กรุงเทพฯ--1 มิ.ย.--MMM Digital
แบรดลีย์ คูเปอร์ (ฟิล), เอ็ด เฮล์มส (สตู), แซ็ค แกลิเฟียนาคิส (อลัน),จัสติน บาร์ธ่า (ดั๊ก), ทอดด์ ฟิลลิปส์ (ผู้กำกับ), เคร็ก เมซิน (ผู้เขียนบทภาพยนตร์)และ สก็อต อาร์มสตรอง (ผู้เขียนบทภาพยนตร์) คำถามและคำตอบ
คำถาม: กรุงเทพมีส่วนช่วยสนับสนุนภาพยนตร์อย่างไรบ้าง?
ทอดด์ ฟิลลิปส์: สำหรับผม พูดตามตรงว่ากรุงเทพเป็นเมืองที่เราต้องไป กรุงเทพเป็นเมืองที่มีความเป็นสากลมาก ในหนังของเรา เราถ่ายทำที่ย่านไชน่าทาวน์ของกรุงเทพเป็นส่วนใหญ่ เรามีความชอบที่จะไปที่ภาพลักษณ์และความรู้สึกของบริเวณนั้น แต่กรุงเทพเป็นเมืองที่สวย มีเมืองที่เหลือเชื่อ มีความเป็นสากล ผมอยู่ที่นั่นประมาณ 3 เดือนแต่ยังรู้สึกเหมือนอดใจอยู่ที่นั่นนานกว่านี้ไม่ไหว เพราะที่นั่นมีอะไรให้ชื่นชมอีกมาก โดยทั่วไปแล้วประเทศไทยมีความสวยงาม พวกหนุ่มๆ ไปตามเกาะต่างๆ หลายแห่งในจุดเดียวกัน
แบรดลีย์ คูเปอร์: ใช่ เราอยู่ที่เชียงใหม่ในช่วงคริสต์มาสซึ่งมันเหลือเชื่อเลย แต่ผมอยากตอกย้ำสิ่งที่ทอดด์พูดอีกครั้งว่า สำหรับผมแล้วผมหลงรักกรุงเทพ เราใช้เวลา 2 อาทิตย์ในเมืองตากอากาศ และผมอดใจรอที่จะกลับไปกรุงเทพไม่ไหวเลย
คำถาม: การถ่ายทำภาพยนตร์ที่กรุงเทพเป็นการท้าทายความสามารถมั้ย?
แซ็ค แกลิเฟียนาคิส: โดยทั่วไปแล้ว มันคือการปรับสภาพเข้ากับเมืองในช่วง 2-3 วันแรก อาการเจ็ตแล็คค่อนข้างเอาการ แต่พอเราไปถึงที่นั่นและได้เข้าพัก ผู้คนน่ารักมากจนเรารู้สึกได้ถึงการต้อนรับและที่นั่นเป็นสังคมที่ดี มันเป็นแบบนั้นจริงๆ
ทอดด์ ฟิลลิปส์: โดยภายนอกแล้วผมคิดว่า กรุงเทพมีความแออัดและเป็นเมืองที่ร้อนมาก ผมว่าพวกเราทุกคนมีความท้าทายเรื่องการจัดการกับฝูงชนและความวุ่นวาย แต่ในท้ายที่สุดหนังมีความเกี่ยวข้องกับความโกลาหล ซึ่งการสร้างหนังเกี่ยวกับความโกลาหลบางทีเราต้องเข้าไปหามัน ฉะนั้นผมคิดว่ามันมีคำตอบในตัวมันเองและมันมีส่วนช่วยเหลือเรา
คำถาม: แล้วจัสตินล่ะ?
จัสติน บาร์ธ่า: ผมใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่ชายหาด ฉะนั้นเรื่องตลกที่สุดที่เกิดขึ้นกับผม คือผมสั่งไดเอทโค้กแต่ผมกลับได้โค้กธรรมดา [หัวเราะ]
คำถาม: มีร้านอาหารดีๆ ในกรุงเทพที่คุณพอแนะนำให้ได้มั้ย?
แบรดลีย์ คูเปอร์: อันที่จริงผมชอบดูจากเมนูแนะนำ ซึ่งเป็นของร้านอาหารจีนที่ผมกินในกรุงเทพโดยส่วนใหญ่
เอ็ด เฮล์มส: ใช่ ดูจากเมนูแนะนำแน่นอนสุด
คำถาม: คุณเห็นที่กรุงเทพมีผู้หญิงสวยเยอะมั้ย?
