กรุงเทพฯ--9 มิ.ย.--SCB
SCB EIC ระบุ โอกาสในการขยายสาขาธุรกิจค้าปลีกของไทยยังมีอีกมาก โดยเฉพาะในต่างจังหวัด ซึ่งหลายพื้นที่ยังมีศักยภาพเติบโตสูงทั้งในแง่จำนวนลูกค้าและความมั่งคั่งของคนในพื้นที่
ปราณิดา ศยามานนท์ นักวิเคราะห์อาวุโส ของ SCB EIC ระบุว่าธุรกิจค้าปลีกของไทยในอีก 10 ข้างหน้ามีแนวโน้มเติบโตสูงและเปลี่ยนแปลงไม่หยุดนิ่ง ทั้งในแง่รูปแบบการดำเนินธุรกิจ และประเภทของสินค้าที่เป็นที่ต้องการของตลาดในอนาคต ซึ่งจะขึ้นกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรที่จะมีผู้บริโภคกลุ่มใหม่เป็นกำลังซื้อสำคัญ นอกจากนี้ ยังมีโอกาสอีกมากที่ธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่จะขยายสาขาไปต่างจังหวัดซึ่งหลายพื้นที่มีศักยภาพเติบโตสูง
ช่องทางธุรกิจค้าปลีกที่ต้องจับตามองคือ การขายผ่านอินเตอร์เน็ตที่เติบโตเร็ว ตามการเพิ่มจำนวนของผู้ใช้อินเตอร์เน็ต ผู้ค้าปลีกรายใหญ่ต่างหันมาให้ความสำคัญกับการขายสินค้าออนไลน์เป็นช่องทางเสริมจากการขายผ่านหน้าร้านมากขึ้น โดยคาดว่าการขายผ่านอินเตอร์เน็ตจะเติบโตราว 8% ต่อปี ในอีก 5 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของผู้ใช้บริการ social network โดยเฉพาะ facebook ที่ปัจจุบันมีจำนวนสมาชิกถึงกว่า 600 ล้านคนทั่วโลก ภายในเวลา ไม่ถึง 10 ปี นับจากที่เริ่มเปิดใช้งานเมื่อปี 2004 ผู้ค้าปลีกรายใหญ่ๆ จึงเริ่มสนใจ หันมาทำการตลาดกับลูกค้าผ่าน fan page มากขึ้น โดยพบว่า ผู้ค้าปลีกรายใหญ่ 7 ใน 10 อันดับแรกของโลกล้วนมีการใช้ facebook page เป็นเครื่องมือในการสื่อสารกับผู้บริโภค
แนวโน้มความต้องการสินค้าจะขึ้นกับผู้บริโภคกลุ่มใหม่ที่จะเป็นกำลังซื้อสำคัญ คือ (1) ผู้สูงวัย (2) ครัวเรือนขนาดเล็ก และ
(3) ผู้มีรายได้ระดับปานกลางขึ้นไป (มากกว่า 15,000 บาทต่อเดือน) ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ครัวเรือนขนาดเล็กซึ่งเป็นผู้อยู่อาศัยคนเดียวหรือคู่สมรสที่ไม่มีบุตรมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นมาก ซึ่งกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง แม้ว่าจะมีสัดส่วนต่อประชากรทั้งหมดเพียง 15% แต่มีสัดส่วนการใช้จ่ายต่อการบริโภคทั้งประเทศสูงถึงราว 1 ใน 4 ของการบริโภคทั้งหมด ทั้งนี้ เมื่อดูโครงสร้างการใช้จ่าย พบว่าสัดส่วนการบริโภคสินค้าอุปโภคบริโภคในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาแทบไม่เปลี่ยนแปลง คืออยู่ที่ราว 40% ของการบริโภคทั้งหมด แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปคือ ประเภทของสินค้า โดยสินค้าที่ผู้บริโภคกลุ่มใหม่มีความต้องการซื้อสูงขึ้นส่วนใหญ่อยู่ในหมวดสินค้าฟุ่มเฟือย ได้แก่ สินค้าจำพวกวิตามินและยาบำรุง สินค้าพักผ่อนหย่อนใจ ตลอดจนสินค้าบันเทิง ตัวอย่างเช่น ครัวเรือนขนาดเล็กใช้จ่ายสินค้าประเภทพักผ่อนหย่อนใจ โดยเฉพาะของตกแต่งสวนและอุปกรณ์เลี้ยงสัตว์ และใช้จ่ายอาหารสำเร็จรูปมากกว่าครัวเรือนอื่นโดยเฉลี่ยราว 1.5 เท่า ขณะที่กลุ่มผู้มีรายได้ระดับปานกลางขึ้นไปมีสัดส่วนการใช้จ่ายสินค้าบันเทิงในหมวดคอมพิวเตอร์และนิตยสารมากกว่ากลุ่มผู้มีรายได้น้อยถึงเกือบ 4 เท่า ปราณิดา กล่าวเสริม
