กรุงเทพฯ--6 มิ.ย.--สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ
สมัชชาสุขภาพมุ่งสู่ทศวรรษที่ 2 ฉายภาพความสำเร็จการพัฒนา นโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพ แบบองค์รวม ทั้งกาย จิตใจ ปัญญา และสังคม1 ทศวรรษ กับการขับเคลื่อนกระบวนการสมัชชาสุขภาพของประเทศไทย ได้ก่อให้เกิดกรณีศึกษามากมายที่เป็นบทพิสูจน์ความสำเร็จจากการรวมพลัง ทั้งจากภาควิชาการ ภาครัฐ-การเมือง และภาคประชาชน ในการพัฒนานโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพ ดังเช่นกรณีศึกษาของการขับเคลื่อนของเครือข่ายสมัชชาสุขภาพจังหวัดสงขลาจนได้ “คำประกาศสมิหลา” ที่ผ่านกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และผ่านฉันทามติจากสมาชิกจากทุกเครือข่ายในจังหวัดสงขลา ซึ่งในปัจจุบันมีการขับเคลื่อนในภาคปฏิบัติ อาทิ โครงการ“คลินิคชุมชนอบอุ่น” โดย อบต.ปริก อำเภอรำแดง ซึ่งชู “ยุทธศาสตร์รำแดงน่าอยู่” และโครงการ “ครอบครัวอบอุ่น ชุมชนเข้มแข็ง” ของเทศบาลบ้านพรุ เป็นต้น
รองศาสตราจารย์วิลาวัณย์ เสนารัตน์ ประธานคณะกรรมการจัดการประชุมวิชชาการ “1ทศวรรษสมัชชาสุขภาพ” กล่าวว่า สมัชชาสุขภาพเป็นกระบวนการที่เปิดโอกาสให้ตัวแทนจาก 3 ภาคส่วน คือ ภาควิชาการ ภาคประชาสังคม และภาครัฐ-การเมือง เข้ามาร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้โดยใช้ความรู้คู่ความรัก จนเกิดมติข้อคิดเห็นร่วมกันแล้วนำไปปฏิบัติเพื่อประโยชน์ส่วนรวมทั้งในพื้นที่ ชุมชน หรือระดับประเทศ
ยกตัวอย่าง เช่น ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา เครือข่ายสุขภาพจังหวัดสงขลาได้มีการจัดสมัชชาสุขภาพเฉพาะพื้นที่จนเกิด “คำประกาศสมิหลา” ที่เกิดจากจุดเริ่มต้นจากคนเล็ก ๆ ในพื้นที่จังหวัดสงขลามาสานพลังกันสร้างสิ่งดี ๆ สร้างการเปลี่ยนแปลงจากเรื่องเล็ก ๆ กิจกรรมเล็ก ๆ ผ่านแผนสุขภาพที่ส่งผลสะเทือนต่อสาธารณะทั่วจังหวัดสงขลา
“คำประกาศสมิหลา” พลิกชีวิตคนสงขลา
นายชาคริต โภชะเรือง ผู้ประสานงานเครือข่ายสุขภาพจังหวัดสงขลา เพิ่มเติมว่า คำประกาศสมิหลาเป็นการต่อยอดทางความคิดของรายงานการจัดทำแผนสุขภาพจังหวัดสงขลา (2549-2550) โดยใช้สมัชชาสุขภาพเป็นเครื่องมือในการเชื่อมโยงความรู้ ต้นทุนของชุมชน ทำหน้าที่หนุนเสริมกันและกันเพื่อนำเสนอนโยบายจากฐานรากของสังคม จากความต้องการของชุมชนโดยแท้