แบรดลีย์ คูเปอร์: ผู้คนในกรุงเทพโดยทั่วไปเป็นคนสวยทั้งผู้ชายและผู้หญิง ดูสวยแบบงดงาม ที่นั่นน่าเหลือเชื่อและมีผู้หญิงสวยๆ มากมาย แต่ไม่ใช่แค่ความงดงามเท่านั้น ยังมีสิ่งที่เกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึกของผู้คนด้วย ผมหมายถึงพวกเขาเรียกกันว่า ‘เมืองแห่งรอยยิ้มนับร้อย’ ซึ่งนั่นแหละคือเหตุผล พวกเขามีความเปิดเผยและมีความสุภาพ นั่นเป็นสิ่งที่ลามถึงกันได้ มีพลังของผู้หญิงและผู้คนที่นั่นลามติดถึงกันได้ เราอยากวนเวียนอยู่ที่นั่น นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ผมหลงรักกรุงเทพและอยากกลับไปสัมผัสชีวิตชีวาที่นั่น
แซ็ค แกลิเฟียนาคิส: ผมมั่นคงอยู่กับผู้หญิงคนเดิมมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว และผมไม่มองผู้หญิงคนอื่นเลย [หัวเราะ]
เอ็ด เฮล์มส: ที่นั่นเป็นเมืองที่สวย มีวัฒนธรรมที่งดงาม และผู้คนดูแทบไม่น่าเชื่อทุกคนเลย
ทอดด์ ฟิลลิปส์: มีคำถามประหลาดเกิดขึ้นมากมาย มาคุยกันอย่างจริงจังเถอะ [หัวเราะ]
แบรดลีย์ คูเปอร์: ผมว่าเราตอบไปแล้วนะ
คำถาม: คุณตัดสินใจว่าจะเบี่ยงประเด็นหรือคงประเด็นเรื่องจาก Hangover ภาคแรกมากน้อยแค่ไหน?
ทอดด์ ฟิลลิปส์: เราคิดถึงเรื่องนั้นตลอดเวลา มันเป็นเรื่องสำคัญมากในช่วงเดือนแรกที่นั่งอยู่ในห้องร่วมกัน คุยกันว่ามันควรต่างไปอย่างไร เรายืนกรานว่า ‘เหมือนเดิมแต่ทำให้ต่าง คงเดิมไว้แต่ทำให้เปลี่ยนไป’ ท้ายที่สุดผู้คนมาดูหนังภาคต่อ พวกเขาต้องการหนังภาคต่อเพราะสนุกสนานกับภาคแรก และผมคิดว่าสิ่งที่เราทำถูกต้องแล้ว เราคงอยู่กับรูปแบบของหนังภาคแรก แต่เราสร้างให้มีข้อเดิมพันสูงขึ้นและดูหมองหม่นขึ้น สิ่งอื่นๆ ที่เราทำเป็นการยอมรับตัวละครที่ผ่านพ้นประสบการณ์จากภาคแรกมาแล้ว
ฉะนั้นในหนังภาคแรกพวกเขาตื่นขึ้นมา ในห้องมีทั้งเสือและเด็กทารก จากนั้นพวกเขาทานข้าวเช้ากัน คราวนี้พวกเขาทำแบบนั้นไม่ได้ พวกเขารู้ว่ามันจะเลวร้ายได้ขนาดไหน ฉะนั้นผมคิดว่าเราเดินทางมาถึงการผสมผสานที่เหมาะสมแล้ว
เคร็ก แมซิน: เพียงแค่เสริมเข้าไปในนั้น ผมว่าคำนึงถึงความสนุกสนานใน Hangover ภาคแรก สำหรับผมแล้วเห็นได้ชัดเลยว่าทุกคนสนุกสนานกับมันมาก และมีปฏิสัมพันธ์กันทุกอย่าง แต่หนังก็มีปริศนาด้วย ซึ่งเราไม่อยากเสียองค์ประกอบของการสืบค้นข้อมูลที่อยุ่ในหนังภาคแรกไป เพราะผมว่ามันทำให้ผู้คนนั่งติดขอบเบาะและมีส่วนร่วมกับไปเรื่องราว ฉะนั้นมันเป็นเรื่องที่เราตัดสินใจอย่างมีสติในช่วงแรกว่า เราต้องยึดรูปแบบนั้นไว้ เหมือนเรา ‘ถือสิทธิ์’ ของรูปแบบนั้นและเราต้องนำมันมาใช้ นั่นแหละคือเรื่องราวทั้งหมด
สก็อต อาร์มสตรอง: สำหรับผมแล้วมันสนุกมาก สำหรับเราการที่ได้นั่งในห้องและจินตนาการว่าพวกเขากำลังจะทำอะไรกันตอนนี้ เราไม่ได้เจอพวกเขามาหลายปี ป่านนี้พวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง? เราได้เห็นสำนักงานของสตู ไพรซ์ และได้เห็นการใช้ชีวิตของอลันในห้องนอนของเขาที่บ้าน เราได้คุยกันว่าพวกเขาเป็นอย่างไรกันมาบ้างเพราะนี่คือตัวตลกพื้นฐานของเรื่องทั้ง 4 คน
แซ็ค แกลิเฟียนาคิส: ขอโทษนะครับ? ผมไม่รู้ว่าพวกคุณเป็นใคร [หัวเราะ]
