชายทุกคนคือนักแสดงหญิง [หัวเราะ] แต่เขาครองฉากในหนังทุกเรื่อง ผมไม่ได้หมายถึงแค่ในหนังเรื่อง The Hangover ผมเคยเห็นเขาแสดงตั้งแต่เรารู้สึกว่าเขามีบารมี ซึ่งจะหาคำมาทดแทนที่ดีกว่านี้ไม่ได้แล้ว นั่นเป็นเรื่องที่น่ามหัศจรรย์ เอ็ดเป็นคนที่มีความกล้าหาญ เขาจะทำทุกอย่างเพื่อเสียงหัวเราะ และพยายามทุกสิ่งเหมือนนักแสดงตลกมืออาชีพทั่วไป เขาไม่เคยหวาดกลัว มันเหมือนกับ ‘โอเค ฉากนี้ผมต้องสวมชุดชั้นใน บทมีความยาว 10 หน้าและต้องอยู่บนโปสเตอร์หนัง ลุยเลย มันจะฮามั้ย? โอ้ อย่างแรกผมต้องดึงฟันของผมออกหรอ? โอเค ผมรู้ผมดูตลก มาลุยกันเถอะ’ เขากล้าจริงๆ ส่วนแซ็คเป็นคนน่ากลัว ผมหมายถึงในทางที่ดี เขามีความน่ากลัวแบบนี้ เวลาที่เราเห็นแซ็คอยู่ในหนัง เขาเป็นเพียงคนเดียวในกลุ่มที่เรารู้ว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ เพราะเราไม่รู้เลยว่าความคิดเขาจะแล่นไปจุดไหน ตัวละครทุกตัวถูกสร้างขึ้นด้วยมือ สำหรับแต่ละตัวละครเพื่อผลประโยชน์ในด้านของคุณภาพที่ตัวนักแสดงเหล่านี้มี ฉะนั้นคุณสมบัติที่นากลัวนั่นคืออลันเริ่มเปลี่ยนไปจากนาทีแรก หลังจากที่ผมคัดเลือกตัวแสดงเขาในบทอลัน เราเขียนบทขึ้นมาใหม่ทั้งหมดเพื่อแต่ละคน และทำให้มันมีตัวตนมากขึ้น เอาล่ะ เรามีคนที่แสดงทุกฉากได้แล้วจริงๆ และเขามีบทประโยคเดียวในตอนท้าย และมันก็ประทับใจ เหมือนมันมีลูกหลงมาจากไหนไม่รู้ เราไม่รู้เลยว่าเขาพูดถึงเรื่องบ้าอะไร แต่มันจะเป็นเสียงสะท้อน ฉะนั้นแซ็คเป็นความฝันแบบนั้น จริงๆ แล้วพูดตามตรงว่ามันเป็นคลื่นลูกยักซ์ของนักแสดงตลกที่สมบูรณ์แบบ และผมคิดว่ามันเป็นเหตุผลใหญ่ว่าทำไมหนังถึงไปได้สวยมาก การคัดเลือกตัวนักแสดงเป็นสิ่งสำคัญในหนังทุกเรื่อง และสำหรับหนังตลกวผมว่ามันสำคัญถึง 78% และทั้งสามหนุ่มนี้เป็นอะไรที่เพอร์เฟ็กต์ คำถาม: มีบางอย่างเกี่ยวกับมิตรภาพของพวกเขาในหนังเรื่องแรก เกี่ยวกับการเฝ้าดูประสบการณ์ของพวกเขาร่วมกันที่ทำให้เรารู้สึกดี ทอดด์ ฟิลลิปส์: สิ่งที่ดีที่ผู้คนพูดกับผมคือ ‘โอ้ เราได้ดูหนังของคุณ มันทำให้เราอารมณ์ดี’ ผมว่านั่นเป็นคุณค่าที่แท้จริงของหนังตลกในโลกนี้ มันเป็นการยอมรับในระยะสั้นๆ สำหรับเวทีรางวัลหรือการวิพากษ์วิจารณ์ แต่สิ่งที่ผู้คนยกความดีความชอบให้ไม่มากพอนั่นคือการทำให้ผู้คนมีความสุข มันเป็นเรื่องประหลาด เราเข้าไปค้นหาคำว่า The Hangover บนทวีตเตอร์ และเราจะได้ยินว่า ‘วันนี้อารมณ์เสียที่สุดเลย ต้องไปดู The Hangover แล้ว’ มันไม่ใช่ยาเสพย์ติด แต่เป็นสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขได้ นั่นคือคุณค่าของหนังตลก มันทำให้ผู้คนหัวเราะใช้ได้เลย จริงๆ แล้วมันเป็นสิ่งที่ทำแล้วน่าชมเชยและวิเศษมาก และผมรักที่จะทำมัน คำถาม: ขอถามถึงเรื่องเมืองไทยได้มั้ย? คุณมีฉากในดวงใจหรือสถานที่โปรดในการถ่ายทำที่มันเป็นยิ่งกว่าความฝันที่เลยเถิดของคุณมั้ย? ทอดด์ ฟิลลิปส์: สถานที่ทุกแห่งมันยอดเยี่ยมมาก บริเวณไชน่าทาวน์ของกรุงเทพมีความสวยงามมาก และไม่เหมือนที่ไหนที่ผมเคยไปมาก่อน ผมรักสถานที่นั้น เราถ่ายทำภาพยนตร์ส่วนใหญ่โดยรอบไชน่าทาวน์ เหมือนกับผมไม่มีสถานที่โปรดเลย ฉากในดวงใจของผมไม่เกี่ยวกับสถานที่ ฉากโปรดของผมคือตอนที่แซ็คเอาลิงไปทิ้งไว้กับสัตวแพทย์ ผมว่านั่นเป็นฉากที่ดีที่สุดในหนัง น่าจะเป็นฉากที่ดีที่สุดตั้งแต่ถ่ายทำมา มันดูไร้สาระแต่เป็นช่วงที่สร้างอารมณ์ให้เราได้ มันเป็นเรื่องตลก เพราะตอนที่เราใส่เพลงประกอบหนังชั่วคราวลงไป เราใช้ดนตรีจาก Hangover ภาคแรกในฉากที่ฮีเธอร์และเอ็ดบอกลากัน เราใช้ดนตรีชั่วคราวแบบเดียวกันระหว่างถ่ายทำ จากนั้นผมก็ตกหลุมรักมัน แม้แต่ผู้ประพันธ์ดนตรีเองยังบอกว่า ‘คุณใช้ดนตรีประกอบแบบเดียวกับเรื่อง Hangover ภาคแรกไม่ได้นะ ให้ผมเขียนเวอร์ชั่นอื่นให้เถอะ’ เขาเขียนหลายเวอร์ชั่นแต่มันก็ไม่ลงตัวซะที ผมเลยบอกว่า ‘ผมว่าผมชอบเวอร์ชั่นนี้’ เขาบอก ‘ดนตรีนี้มันหวานเกินไป’ ผมบอก ‘คุณไม่เข้าใจอลันหรอก นี่เป็นมิตรภาพที่สำคัญที่สุดเท่าที่เขาเคยมีมา’ [หัวเราะ] ‘นี่คือช่วงเวลานั้น’ เราเลยทิ้งปริศนานั้นไว้ มันขำมาก คำถาม: การท้าทายความสามารถในการถ่ายทำที่เมืองไทยสำหรับคุณมีอะไรบ้าง? ทอดด์ ฟิลลิปส์: การท้าทายความสามารถที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือความวุ่นวายโกลาหล มันมีความแออัดและอากาศร้อน ฉะนั้นจาการคิดคำนวณแล้วมันเป็นสถานที่ที่ยากต่อการถ่ายทำ โดยทั่วไปแล้วผมสร้างหนังที่เกี่ยวกับความโกลาหล ฉะนั้นการถ่ายทอดถึงความโกลาหลได้ บางครั้งเราต้องเข้าไปหาความโกลาหล และเราก็เข้าไปหาในกรุงเทพ มันเป็นการถ่ายทำที่ยากที่สุดตั้งแต่เคยทำมา แต่ทั้งหมดก็สามารถบรรจุอย่างลงตัวเข้าไปในหนังได้ และมีสิ่งที่กลายเป็นองค์ประกอบและรูปแบบของหนัง ซึ่งเป็นสิ่งที่ประเมิณค่าไม่ได้ คำถาม: ช่วยเล่าถึงเจ้าลิงคริสตัลให้ฟังหน่อย เธอแสดงในฉากเป็นอย่างไรบ้าง? ทอดด์ ฟิลลิปส์: คริสตัลมีความน่าอัศจรรย์ สายตาของเธอแสดงออกได้มาก โดยเฉพาะในฉากที่ผมบอกว่าเธอกำลังมองแซ็คอย่างอาลัยอาวรณ์ว่า ‘อย่าทิ้งฉันไว้ที่นี่’ จากนั้นเขาเอาบุหรี่ให้เธอและพูดว่า ‘ทุกอย่างต้องไปด้วยดี’ เธอไว้ใจเขาและเชื่อใจเขา จากนั้นเขาเดินจากไปไกลและพูดว่า ‘ฉันอยากให้ลิงเล่นสไกป์ได้จัง’ เธอมองดูเขาแบบว่า ‘ผู้ชายคนนี้แปลกกว่าที่คิดเอาไว้ ฉันหวังว่าเขาจะจากไปตอนนี้เลย’ มันตลกมาก คำถาม: คุณพูดว่าคุณหลงใหลในมิตรภาพของผู้ชาย และความตลก ความเปิ่น ความแปลกเวลาที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน คุณมีกลุ่มเพื่อนที่เป็นแบบนี้มั้ย? ในชีวิตคุณมีแกงค์ป่วนหรือเปล่า? ทอดด์ ฟิลลิปส์: ไม่มีนะ มันเป็นเรื่องที่ผมใส่ใจกับมันเสมอ เพราะผมเติบโตขึ้นมากับผู้หญิง ผมโตมากับแม่และพี่สาวอีก 