สำหรับแนวโน้มการขยายสาขาของธุรกิจค้าปลีก เอกสิทธิ์ กาญจนาภิญโญกุล นักวิเคราะห์ ของ SCB EIC กล่าวว่า ลักษณะของทำเลที่เหมาะสมของการตั้งสาขาธุรกิจค้าปลีก ต้องมีความพร้อมไม่เพียงแต่ความหนาแน่นของจำนวนลูกค้า แต่กำลังซื้อเป็นปัจจัยสำคัญ SCB EIC จึงได้สร้างดัชนีความมั่งคั่ง (SCB EIC Wealth Index) และนำมาวิเคราะห์ร่วมกับองค์ประกอบอื่นๆ เพื่อพัฒนาเป็นแบบจำลองสาขาของธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ โดย Wealth Index อิงจาก 3 ปัจจัยหลักคือ 1) เงินฝาก 2) การครอบครองรถยนต์ และ 3) ราคาประเมินที่ดิน ซึ่งเป็นปัจจัยที่สะท้อนกำลังซื้อของประชากรแต่ละจังหวัดได้ดีกว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัดต่อหัว นอกจากนี้ ยังมีองค์ประกอบอื่นๆ ได้แก่ ความหนาแน่นของประชากร ซึ่งมีความสำคัญต่อการตั้งสาขาของธุรกิจค้าปลีกทุกประเภท โดยเฉพาะไฮเปอร์มาร์เก็ต ขณะที่จำนวนห้องพักของโรงแรมเป็นปัจจัยเสริมต่อการเติบโตของสาขาของธุรกิจห้างสรรพสินค้า
รูปแบบการขยายสาขาของไฮเปอร์มาร์เก็ตมีแนวโน้มเป็นการเพิ่มจำนวนแห่งในจังหวัดที่มีอยู่แล้ว เนื่องจากสาขาของไฮเปอร์มาร์เก็ตค่อนข้างครอบคลุมเกือบทั่วประเทศ แต่ยังมีบางจังหวัดที่มีศักยภาพทั้งในแง่ความหนาแน่นของประชากรและความมั่งคั่งสูง จังหวัดที่มีโอกาสในการขยายสาขาไฮเปอร์มาร์เก็ตเพิ่มเติม คือ ภูเก็ต เชียงใหม่ ตรัง จันทบุรี ระยอง สงขลา ชลบุรี สตูล ขอนแก่น และอยุธยา แต่ธุรกิจค้าปลีกประเภทห้างสรรพสินค้าและร้านค้าวัสดุก่อสร้างและสินค้าตกแต่งบ้านจะเป็นในลักษณะของการไปเปิดสาขาใหม่ในจังหวัดที่ยังไม่มี นอกจากปัจจัยด้านความหนาแน่นของประชากรและความมั่งคั่งแล้ว จำนวนห้องพักโรงแรม และการใช้ไฟฟ้าของภาคครัวเรือนยังเป็นปัจจัยเสริมที่มีผลต่อการเปิดสาขาของธุรกิจค้าปลีกประเภทเหล่านี้ จังหวัดที่เป็นโอกาสที่ห้างสรรพสินค้าจะไปเปิดสาขาคือ ระยอง สุราษฏร์ธานี กระบี่ ประจวบคีรีขันธ์ และพิษณุโลก สำหรับธุรกิจร้านค้าวัสดุก่อสร้างและสินค้าตกแต่งบ้าน ได้แก่ จันทบุรี ตรัง ลพบุรี ฉะเชิงเทรา และเชียงราย เอกสิทธิ์ กล่าวเสริม
“นอกจากจำนวนลูกค้าและกำลังซื้อของประชากรแล้ว การพิจารณาทำเลเปิดสาขาธุรกิจค้าปลีกยังต้องดูปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย ทั้งในแง่ต้นทุนที่ดินและภูมิศาสตร์ ความพร้อมของสาธารณูปโภค เพื่อให้เกิดความสะดวกในการเข้าถึงบริการ รวมถึงการเจาะกลุ่มลูกค้าในจังหวัดใกล้เคียงได้ด้วย ตลอดจนทำเลที่เหมาะสมในการบริหารต้นทุนจัดการทั้งด้านขนส่งและสินค้าคงคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การพิจารณาประเภทสินค้าที่จะนำมาวางขายในพื้นที่ต่างๆ เป็นอีกปัจจัยที่มีความสำคัญเพื่อตอบสนองความต้องการและพฤติกรรมการบริโภคของคนในพื้นที่ต่างๆ ที่มีความแตกต่างกัน เพื่อเพิ่มความสามารถในการทำกำไรอีกด้วย” ปราณิดา กล่าวทิ้งท้าย
ติดตามรายละเอียดการวิเคราะห์เชิงลึกเพิ่มเติมได้ใน SCB Insight เรื่อง “Retail landscape change: โอกาสค้าปลีกไทยในบริบทใหม่" สอบถามได้ที่ SCB EIC คุณจิราพร กฤษฎารักษ์ โทร.0-2544-6759 อีเมล์ [email protected]