สก็อต อาร์มสตรอง: เอาล่ะ พวกคุณอยากได้กาแฟสักถ้วยมั้ย? [หัวเราะ] ถ้าพวกคุณต้องการอะไร บอกผมได้นะ
แบรดลีย์ คูเปอร์: ผมว่านั่นเป็นเหตุผลหนึ่งว่าทำไมถึงมีโอกาสของภาพยนตร์ภาค 2 มาก เพราะอะไรหลายอย่างที่ไม่ยังไม่เสร็จสิ้น เรายังไม่รู้จักเหล่าตัวละคร ซึ่งเป็นเรื่องประหลาดมาก เสียงนาฬิกาที่ดังเป็นจังหวะที่มีอยู่ในภาคแรก ผมว่าความแตกต่างระหว่างภาคแรกกับภาคนี้ คือภาคนี้ทั้งสามคนมีชีวิตชีวามากกว่า และเราได้รู้จักพวกเขาอย่างจริงจัง
ตัวอย่างเช่นตัวผมที่ดูหนังภาคแรก มันอาจหลอมลวมเป็นมุกเดียวกันได้ หนังทั้งเรื่องคือองค์ประกอบและคำพูดที่โดนใจ คือเครดิตที่เราเห็นตอนท้ายเรื่อง ผมตื่นเต้นที่จะได้เห็นเครดิต แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมนึกถึงในหนังทั้งเรื่อง ผมมุ่งอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับสตู พวกเขาจะจัดการกับสิ่งที่เดินหน้าไปอย่างไร สิ่งที่อลันทำและอะไรอีกหลายอย่างเกี่ยวกับเรื่องนั้น ซึ่งในฐานะของผู้ชมคนหนึ่ง ผมพบว่ามันเป็นหนังที่สนุกมากขึ้น
เอ็ด เฮล์มส: ผมว่าในหนังภาคแรกเราได้ให้คำนิยามของตัวละครเหล่านี้และให้พวกเขาค้นพบตัวเอง พวกเขาเป็นรูปแบบทั่วไปในแบบที่เราเพิ่มการเน้นย้ำและท่วงทำนองของเราลงไป เมื่อมาถึงเวลาของหนังภาค 2 มันจึงมีความตื่นเต้นมาก เป็นการสะท้อนถึงสิ่งที่แบรดลีย์พูดเอาไว้ เราสามารถเพิ่มมิติลงไปในตัวละครเหล่านี้ได้ในบางอย่าง เพราะเราทำการบ้านมาแล้ว เรารู้แล้วว่าพวกเขาเป็นคนอย่างไร เรารู้ถึงความสัมพันธ์ของพวกเขา และทอดด์ เคร็ก รวมถึงสก็อตมอบสิ่งที่สนุกสนานกับเราหลายอย่าง ซึ่งทำให้พวกเขามีความสดใส อย่างที่สก็อตต์บอกเอาไว้ว่า การไปที่ร้านทำฟันของสตู มันเป็นการเพิ่มความซับซ้อนให้ตัวละครเหล่านี้ และมันเป็นการค้นหาที่สนุกสนาน มันเหมือนการลอกเปลือกหอมใหญ่ออกมา มันสนุกสนานมาก
แบรดลีย์ คูเปอร์: เห็นได้ชัดว่ามันเป็นการตัดสินใจอย่างตั้งใจของทอดด์ที่ทำแบบนั้น เพื่อให้หนังมีชีวิตชีวามากขึ้น มีพื้นที่ของมันมากขึ้นในประเด็นของจังหวะของการลำดับภาพมากกว่าภาคแรก มันเป็นการแสดงประกอบดนตรีที่มีความแตกต่างออกไปสำหรับหนังภาคนี้
แซ็ค แกลิเฟียนาคิส: ผมว่านั่นเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องค้นหาและสำหรับภาคต่อมา ผมว่าพวกเราต่างอยากเห็นเราขัดแย้งกันเองสักเล็กน้อย ซึ่งมันสนุกที่ได้เห็นแบบนั้น มันเป็นสิ่งที่มีการเรียกร้อง โดยทั้งฟิล สตู และความคัดแย้งทั้งหมด แม้แต่ความสัมพันธ์ของฟิลและอลันที่อลันนับถือในตัวเขา แต่เขาดันโกรธอลัน เขาใจดีกับอลันในภาคแรก แต่ในคราวนี้ผมว่าเขาใช้ไหวพริบของเขาถึงที่สุด
ฉะนั้นผมว่ามันเป็นสิ่งใหม่ที่เราได้ค้นพบ และอย่างที่สก็อตกับเอ็ดกล่าวเอาไว้ การได้อยู่เบื้อหงลังฉาก ได้เห็นผู้คนในบรรยากาศของพวกเขา ได้เห็นอลันอยู่ในห้องนอน ผมว่ามันสนุกมาก ผมว่าชีวิตที่เหลือของเขา เข้าต้องมีปัญหาทางด้านสุขภาพจิต
คำถาม: ในหนังรู้สึกเหมือนไมค์ ไทสัน เป็นสมาชิกของแกงค์ป่วนอย่างไม่เป็นทางการ การมีเขาอยู่ในหนังมันเป็นอย่างไรบ้าง?