2 คน ผมไม่มีพ่ออยู่เคียงข้าง ผมถูกปลูกฝังมาด้วยความเป็นผู้หญิง ฉะนั้นผมคิดว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการอยากรู้อยากเห็นในสิ่งนั้น ณ เวลานี้ ในชีวิตข้างหน้าผมมีกลุ่มเพื่อนผู้ชายที่สนิท ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเราไม่ได้บ้าเหมือนพวกผู้ชายที่ผมสร้างขึ้นมาในหนัง แต่ผมไม่รู้ว่าจะมีใครเป็นแบบนั้นมั้ย แต่แน่นอนว่า ณ เวลานี้ ในชีวิตข้างหน้า ผมมีกลุ่มเพื่อนผู้ชายที่เชื่อใจได้จริงๆ ซึ่งเป็นเรื่องแปลกเพราะมันยากที่จะหาเพื่อนเมื่อเราอายุมากขึ้น แต่ด้วยเหตุผลบางประการผมมีเพื่อนตอนอายุมากขึ้นเยอะกว่าตอนเป็นวัยรุ่น คำถาม: ถ้าต้องบอกผู้ที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ของหนังภาคแรกให้ไปชมภาคนี้ คุณจะบอกว่าอะไร? ทอดด์ ฟิลลิปส์: ผมเพิ่งคิดถึงเรื่องนั้นว่า หากคุณชอบหนังภาคแรกและเราเพิ่มข้อเดิมพันมากขึ้น เราเพิ่มความเสี่ยงสูงขึ้น และเราเพิ่มความฮามากขึ้นในแบบที่ผมคิดว่ามันเกิดขึ้นได้ในหนังภาค 2 เท่านั้น ผมว่าเราทำทุกอย่างในหนังเรื่องนี้ด้วยความมั่นใจมาก บางคนบอกกับผมว่า ‘หนังมีช่วงเวลาที่เป็นอิสระของตัวเองที่บรรจุเข้าไป ซึ่งเราไม่เห็นในหนังตลกของฮอลลีวูดมากซักเท่าไหร่ มันรู้สึกเหมือนเรามีเส้นทางของเราในหนังเรื่องนี้’ เราทำแบบนั้นจริงๆ และผมชอบที่มันผ่านพ้นมาได้ สำหรับผมแล้วมันรู้สึกเหมือนการขยายความในบางส่วน เราเอาตัวละครพวกนี้ที่เรารัก ปริมาณคนก็เพิ่มเข้ามาเป็น 11 คน แต่ผมว่าผู้คนต้องชอบมัน แล้วเราจะได้เห็นกัน คำถาม: มันเป็นสิ่งที่คุณทำได้กับหนังทุกเรื่อง หรือทำได้เฉพาะหนังภาคแรกเท่านั้น? ทอดด์ ฟิลลิปส์: ผมคิดว่าเป็นหนังภาคแรก ผมว่าถ้านี่คือหนังภาคแรกมันต้องขายยากกว่า เพราะมันมีความเข้มข้นมากกว่า แต่ผมว่าผู้คนก็ผ่านมันไปและรักหนังภาคแรก พูดตามตรงว่าภาพยนตร์เรื่อง Hangover ภาคแรกยังเป็นภาพยนตร์ video-on-demand เรื่องใหญ่ที่สุดตลอดกาล ผู้คนดูหนังเหมือนอย่างที่ผมพูดเอาไว้ เวลาที่พวกเขาอยากอารมณ์ดี เขาจะเปิดมันขึ้นมาดู มันมีการตอกย้ำความฮาตลอดเวลา ซึ่งเราไม่พบกับหนังทั่วไปโดยส่วนใหญ่ ด้วยการที่หนังเรื่อง The Hangover เหมือนที่พวกเขาดู 8 รอบเวลาที่พวกเขาดูภาค 2 ฉะนั้นตัวละครทุกตัวฝังลึกอยู่ในตัวพวกเขา ซึ่งเราจะได้หลายสิ่งหลายอย่างจากพวกเขา คำถาม: ผมว่า 8 รอบเป็นการประมาณการที่ล้าหลังไปหน่อยนะ ทอดด์ ฟิลลิปส์: ผมขอบอกว่ามีคนเข้ามาหาผมและบอกกับผมตรงๆ ว่า ‘สาบานได้เลย ผมดูหนังเรื่องนี้มากกว่า 100 ครั้ง’ มันประหลาดมาก The Hangover 2 - เดอะ แฮงค์โอเวอร์ ภาค 2 ฮาหมดแม็คที่กรุงเทพฯ 26 พฤษภาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์เท่านั้น http://www.hangover2-thai.com

แท็ก ภาพยนตร์  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