”กลับมาตามคำเรียกร้อง บลจ. ฟินันซ่าออกทาร์เก็ตฟันด์ตัวใหม่ ตั้งเป้าหมาย 7% ภายใน 6 เดือน”

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday July 7, 2011 14:12 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--7 ก.ค.--ฟินันซ่า นายธีรพันธุ์ จิตตาลาน กรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ฟินันซ่า จำกัด เผยหลังจากมีความชัดเจนเรื่องการเมืองแล้ว บลจ.ฟินันซ่า พร้อมทำตามคำเรียกร้องของลูกค้า โดยออกกองทุนเปิดฟินันซ่า สตาร์ ทริกเกอร์ 7% กอง 2 (FAM ST7#2) หลังจากทาร์เก็ตฟันด์ 2 กองแรกทำผลงานเข้าเป้าเร็วกว่าที่คาดมากด้วยเวลาประมาณ 1 เดือนกว่าเท่านั้น เสนอขาย 6-12 กรกฎาคม 2554 ลงทุนขั้นต่ำเพียง 2,000 บาท โดยกองแรก “ฟินันซ่า สตาร์ ทริกเกอร์ 5” (ตั้งเป้าหมาย 5% ใน 3 เดือน) เมื่อปลายปี 53 และสามารถบริหารให้บรรลุเป้าหมายได้ในเวลาเพียง 28 วัน ส่วนกองที่สอง กองทุนเปิดฟินันซ่า สตาร์ ทริกเกอร์ 7 ที่ออกปลายเดือนกุมภาพันธ์ 54 เข้าเป้าในเวลาอันรวดเร็ว ตั้งเป้าหมาย 7 % ภายใน 6 เดือน และทำได้ในเวลาเพียง 41 วันเท่านั้น FAM ST7#2 ตั้งเป้าหมายที่จะสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนไม่ต่ำกว่า 7% ภายในระยะเวลา 6 เดือน โดยมีกลยุทธ์ในการบริหารกองทุนแบบ Absolute Return (กลยุทธ์การลงทุนที่มุ่งสร้างผลตอบแทนตามเป้าหมาย) โดยใช้กลยุทธ์ Market Timing (การเลือกจังหวะการลงทุนที่เหมาะสม) และ Stock Selection (การเลือกหุ้นที่มีแนวโน้มการเจริญเติบโตสูง และมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี) เราคาดว่ามีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน 7% จากปัจจัยสนับสนุน ดังต่อไปนี้ ? ปัจจัยพื้นฐานดี บริษัทคาดการณ์เป้าหมายดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ปี 2554 ที่ประมาณ 1,200 จุด ภายใต้สมมติฐาน P/E Ratio ที่ 13.0 เท่า และ EPS Growth ที่ 15% ต่อปี ซึ่งเมื่อเทียบกับระดับ SET ปัจจุบัน (ณ 1 ก.ค. 54 ที่ 1,090.28 จุด) ซึ่งยังคงต่ำกว่าเป้าหมายอยู่ถึง 10% ดังนั้น โอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน 7% ในระยะ 6 เดือนข้างหน้าจึงมีความเป็นไปได้ ? หุ้นไทยถูกกว่าหุ้นในภูมิภาค โดยพิจารณาจาก ราคาหุ้นต่อกำไรต่อหุ้นของบริษัทจดทะเบียน (Forward P/E Ratio) ไทยอยู่ 12.1 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับ หุ้นของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคไม่รวมญี่ปุ่น ซึ่งอยู่ที่ 12.3 เท่า จึงถือว่าราคาหุ้นไทยถูกกว่าหุ้นภูมิภาคอยู่ราว 2% และถือว่าตลาดหุ้นไทยยังคงน่าลงทุนเมื่อเปรียบเทียบตลาดหุ้นอื่นๆ ในภูมิภาค ? แรงขายของนักลงทุนต่างชาติน่าจะชะลอลง นักลงทุนต่างชาติได้ขายสุทธิหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปีถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2554 แล้วประมาณ 14,676 ล้านบาท ประกอบกับการที่การเมืองไทยเริ่มมีเสถียรภาพเพิ่มขึ้นจากการที่ พรรคเพื่อไทยได้คะแนนเสียงจากการเลือกตั้ง 265 เสียง เกินกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด ทำให้ความกังวลในเรื่องเสถียรภาพทางการเมืองของนักลงทุนต่างชาติลดลง ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ที่ต่างชาติจำเป็นต้องซื้อหุ้นไทยกลับจากการที่ขายหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปีเป็นจำนวนมาก และจากการที่กลุ่มประเทศในยุโรปมีแนวโน้มที่จะเข้าช่วยเหลือประเทศกรีซในเรื่องหนี้สาธารณะ จะทำให้ความกังวลในเศรษฐกิจโลกของนักลงทุนลดลงไปมาก และคาดว่านักลงทุนทั่วโลกจะโยกเงินกลับมาลงทุนในกลุ่มประเทศเอเชีย รวมถึงไทย ที่มีแนวโน้มการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่สดใสในช่วงครึ่งปีหลัง ? จากสถิติในอดีต หุ้นไทยเป็นบวกหลังการเลือกตั้ง/รัฐประหาร