แบรดลีย์ คูเปอร์: ไมค์เป็นคนน่าอัศจรรย์ วิเศษมากที่ได้พบเขา อย่างแรกเลยเขาดูน่าทึ่ง เขาลดน้ำหนักประมาณ 50 ปอนด์และมีความตั้งใจที่ยิ่งใหญ่ เราใช้เวลาส่วนใหญ่ร่วมกับเขา อันที่จริงไม่ใช่แค่ตอนถ่ายทำ Hangover ภาคแรก พวกเราเลยรู้จักตัวตนเขา และความทรงจำของผมเยวกับไมค์ คือก่อนวันที่เขาแสดงหนังที่กระบี่ ซึ่งเป็นเมืองรีสอรร์ท เราจะเห็นเขาเดินเล่น มันดูเหมือนเขาเตรียมการขึ้นชก เขามีทั้งหูฟังและเชือก เขาถือมันไว้อย่างเอาจริงเอาจังมาก
ทอดด์ ฟิลลิปส์: สำหรับผม ผมคิดว่าไมค์เป็นบทบาทที่มีเอกลักษณ์ใน Hangover ภาคแรก แม้ว่าเขาไม่ได้อยู่ในหนังมากมาย บางทีผู้คนจะพูดว่า ‘จำหนังเรื่อง The Hangover ที่มีไมค์ ไทสัน แสดงได้มั้ย?’ หนังเรื่อง The Hangover กลายเป็นตัวบ่งชี้ถึงภาพลักษณ์ของไมค์ ฉะนั้นโดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่ามันเป็นเรื่องสำคัญที่จะดึงตัวเขากลับมา อย่างแรกเพราะพวกเรารักเขามาก และอย่างที่สองคือผมคิดว่าเขาเป็นความเซอร์ไพรส์และแสดงหนังได้เยี่ยม และเป็นหนึ่งในความสนุกหลายอย่าง ฉะนั้นเราอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ตอนที่โทรหาเขาและขอให้เขามาแสดงหนัง จากนั้นเขาเดินทางมาที่กระบรี่ในเมืองไทยและร่วมทางไปกับเรา มันเป็นความสนุกที่มีเขามาร่วมด้วย
คำถาม: นักแสดงช่วยพูดถึงคริสตัลซึ่งเป็นลิง capuchin ที่อยู่ในหนังให้ฟังได้มั้ย?
แบรดลีย์ คูเปอร์: คริสตัลถูกพลิกโฉมให้เป็นลิงวิเศษ เธอน่าเหลือเชื่อ เธอทำได้ทุกอย่าง ผมจำได้ว่าตอนที่เราคุยกันถึงเรื่องนั้น ทอดด์พูดว่า ‘มันต้องเป็นลิงที่ถูกมอมยาแน่ๆ เพราะนั่นคือลิงและมันต้องสูบบุหรี่’ และผมพูดว่า ‘แล้วคุณจะดึงมันออกไปอย่างไร?’ จากนั้นฉากโปรดฉากหนึ่งของผมในหนัง คือภาพตัดต่อฉากหนังของเคอร์ทิส เมย์ฟีล์ด เรื่อง Pusherman มันเป็นส่วนหนึ่งที่ดีที่สุดของหนัง จุดด้อยเพียงอย่างเดียวของคริสตัลคือเธอมีเล็บที่ยาวมาก เราไม่อยากให้คริสตัลมาอยู่ใกล้ช้าง มันมีฉากหนึ่งที่เราเดินบนถนนที่มีช้าง และเธอต้องมาข่วนหลังผม ซึ่งมันไม่ดีเลย
จัสติน บาร์ธ่า: สิ่งที่ผมชอบเกี่ยวกับคริสตัลคือครูฝึกของเธอ ทอม [กันเดอร์สัน] เป็นคนที่อ่อนโยน เวลาที่เขาอยากให้คริสตัลทำอะไร เขาแค่พูดว่า ‘คริสตัลกระโดดไปบนโต๊ะ กระโดดไปบนโต๊ะ!’ จากนั้นคริสตัลก็ทำ ผมไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วคริสตัลเข้าใจภาษาอังกฤษหรือเปล่า [หัวเราะ] หรือหากเธอสามารถอ่านว่าแรงผลักดันนั้นมาจากสิ่งที่เขากำลังพูด แต่ผมเพิ่งพบว่ามันฮามากที่ครูฝึกของเธอต้องทวนคำสั่งภาษาอังกฤษซ้ำแล้วซ้ำอีก จนกระทั่งสุดท้ายคริสตัลทำในสิ่งที่เธออยากทำ
คำถาม: คุณเก็บความลามกเอาไว้ใส่ใน DVD หรือเปล่า?
ทอดด์ ฟิลลิปส์: ไม่มีพวกสิ่งลามกมาก ผมไม่รู้ว่าในดีวีดีจะมีพวกความลามกหรือเปล่า นี่เหมือนเป็นหนังเรื่องที่ 7 ของผมแล้ว ฉะนั้นผมรู้ว่าขอบเขตของ MPAA คืออะไร และแม้แต่สำหรับผู้ชม ซึ่งเราสามารถยัดเยียดมันเข้าไปก็ได้หรือไม่ได้ ฉะนั้นสำหรับดีวีดีเราจึงไม่มีการรวมความลามกเอาไว้ ผมว่าต้องมีฉากที่ถูกตัดออก แต่ไม่ใช่ว่าเราตัดทุกอย่างออกไปเพราะมันลามกเกิน.
จัสติน บาร์ธ่า: เราใส่หลายอย่างเข้าไปเพราะล้วนเป็นความลามกสุดๆ [หัวเราะ]
ทอดด์ ฟิลลิปส์: เราสร้างความพิเศษบางอย่างไว้สำหรับดีวีดี ผมว่าเค็นแสดงได้เจ๋งมากตอนที่อาเฉาพาเราทัวร์กรุงเทพ ซึ่งเป็นกรุงเทพในแบบฉบับของเขา และวิธี ‘เชื่อมโยง’ ของเขา ฉะนั้นเราจึงสร้างความพิเศษแบบนั้นเอาไว้แน่นอน
คำถาม: ทอดด์ คุณกับนักแสดงพยายามแสดงสดเป็นส่วนใหญ่ในหนังเรื่องนี้โดยเฉพาะหรือเปล่า?
