กรุงเทพฯ--27 เม.ย.--ปชส.จร.
กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เผยศักยภาพผลิตภัณฑ์พลาสติกไทยมีโอกาสในตลาดญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา หากปรับกลยุทธ์หนีคู่แข่งสำคัญอย่างจีน มาเลเซีย อินโดนีเซียและไต้หวัน
นางสาวชุติมา บุณยประภัศร อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมฯ ได้ทำการศึกษาศักยภาพการแข่งขันผลิตภัณฑ์พลาสติกของไทยในตลาดญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา พบว่า ถึงแม้ผลิตภัณฑ์ถุงพลาสติกและกระสอบสานของไทยจะมีศักยภาพในการส่งออกไปตลาดญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกาได้ดี แต่ไทยยังต้องเผชิญกับคู่แข่งสำคัญอย่างจีน มาเลเซีย อินโดนีเซียและไต้หวัน ดังนั้นถ้าไทยจะเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันควรใช้กลยุทธ์ในการขยายตลาดเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งตลาดให้มากขึ้น
สำหรับสินค้าแผ่นฟิลม์ ฟอยล์และแถบ ถือว่าไทยมีศักยภาพส่งออกไปยังตลาดญี่ปุ่นและมีอัตราการเปลี่ยนแปลงของส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูง ในขณะที่คู่แข่งอย่างเกาหลีใต้และมาเลเซียมีความสามารถในการแข่งขันอยู่ในระดับที่สูงกว่า แต่กลับมีอัตราการเปลี่ยนแปลงของส่วนแบ่งตลาดลดลง ซึ่งไทยควรทำการประชาสัมพันธ์เพื่อคงตลาดไว้ให้ได้และเพิ่มมูลค่าในระยะต่อไป ด้านตลาดสหรัฐฯ แม้ไทยจะมีศักยภาพในการส่งออกสินค้าเครื่องแต่งกายและของที่ใช้ประกอบเครื่องแต่งกายแต่เมื่อไทยเจอคู่แข่งอย่างมาเลเซียและอินโดนีเซีย ที่มีความสามารถในการแข่งขันสูงกว่าและมีอัตราการเปลี่ยนแปลงของส่วนแบ่งตลาดสูงกว่า ก็ทำให้ไทยต้องปรับกลยุทธ์ทางการตลาด โดยควรใช้การประชาสัมพันธ์เพื่อขยายตลาดและเพิ่มส่วนแบ่งตลาดให้มากขึ้น
นางสาวชุติมา กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปี 2550 ไทยได้มีการปรับโครงสร้างภาษีใหม่ โดยสินค้าผลิตภัณฑ์พลาสติกได้มีการปรับลดภาษีลงมาอยู่ที่ร้อยละ 1-10 เป็นส่วนใหญ่ ขณะที่ภาษีผลิตภัณฑ์พลาสติกภายใต้กรอบ WTO อยู่ในอัตราร้อยละ 30 ภายใต้ AFTA ร้อยละ 5 และภายใต้กรอบ FTA ซึ่งไทยลดภาษีให้ออสเตรเลีย จีน และนิวซีแลนด์ เป็น 0 ในปี 2553 เป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ลดภาษีให้ไทยทันทีที่ความตกลงมีผลบังคับใช้ ส่วนจีนลดภาษีให้ไทยเป็น 0 ในปี 2553
ทั้งนี้ ตลาดส่งออกผลิตภัณฑ์พลาสติกสำคัญของไทย คือ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา มาเลเซีย สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย อินโดนีเวียและเวียดนาม เป็นต้น โดยมีแหล่งนำเข้าสำคัญ คือ ญี่ปุ่น มาเลเซีย จีน สหรัฐอเมริกา และสิงคโปร์ เป็นต้น