เครือข่ายหมออนามัยร่วม “ฉีดวัคซีน”เยาวชน สร้างภูมิคุ้มกันจากพี่สู่น้อง ต้านภัยคุกคามสุขภาวะ

ข่าวทั่วไป Thursday July 7, 2011 16:18 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--7 ก.ค.--บรอดคาซท์ วิตามิน บี ประเทศไทยมีศักยภาพในการเป็นฐานการผลิตสินค้าที่สำคัญของอาเซียน ในระยะเวลาเพียง 45 ปี นับตั้งแต่ภาครัฐได้ส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม พบว่ามีนิคมอุตสาหกรรมเกิดขึ้นกว่า 30 แห่ง กระจายอยู่ใน 15 จังหวัดทั่วประเทศ ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจช่วยสร้างอาชีพและกระจายได้สู่ชุมชน แต่การเคลื่อนย้ายของแรงงานไทยและต่างด้าว รวมถึงความเจริญทางวัตถุ ได้นำพาความเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ มาสู่ชุมชนดั้งเดิมอย่างรวดเร็ว ปราจีนบุรีเป็นที่ตั้งของนิคมอุตสาหกรรม 2 แห่ง คือ นิคมอุตสาหกรรมกบินทร์บุรี อำเภอกบินทร์บุรีและนิคมอุตสาหกรรม 304 อำเภอศรีมหาโพธิ หลังจากก่อตั้งได้ไม่ถึง 20 ปี พื้นที่ดั้งเดิมที่เป็นสังคมเกษตรกรรมอันเรียบง่าย กลายเป็นสังคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่แฝงไว้ด้วยภัยคุกคามในรูปแบบต่างๆ ด้วยเหตุนี้ เครือข่ายหมออนามัยจังหวัดปราจีนบุรี จึงได้ร่วมกับ สถานศึกษา 9 แห่ง ที่ตั้งอยู่รอบเขตอุตสาหกรรม อำเภอกบินทร์บุรี และอำเภอศรีมหาโพธิ์ จัดทำโครงการ “สร้างเครือข่ายผู้นำนักเรียนต้านภัยคุกคามสุขภาพ” ขึ้น เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันสุขภาพเชิงสังคมให้แก่เยาวชน โดยการถ่ายทอดองค์ความรู้รวมถึงการป้องก้นและแก้ไขปัญหาเรื่องสุขภาพวัยรุ่นให้แก่แกนนำนักเรียน แล้วให้แกนนำได้สร้างเครือข่ายเพื่อถ่ายทอดความรู้ต่อไปยังเพื่อนๆ ในโรงเรียนด้วยภาษาของวัยใส ที่ทุกคนสามารถเข้าใจได้ง่าย โดยได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) นายสมิทธิ์ สาสะเดาะห์ นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดปราจีนบุรี หัวหน้าโครงการฯ เปิดเผยว่า เมื่อมีการก่อตั้งโรงงานอุตสาหกรรม แรงงานจากถิ่นอื่นที่มีความหลากหลายด้านฐานะก็จะหลั่งไหลเข้ามาประกอบอาชีพ จากนั้นบรรดาอาคาร ห้างสรรพสินค้า โรงแรมและสถานบันเทิงก็จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อตอบสนองความต้องการลูกค้า แม้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและทางนิคมฯ จะมีนโยบายป้องปรามและสกัดกั้นอบายมุขต่างๆ อย่างเต็มที่ แต่การเติบโตของสังคมเมืองและความเจริญทางวัตถุที่ก้าวกระโดด กลายเป็นอิทธิพลที่ทำให้คนท้องถิ่นต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตของตนเองอย่างรวดเร็ว “อบายมุขต่างๆ เกิดจากคนเป็นผู้นำพา การมีคนต่างถิ่นเข้ามาอยู่อาศัยในพื้นที่มากๆ ทำให้คนในท้องถิ่นไม่สามารถสอดส่องและเฝ้าระวังได้อย่างทั่วถึง สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือเยาวชนที่เติบโตอยู่ในชุมชนใกล้เขตอุตสาหกรรม จะตกอยู่ในความเสี่ยง 3 ประเด็นคือ อุบัติเหตุ ยาเสพติด โรคและการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร การถ่ายทอดองค์ความรู้ด้วยการชี้ให้เด็กรู้ถึงจุดจบของภัยคุกคามสุขภาพดังกล่าว และผลกระทบต่อเนื่องที่จะเกิดขึ้นหลังจากนั้น จะส่งผลให้เด็กเกิดภูมิคุ้มกันเชิงสังคมขึ้นในจิตใจ มีสติรู้เท่าทันภัยและปัญหาต่างๆ ในยามที่เติบโตและก้าวไปสู่สังคมใหม่ แม้เด็กจะไม่อาจชี้ชัดได้ว่าคนในสังคมนั้นเป็นเช่นไร แต่อย่างน้อยเด็กจะรู้เท่าทันและสามารถปกป้องตนเองให้รอดพ้นจากภัยคุกคามสุขภาพต่างๆ ได้” นายสมิทธิ์กล่าว โครงการฯ ได้เปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันในประเด็นภัยคุกคามสุขภาพวัยรุ่น ให้แก่ตัวแทนเยาวชนจากจำนวน 145 คน โดยการจัดกิจกรรมค่ายสร้างเครือข่ายผู้นำนักเรียนต้านภัยคุกคามสุขภาพขึ้นภายในนิคมอุตสาหกรรม 304 