ทอดด์ ฟิลลิปส์: ใช่ครับ แน่นอนว่ามีการแสดงสดเยอะมากในภาพยนตร์ เราไม่ได้แสดงสดแบบทั่วไปในฉาก เราจะแสดงเผื่อสำรองเอาไว้ ในช่วงเช้าตอนที่พวกเราทั้ง 4 จะอยู่ร่วมกัน และไม่มีการเขียนฉากใหม่ แต่มีการจดเอาไว้ แซ็คจะพูดว่า ‘จะเอาไงกับบทพูดตรงนี้? แล้วตรงนี้ล่ะ?’ ซึ่งแน่นอนว่าขณะที่เรากำลังถ่ายทำ พวกเขาเพิ่มเข้าไปได้อย่างอิสระและแสดงลงไปแบบนั้น แต่คนส่วนใหญ่คิดว่ามันเป็นหนังที่ถูกสร้างขึ้นมา ที่มีการแสดงสดและรูปแบบที่เป็นอิสระโดยส่วนใหญ่ ซึ่งมันไม่ใช่แบบนั้น แต่ผมคงเป็นผู้กำกับที่แย่มากหากผมมีเหล่านักแสดงและบอกเขาว่า ‘ไม่ ไม่ ไม่ อ่านบทนี้เท่านั้นและพูดไปตามนั้น.’ บอกตรงๆ ว่าแบรดลีย์มีการแสดงสดในฉากที่ร้าน IHOP ได้เก่งมากตอนที่เขาพูดว่า ‘ดื่มซะ เรากำลังอยู่ในปาร์ตี้สละโสด ดื่มซะ! โอ้ ลืมไป เราอยู่ที่ร้าน IHOP’ นั่นคือสิ่งที่แบรดลีย์ใส่เข้าไปตรงนั้น นั่นคือสิ่งที่พวกเขามีอิสระที่จะแสดงแบบนั้น
คำถาม: ทำไมพวกเขามาแต่งงานที่เมืองไทย? ต้องจัดการอย่างไรกับสตูที่เขามีปีศาจร้ายอยู่ในตัวเขามั้ย?
ทอดด์ ฟิลลิปส์: ประเด็นคือสตูมีปีศาจร้ายอยู่ในตัว และเขาต้องคอยปรามเอาไว้ โดยเฉพาะการอยู่ในความสัมพันธ์ครั้งใหม่นี้ ผมไม่รู้ว่าคู่หมั้นของเขานึกถึงปีศาจในตัวสตูที่ฝังแน่นและชั่วร้ายขนาดไหนหรือเปล่า แต่ความเป็นจริงที่พวกเขาแต่งงานกันที่เมืองไทยเป็นการตัดสินใจฝ่ายเดียว เพราะเธอเป็นลูกครึ่งเอเชีย-อเมริกัน พ่อแม่ของเธอเป็นคนไทยและที่นั่นคือที่อยู่ของพวกเขา
แซ็ค แกลิเฟียนาคิส: ผู้คนมาแต่งงานที่เมืองไทยตลอด
แบรดลีย์ คูเปอร์: และผมว่าพวกเขาเองก็ตกใจกับสิ่งที่พวกเขาได้พบ สิ่งที่พวกเขาได้ทำเหมือนคนอื่นๆ ฉะนั้นเมื่อเขารู้ว่าคืนก่อนพวกเขาทำอะไรลงไปบ้าง เมื่อเขาได้รับประสบการณ์ที่หดหู่ไปแล้ว ผมว่าพวกเขาต้องประหลาดใจเหมือนทุกคน
คำถาม: จัสติน ตอนนั้นคุณหวังว่าจะได้มีส่วนร่วมในฉากที่ทำตัวเสเพลกันที่กรุงเทพหรือเปล่า?
จัสติน บาร์ธ่า: จริงๆ แล้วผมชอบการใช้เวลาร่วมกับพวกเขานะ แต่ตอนที่ผมได้รับบทและเห้นสิ่งที่ดั๊กทำแล้ว ผมรู้สึกตื่นเต้นมากเพราะมันเป็นบทภาพยนตร์ที่สุดยอด และผมศรัทธาในตัวทอดด์และคนอื่นๆ อย่างเต็มที่ ผมมีความสุขที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของหนังโดยทั่วไป ผมยอมเป็นช่างรับเหมาในหนังเรื่องนี้ [หัวเราะ]
คำถาม: คุณคัดเลือกตัวเมสัน ลี มารับบทเป็น เท็ดดี้ ได้อย่างไร? ตอนนั้นคุณรู้หรือเปล่าว่าเขาเป็นลูกชายของอัง ลี?