ปี 2551 ซึ่งเป็นขวบปีแรกของสมัชชาสุขภาพจังหวัดสงขลากับ “คำประกาศสมิหลา” ข้อเสนอเชิงนโยบายที่เครือข่ายในท้องถิ่นเห็นพ้องต้องกัน สมาคม อสม.สงขลา ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทำหน้าที่จัดให้มีกระบวนการสมัชชาสุขภาพระดับพื้นที่ เพื่อสร้างความรู้และความเข้าใจร่วมกันอย่างถูกต้องในการกําหนดนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพ โดยเน้นการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ทั้งภาควิชาการ ประชาสังคม ราชการและการเมือง ซึ่งร่วมกันคิดและยกร่างนโยบายบนพื้นฐานความจริงในพื้นที่
ในปีต่อมา (2552) ข้อเสนอดังกล่าวก็ส่งผลในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 10 แห่ง ซึ่ง อปท.แต่ละแห่งมีประเด็นการจัดกระบวนการสมัชชาสุขภาพที่แตกต่างกันไป เช่น อบต.ปริก ผลักดันให้เกิด “คลินิคชุมชนอบอุ่น” ขณะที่อำเภอรำแดงผลักดัน “ยุทธศาสตร์รำแดงน่าอยู่” และ เทศบาลบ้านพรุ มุ่งสู่เป้าหมาย “ครอบครัวอบอุ่น ชุมชนเข้มแข็ง” เป็นต้น
นายชาคริต ยังอธิบายต่อถึงขั้นตอนการจัดสมัชชาสุขภาพตำบลว่า กิจกรรมโครงการจะเริ่มด้วยการทำความเข้าใจของคณะทำงานกลางร่วมกับแกนนำในพื้นที่เป้าหมาย กำหนดทิศทางหรือประเด็นหลักในการจัดสมัชชาสุขภาพ โดยใช้เวทีการเรียนรู้ เชิญชวนคณะทำงานสมัชชาสุขภาพตำบลทั้ง 10 มาร่วมเรียนรู้ความหมายของนโยบายสาธารณะที่คนในตำบลร่วมกันคิดและยกร่างขึ้นเองจริง ๆ
“เราก็ใช้กระบวนการสมัชชาสุขภาพระดับตำบลใน 10 พื้นที่เริ่มตั้งแต่การสร้างความตระหนัก ความเข้าใจ ร่วมกันค้นหาประเด็นหลักในการดำเนินงาน จากนั้นคณะทำงานในพื้นที่จะมีการพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบายและการตัดสินใจเลือกข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อพัฒนาสุขภาวะของชุมชน นำวาระสุขภาวะของชุมชนเข้าสู่เวทีสมัชชาสุขภาพ นำไปสู่การขับเคลื่อนในเชิงนโยบายระดับพื้นที่”
ทั้งนี้ ก่อนที่จะมีการขับเคลื่อนสมัชชาสุขภาพตำบล คณะทำงานกลางได้ให้คณะทำงานของแต่ละตำบลได้จัดส่งแผนปฏิบัติการที่แสดงแนวคิดในการทำสมัชชาสุขภาพตำบล ระบุองค์ประกอบของคณะทำงานในแต่ละภาคส่วน โดยเน้นองค์ประกอบตามหลักคิด “สามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา” เพื่อกำหนดเป้าหมายเชิงนโยบาย วางขั้นตอนการจัดสมัชชาสุขภาพ และจัดเวทีเรียนรู้ โดยเชิญแกนนำสมัชชาสุขภาพตำบลทั้งหมดมาร่วมนำเสนอและให้ความเห็นเพื่อความเข้าใจร่วมกัน
กระบวนการสมัชชาสุขภาพจึงถือเป็นการสร้างรากฐานประชาธิปไตยตั้งแต่ระดับชุมชน ผ่านกลไกของพื้นที่ อาทิ การจัดทำสมัชชาสุขภาพตำบล โดยนำเรื่องสุขภาพที่ทุกฝ่ายให้ความสำคัญมาขยับสู่การแก้ปัญหาและการพัฒนาเป็นนโยบายสาธารณะ ตลอดจนยกระดับแผนสุขภาพอันนำมาสู่การจัดทำธรรมนูญสุขภาพตำบลเพื่อเป็นกติการ่วมที่ทุกคนยอมรับ