ซึ่งได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานด้านสาธารณสุข สถานีตำรวจภูธร และโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่ ส่งตัวแทนเข้าร่วมเป็นวิทยากรให้ความรู้แก่เด็กใน 3 ประเด็น คือ เรื่องเพศสัมพันธ์และเอดส์ เรื่องอุบัติเหตุจราจร และเรื่องยาเสพติด พร้อมทั้งสอนกระบวนการถ่ายทอด เพื่อเยาวชนแกนนำจะได้นำสิ่งที่เรียนรู้จากในค่ายไปถ่ายทอดต่อให้แก่เพื่อนและรุ่นน้องในโรงเรียนของตนเองได้ นายคมสรร รสดี ผู้อำนวยการโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้ากบินทร์บุรี กล่าวว่า ทางโรงเรียนฯ ได้สนับสนุนให้แกนนำนักเรียนที่ศึกษาอยู่ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายเข้าร่วมทำกิจกรรมกับโครงการฯ ด้วย เนื่องจากโรงเรียนตั้งอยู่ริมถนนใหญ่ติดกับเขตนิคมอุตสาหกรรมกบินทร์บุรี นักเรียนจึงมีความเสี่ยงต่อภัยคุกคามสุขภาพในเรื่องอุบัติเหตุจราจรเป็นหลัก ทางโรงเรียนฯ ได้แก้ไขปัญหาเบื้องต้นด้วยการจัดรถรับ-ส่งนักเรียนทั้งในอำเภอและจังหวัดใกล้เคียง ส่วนภัยคุกคามเรื่องยาเสพติดและการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรได้ใช้มาตรการคัดกรอง ดูแลและช่วยเหลือ โดยเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างครู ผู้ปกครองและนักเรียนแกนนำ ในการช่วยกันสอดส่องพฤติกรรมเด็กที่มีความเสี่ยง แต่วิธีป้องกันปัญหาที่ดีที่สุดคือการสร้างภูมิคุ้มกันเชิงสังคมให้แก่เด็ก “ด้วยช่องว่างระหว่างวัยทำให้เด็กไม่กล้าเข้าหาครูเพื่อปรึกษาปัญหา ดังนั้นนักเรียนแกนนำที่โรงเรียนคัดเลือกให้ไปร่วมกิจกรรมค่าย จึงเป็นเด็กที่มีความเป็นผู้นำ กล้าคิด กล้าแสดงออก สามารถเก็บประสบการณ์ความรู้ที่ได้รับฟังจากแกนนำของโรงเรียนอื่นๆ กลับมากลั่นกรองแล้วถ่ายทอดเป็นความรู้ให้แก่เพื่อนๆ คนอื่นได้ ซึ่งการที่ได้พูดคุยกับเพื่อนวัยใกล้เคียงด้วยภาษาเดียวกัน เด็กจะกล้าระบายปัญหาในใจออกมาอย่างเต็มที่ หลังจากนั้นนักเรียนแกนนำจะทำหน้าที่เป็นตัวกลางเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนที่มีปัญหากับครู เป็นการชักนำให้เพื่อนให้กลับเข้าสู่สังคมที่ดี เพื่อจะได้รับการเยียวยาและแก้ไขปัญหาร่วมกัน” ผอ.รร.เผย นางสาวสุชาดา ออกแมน นักเรียนชั้นม.5 หัวหน้าแกนนำนักเรียน โรงเรียนเตรียมอุดมฯ กบินทร์บุรี ได้เล่าถึงบรรยากาศการเข้าค่ายฯ ว่า เหมือนได้เปิดโลกแห่งความรู้ใบใหม่ เพราะเป็นประสบการณ์จากชีวิตจริงของเพื่อนต่างโรงเรียนที่นำมาเล่าสู่กันฟัง ทำให้ได้รับความรู้ที่แตกต่างจากในตำราเรียน หลังจากที่กลับจากเข้าค่ายฯ ก็จะแบ่งกลุ่มกันออกแบบกิจกรรม เพื่อสอดแทรกความรู้แล้วถ่ายทอดให้แก่รุ่นพี่ เพื่อนและน้องๆ ต่อไป โดยเปิดโอกาสให้แกนนำแต่ละคนได้เลือกถ่ายทอดความรู้ในเรื่องที่ตนเองถนัด “การแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับเพื่อนต่างโรงเรียน ทำให้ได้รับความรู้เพิ่มเติม เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ตนเอง การถ่ายทอดความรู้เรื่องภัยคุกคามสุขภาพเช่น การมีเพศสัมพันธ์ในวัยเรียน แกนนำอาจจะเขินอาย แต่ถ้าแกนนำกล้าพูด เพื่อนก็จะกล้าเปิดใจปรึกษาปัญหา สังคมนักเรียนก็จะเกิดการแพร่ขยายของภูมิคุ้มกันเชิงสังคม เมื่อต่างเติบโตไปสู่สังคมใหม่ เราก็จะรู้เท่าทันและปรับตัวเข้ากับสังคมได้” นางสาวสุชาดากล่าว “การดำเนินงานของโครงการ มีเป้าหมายเรื่องสุขภาพในเชิงสังคมมากกว่าระดับบุคคล เมื่อจุดเริ่มต้นของปัญหามาจากสังคม ก็ต้องแก้กลับไปที่จุดเดิม โดยเริ่มต้นสร้างภูมิคุ้มกันที่สังคมของเยาวชน เพราะไม้อ่อนยังดัดง่าย เมื่อเขาเติบโตเป็นไม้ใหญ่ภูมิคุ้มกันเชิงสังคมที่ถูกปลูกฝังไว้ ก็จะกลายเป็นเกราะคุ้มกันให้รอดพ้นจากภัยคุกคาม และปรับตัวเข้ากับสังคมนั้นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ” หัวหน้าโครงการฯ กล่าวสรุป

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