ทอดด์ ฟิลลิปส์: เมสันเดินเข้ามาเหมือนนักแสดงส่วนใหญ่ที่เข้ามาอ่านบทภาพยนตร์ อันที่จริงผมไม่รู้ว่าเขาเป็นลูกชายของอัง ลี จนกระทั่งอยู่บนโต๊ะอ่านบทตอนที่ผมคัดเลือกตัวเขาไปแล้ว ผมพูดคุยกับเขาแล้วปรากฏว่าเขาเป็นลูกชายของอัง ลี ผมชอบอัง ลี อย่างไม่ต้องสงสัย จากนั้นผมจำได้ผมถามเมสันว่า ‘คุณคิดว่าผมจะได้ตัวพ่อของคุณมาแสดงในภาค 2 หรือเปล่า’ [หัวเราะ] ผมคิดว่า เมสันรู้สึกไม่สบายใจและไม่รู้ว่าผมล้อเล่น เขาบอกว่า ‘ผมจะโทรหาเขา จะลองดู แต่เขากำลังถ่ายหนังอยู่ที่ไต้หวันนะ’ ผมก็บอกว่า ‘โอเค’ เขาเป็นการค้นผมที่ยิ่งใหญ่และเป็นเด็กที่เก่ง ผมไม่รู้ว่าจะมีกี่คนที่รู้เรื่องนั้น แต่คนที่แสดงเป็นเท็ดดี้คือลูกชายของผู้กำกับอัง ลี
คำถาม: คุณสร้างฉากที่อลันนึกย้อนหลัง และในความคิดของเขามองตัวเองกับเพื่อนๆ เป็นเด็กอายุ 12 ขวบอย่างไร?
สก็อต อาร์มสตรอง: มีประโยคยหนึ่งในหนังภาคแรกที่เอ็ดพูดว่า ‘อย่าให้หนวดมาหลอกนายได้ เขาก็แค่เด็กคนหนึ่ง’ และอลันก็เป็นเด็กคนหนึ่งจริงๆ เราพยายามนึกภาพว่า นี่เป็นส่วนคลายปมของเรื่อง เราจะเดินจากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่งได้อย่างไร และจะมีเบาะแสอะไรได้บ้าง และในจุดเดียวกันเราต้องเบื่อหน่ายกับการค้นหาเบาะแสเหมือนสกูบี้ ดู มากๆ เรามองหาอะไรที่น่าสนใจมากชึ้น และเรามีไอเดียนี้ขึ้นมาว่า เขาเข้าฌานและนึกบางอย่างขึ้นมาได้ แต่ผมว่ามันเป็นอย่างที่ทอดด์พูด ไม่ใช่เขามองโลกอย่างที่เด็กมอง แต่เขามองโลกในแบบเด็กๆ จริงๆ
ทอดด์ ฟิลลิปส์: เขามองเพื่อนๆ ว่าเป็นเด็ก ผมว่านั่นคือวิธีที่อลันมองโลก ในหนังภาคแรกอลันบอกว่า เขาไม่สามารถไปใกล้กว่า 200 ฟีตของโรงเรียนมัธยมปลาย หรือแม้แต่ร้าน Chuck E. Cheese และเขาพูดว่าไม่ใช่เพราะเขาเป็นคนลวนลามเด็ก เขาไม่ใช่แบบนั้น เขาเป็นแค่คนที่ชอบออกไปเล่นสเก็ตบอร์ดข้างนอกที่โรงเรียนมัธยมปลายในท้องที่ เพราะเขาอยากอยู่กับเพื่อนๆ ฉะนั้นนั่นคือวิธีที่เขามองตัวเอง หากเราสังเกตจะมีพวกผู้ใหญ่อยู่ในความคิดย้อนหลังของเขา แต่แกงค์ของเขาเป็นเพียงเด็กอายุ 12 ขวบ
เคร็ก แมซิน: ทุกคนในแกงค์ป่วนเขามองว่าเป็นเด็ก 12 ขวบไปซะหมด
คำถาม: แซ็ค ภรรยาของคุณรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับการแสดงเปลือยกายของคุณ?
แซ็ค แกลิเฟียนาคิส: อ๋อใช่ ผมดำเนินการทุกอย่างผ่านภรรยาก่อนที่ผมจะทำอะไร ฉะนั้นผมได้รับอนุญาตให้แสดงฉากเปลือยทั้งหมดได้ ผมมีความสุขมากที่มีภรรยาที่คอยให้การสนับสนุน โดยเธอรับรองว่าผมจะไม่อายตัวเอง เธอพูดกับผมเสมอว่าหนังพวกนี้เป็นหนังที่ดีสำหรังผู้ชาย เพราะหลังจากดูผมแล้วพวกเขาจะกลับบ้านไปด้วยความรู้สึกดีกับตัวเอง [หัวเราะ] ผมหวังว่าผมโกหกออกไปนะ เธอเป็นคนพูดแบบนั้น
คำถาม: มีการคุยกันถึงการสร้างภาค 3 มั้ย ถ้ามีการพูดถึงมันเป็นอย่างไรบ้าง?