เมื่อพิจารณาจากผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทยในอดีต พบว่าในช่วงหลังการเลือกตั้งหรือรัฐประหาร 1 สัปดาห์ ถึง 1 เดือน ตลาดหุ้นไทยจะให้ผลตอบแทนเป็นบวก 2-8% แต่หลังจากการเลือกตั้ง 3 เดือน โดยส่วนใหญ่ตลาดหุ้นจะปรับตัวลดลงเฉลี่ย 3.3% ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าว กองทุนอาจต้องขายทำกำไรและรอซื้อกลับเมื่อราคาหุ้นปรับตัวลดลงมาแล้วด้วยเช่นกัน ดังนั้น การลงทุนในหุ้นไทยหลังการเลือกตั้งมีความจำเป็นต้องซื้อและขายทำกำไรเป็นรอบๆ (Active Management) มากกว่าการลงทุนในหุ้นไทยก่อนการเลือกตั้งที่ส่วนใหญ่ราคาหุ้นจะปรับตัวเพิ่มขึ้นด้านเดียว ข้อมูลจาก SET, FAM, KGI ? ช่วงเวลาที่ออกกองทุนเหมาะสม การที่บริษัทเปิดขายกองทุนในช่วงวันที่ 6-12 กรกฎาคม 2554 ซึ่งได้เห็นความชัดเจนของปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อตลาดหุ้นแล้ว ทั้งมาตรการหลัง QE2 ของประเทศสหรัฐอเมริกาหมดลงในวันที่ 30 มิ.ย.54 ทั้งการได้รับเงินช่วยเหลือจากกลุ่มประเทศในยุโรปเพื่อนำมาชำระหนี้ของกรีซ และการเมืองไทย ซึ่งได้ทราบผลการเลือกตั้งเรียบร้อยแล้ว ทำให้ความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนลดลงอย่างมาก บลจ.ฟินันซ่า จะเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มที่มีแนวโน้มเติบโตสูงในช่วงครึ่งหลังของปี 54 ได้แก่ ? กลุ่มรับเหมา ธนาคาร วัสดุก่อสร้าง และพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะได้รับประโยชน์จากนโยบายสนับสนุนการลงทุนระบบขนส่งทั้งรถไฟฟ้า และรถไฟรางคู่ ของรัฐบาล จะส่งผลทำให้ การลงทุนภายในประเทศเพิ่มสูงขึ้น ? กลุ่มพาณิชย์ สื่อและสิ่งพิมพ์ ธุรกิจเกษตร อาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งจะได้รับประโยชน์จากการคาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรที่เพิ่มสูงขึ้น และนโยบายประชานิยมที่สนับสนุนให้การบริโภคภายในประเทศเพิ่มมากขึ้น ? กลุ่มนิคมอุตสาหกรรมและยานยนต์ ซึ่งจะได้รับประโยชน์จากการเคลื่อนย้ายฐานการลงทุนของญี่ปุ่นเข้ามาที่ประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น และ อุตสาหกรรมรถยนต์ที่หยุดชะงักลงในช่วงครึ่งปีแรกจะกลับมาเริ่มกระบวนการผลิตได้อย่างเต็มที่ในช่วงครึ่งปีหลัง FAM ST7#2 เป็นกองทุนรวมผสมแบบไม่กำหนดสัดส่วนการลงทุนในตราสารทุน ที่มีการกระจายการลงทุนน้อยกว่าเกณฑ์มาตรฐานโดย บลจ.ฟินันซ่า จะเลิกโครงการ (รับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ) เมื่อเกิดกรณีที่ 1 หรือ 2 แล้วแต่กรณีใดเกิดก่อน 1. เมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 10.88 บาทต่อหน่วย เป็นเวลา 3 วันทำการติดต่อกัน ภายใน 6 เดือนแรกนับแต่วันที่จดทะเบียนกองทรัพย์สิน โดยจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติภายใน 7 วันทำการ นับตั้งแต่วันถัดจากวันทำการสุดท้ายของการเกิดกรณีดังกล่าว หรือ 2. เมื่อครบกำหนดอายุโครงการ ประมาณ 12 เดือน นับแต่วันที่จดทะเบียนกองทรัพย์สินเป็นกองทุนรวม สำหรับเงินที่ได้รับจากการรับซื้อคืนดังกล่าว บลจ.ฟินันซ่า จะทำการโอนอัตโนมัติเข้าไปที่กองทุนฟินันซ่าเพิ่มพูนทรัพย์ (FAM VF) ซึ่งเป็นกองทุนตลาดเงินที่บริษัทเปิดเมื่อปีที่ผ่านมา โดยกองทุนจะลงทุนในเงินฝาก ตราสารหนี้ภาครัฐ ตราสารหนี้ภาคสถาบันการเงินในประเทศ ที่มีกำหนดการชำระคืนเมื่อทวงถาม หรือมีอายุสัญญา หรือจะครบกำหนดชำระคืนไม่เกิน 397 วัน และมีนโยบายจะดำรง portfolio duration ไม่เกิน 3 เดือน ซึ่งเป็นกองทุนทีมีโอกาศให้ผลตอบแทนมากกว่าเงินฝากออมทรัพย์ ไม่เสียภาษี และมีสภาพคล่องสูงโดย FAM VF มีผลการดำเนินงานที่โดดเด่น ให้ประมาณการผลตอบแทนที่ 2.07 % ต่อปี (3 เดือนย้อนหลัง ณ วันที่ 27 พฤษภาคม 2554)

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