ทอดด์ ฟิลลิปส์: บอกตามตรงเลยว่าเรายังไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้น เราเพิ่งถ่ายหนังเสร็จเมื่อ 2 อาทิตย์ที่แล้ว นนี่เป็นหนังเรื่องแรกที่พวกเราใช้เวลาอยู่ด้วยกันพักหนึ่ง และหาเราทำหนังภาค 3 ถ้ามีความต้องการแบบนั้น ผมว่าเราต้องมีไอเดียที่ชัดเจนว่าจะมุ่งไปที่ตรงไหน แน่นอนว่ามันต้องไม่เป็นรูปแบบเดิมอย่างที่เห็นในหนังเรื่องนี้ และเราหลับตานึกภาพว่ามันเป็นภาพยนตร์ไตรภาคอย่างที่เราพอจะนึกได้ แต่ในภาค 3 คงเป็นฉากสุดท้ายและเป็นบทสรุปจริงๆ
ในความคิดของผมที่ผมพูดถึงได้มากสุด คือต้องบอกอีกครั้งว่าผมยังไม่ได้พูดคุยกับเหล่านักแสดงนะ มันไม่ได้เดินตามรูปแบบนั้น มันเป็นความคิดที่แปลกใหม่มาก เพราะเท่าที่มันเกิดขึ้น ณ สถานที่นั้น ผมเป็นคนเปิดกว้างมากเหมือนกับคณะกรรมการกีฬาโอลิมปิก ที่กำหนดและเสนอชื่อเมืองทั้งหลาย ซึ่งเมืองนี้เต็มไปด้วยไวน์ ผู้หญิง และติดสินบนคนในเมือง [หัวเราะ] จากนั้นผมจะทำการตัดสินใจ และผู้ชนะคือ Salt Lake City. [หัวเราะ]
ฟังนะ บอกตามตรงผมรักโลกใบนี้ที่เราได้สร้างขึ้นมา และผมรักเห่ลานักแสดงในหนังเรื่องนี้ทุกคน ฉะนั้นใครจะไปรู้ บางทีเราอาจทำหนังของอาเฉาก็ได้ ผมยังไม่ได้พูดกับเค็นถึงเรื่องนั้น แต่แน่นอนว่าอาเฉาเป็นชายลึกลับที่เหมือนกับออสติน พาวเวอร์ส มาก และเห็นได้ชัดว่าเขามีเครือข่ายที่ประสานลึกไปถึงอาชญากรรมและผู้หญิงได้ …
คำถาม: อะไรทำให้ตัดสินใจเลือกเอ็ด เฮล์มส มาร้องเพลง Allentown ในหนัง?
ทอดด์ ฟิลลิปส์: มันมาจากไอเดียของผู้ออกแบบฉากบิล บรีสกี กับตัวผมในช่วงแรกที่พูดกันถึงห้องนอนของอลัน ผมอยากเห็นโปสเตอร์หนังเรื่อง Glass Houses ของบิลลี่ โจเอล ขนาดใหญ่อยู่ในห้องนอนของเขา เพราะดูเหมือนเขาแป็นคนที่เชื่อมต่อกับเพลงนั้นได้จริงๆ ถึงอย่างไรผมก็รักบิลลี่ โจเอล แต่อลันเหมือนกับคนที่จับโน่นจับนี่ตลอดเวลา จากนั้นผมคิดว่า The Downeaster เหมือนเพลงฮิตของบิลลี่ โจเอล และผมรักวิธีที่มันถูกใช้ แม้ว่ามันเหมือนเรื่องตลกที่เขาฟังมันทาง Zune ของเขา
ผมคิดว่ามันเป็นเพลงที่เพราะและมีพลังมาก จากนั้นเราก็มีแรงผลักดันจากที่อลันรักบิลลี่ โจเอล และมาถึง Allentown ซึ่งนั่นไม่ได้อยู่ในบท แต่เป็นสิ่งที่เราเลือกกันที่กรุงเทพ อันที่จริงเราคิดว่าความคิดของ Allentown มันจะอยู่ในดีวีดี จากนั้นเคร็กกับผมเขียนอีกเวอร์ชั่นหนึ่งขึ้นมา แล้วเราก็เดินหน้าลุยมันเลย
คำถาม: แล้วเพลงของ Kanye ที่มีชื่อว่า Stronger ล่ะ?
ทอดด์ ฟิลลิปส์: ผมรัก Kanye และนั่นเป็นเพลงที่ผมชอบ ผมรักพลังที่มันเปิดตัวเองเหมือนวินาทีนั้นในหนัง ดนตรีเป็นเครื่องมือเดียวที่ผู้กำกับมีเพื่อไว้เพื่อแต่งแต้ม และผมว่ามันเป็นสิ่งหนึ่งที่ได้ผลมาก ผมคิดถึงมันและคร่ำเคร่งกับมันมาก
คำถาม: ทำไมคุณคิดว่าหนังเรื่อง Hangover ภาคแรกเข้าถึงผู้ชมได้โดยส่วนใหญ่?
จัสติน บาร์ธ่า: ผมว่าสิ่งที่ทอดด์พูดเกี่ยวกับส่วนสำคัญ ซึ่งมีผู้คนไม่กี่คนพูดถึง คือคุณภาพนั้นที่หนังรวมเอาไว้ มันเกี่ยวกับตัวละครและผมว่าตัวละครสามารถจำแนกได้ แต่ผมว่าผู้ชมรู้สึกเหมือนพวกเขามีส่วนร่วมกับแกงค์ป่วน กับคนพวกนี้ และการเดินทางนี้ไปกับพวกเขา ผมว่านั่นเป็นอาวุธลับที่ทำไมมันได้รับความนิยมอย่างยิ่งใหญ่ นอกนั้นผมไม่รู้เกี่ยวกับคนอื่น แต่ผมยังสรุปความคิดรวบยอดของผมในการที่มันเป็นปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมนี้ไม่ได้ ผมไม่คิดว่ามันสามารถสรุปความได้อย่างแท้จริง
แบรดลีย์ คูเปอร์: พูดตามตรง ผมคิดว่ามันเป็นการรวมของอะไรหลายอย่างและเปรียบเสมือนดวงดาวทั้งหลายกำลังเรียงรายกัน ผมคิดว่ามันเป็นอย่างที่จัสตินกล่าวเอาไว้ มีอะไรหลายอย่างให้เล่นกับธรรมชาติที่ไม่ต้องให้อภัยของคอมเมดี้ ผมว่าหนังคอมเมดี้ของชาวอเมริกันส่วนใหญ่พยายามจะแก้ต่างพฤติกรรมของพวกเขาในช่วง 10 นาทีสุดท้ายของหนัง และหนังเรื่อง The Hangover ไม่ได้ทำแบบนั้น [หัวเราะ] มันเป็นจังหวะที่ไม่ต้องให้อภัย ที่ผมคิดว่าผู้คนให้การตอบรับมันจริงๆ เพราะเราเคยบอกเล่าเรื่องราวแบบนี้มาก่อนแล้ว
แซ็ค แกลิเฟียนาคิส: ถึงอย่างไรถ้าคุณไปงานปาร์ตี้ที่บ้านของทอดด์ นั่นแหละคือที่ๆ เขาจะสิ้นสุดทุกอย่าง [หัวเราะ]
คำถาม: สำหรับหนังที่ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบของความเซอร์ไพรส์หลายอย่าง คุณเกรงว่าจะเอาความเซอร์ไพรส์มาใส่ในตัวอย่างภาพยนตร์หมดแล้วหรือเปล่า?
สก็อต อาร์มสตรอง: ผมว่ามันมีความเซอร์ไพรส์มากมายในหนัง มันเป็นความตลกที่ได้ยินเกี่ยวกับสิ่งเล็กๆ จุดนั้นจุดนี้ และได้เห็นว่ามันเหมาะสมกับหนังเรื่องนี้ตรงไหน นี่เป็นบทสนทนาตอนโปรโมตหนังตลกเสมอ คุณมีมุกตลกอยู่ในตัวอย่างหนังเยอะแค่ไหน? และผมไม่รู้ว่ามันจะเกิดขึ้นจริง เพราะเวลาที่เราอยู่ในหนัง มันเป็นการนำเสนอที่แตกต่างไปจากข้อมูลเดิมทั้งหมด
ทอดด์ ฟิลลิปส์: และโดยเฉพาะการที่มันเป็นภาพยนตร์เรท R มีหลายอย่างที่เราไม่สามารถแสดงทางทีวีและตัวอย่างภาพยนตร์ได้ เพราะธรรมชาติของความเป็นเรท R แต่มันมีความแตกต่างจากตอนที่เราทำหนังเรื่อง Hangover ภาคแรก การทำหนังคอมเมดี้เป็นเรื่องที่ดีเมื่อเราทำอะไรไม่เป็นที่สังเกต เพราะในหนังภาคนี้เห็นได้ชัดว่าเราไม่ได้ถูกเฝ้ามอง
มันเป็นภาพยนตร์ภาคต่อของหนังคอมเมดี้เรื่องยักษ์ ซึ่งเป็นหนังคอมเมดี้เรท R ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล มันจึงไม่ถูกสังเกตุ เรามีการตัดสินใจคัดเลือกตัวแสดงที่มีการประกาศหรือผู้คนจำแนกการตัดสินคัดเลือกตัวนักแสดง ก่อนที่เราจะมีโอกาสถ่ายทำฉากภาพยนตร์ และบอกได้ว่าผมเรียกมันว่าปัญหาคนกรุง อีกนัยหนึ่งคือความเป็นจริงที่ผู้คนคาดหวังกับหนังมาก ซึ่งพวกเขาอยากพูดคุยถึงมัน ไม่ว่าจะเป็นทางอินเตอร์เน็ตหรือทางรายการบันเทิง มันเหมือนปัญหาคนกรุง มันเป็นเรื่องดีที่มีพวกเขาพูดถึงเรื่องนั้น มันจึงเหมือนดาบสองคม
แบรดลีย์ คูเปอร์: ใช่ มันเป็นดาบสองคม.
ทอดด์ ฟิลลิปส์: ผมว่าน่าจะเป็นดาบด้านเดียว [หัวเราะ]
ทอดด์ ฟิลลิปส์: มีเรื่องราวมากมายในรูปภาพช่วงท้าย มีประเด็นหลายอย่างที่ต้องมีการอธิบาย เช่น พวกเขาไปอยู่ในที่ต่างถิ่นได้อย่างไร เกิดอะไรขึ้นเมื่อคืนก่อน เขาสูญเสียนิ้วไปได้อย่างไร สิ่งเหล่านั้นจะถูกจัดวางก่อนที่จะมีการกำหนด ฉะนั้นมันเป็นความสนุกสนานเมื่อได้ถ่ายทำสิ่งเหล่านั้น มันก็สนุกเหมือนกันที่ได้บอกทุกคนว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืนก่อน มันเป็นสิ่งที่พวกเขาเองก็ไม่รู้จนกระทั่งได้เห็นรูปภาพ
The Hangover 2 - เดอะ แฮงค์โอเวอร์ ภาค 2
ฮาหมดแม็คที่กรุงเทพฯ 26 พฤษภาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์เท่านั้น
http://www.hangover2-thai.com