Horrible Bosses ฮอร์ริเบิล บอสเซส รวมหัวสอย เจ้านายจอมแสบ

ข่าวบันเทิง Wednesday July 27, 2011 15:19 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--27 ก.ค.--MMM Digital ในชานเมืองลอน แองเจลิสของวันที่สดใส ณ ย่านธุรกิจทั่วไปที่ดูไม่ต่างไปจากบริษัทวุ่นๆ นับล้านทั้งในและรอบเมืองทั่วโลก แต่สำหรับวันนี้ ที่นี่ถูกเหล่านักแสดงและทีมงานของภาพยนตร์เรื่อง Horrible Bosses (รวมหัวสอยเจ้านายจอมแสบ) ภาพยนตร์แนวคอมเมดี้เรื่องใหม่ กำกับโดย เซธ กอร์ดอน (Four Christmases, The King of Kong: A Fistful of Quarters) “เรารักการถ่ายทำที่ลอส แองเจลิส แต่เราไม่ได้นำเสนอความเป็นลอส แองเจลิสของที่นี่ออกมาในหนัง” กอร์ดอนอธิบายว่า “นี่อาจเป็นที่ประเทศของคุณก็ได้ ผู้คนในหนังเรื่องนี้เปรียบเสมือนพวกเราทุกคน สถานการณ์บางอย่างไม่ได้ดูเป็นเรื่องแปลก ซึ่งย่อมดีกว่าเสมอหากการแสดงเหล่านั้นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในสถานที่จริง” สำหรับผู้สร้างภาพยนตร์แล้ว สถานที่ตามหลักภูมิศาสตร์ไม่ได้มีความสำคัญเท่าสิ่งที่ย่านธุรกิจนั้นแสดงให้เห็น ที่นั่นเป็นสถานที่ที่เหล่าลูกจ้างจำนวนมากต้องทนตรากตรำทำงานแต่ละวัน ต้องเขียนรายงาน คำนวณตัวเลข เข้าร่วมประชุมและดูแลลูกค้า หลายต่อหลายครั้งภายใต้รัศมีสายตาของผู้จัดการที่แสนจุกจิก จอมประสาทและชอบหมกมุ่น จอมจู้จี้ สำหรับประเด็นหลักของภาพยนตร์แล้ว สถานที่นั้นเป็นตัวแทนของบริษัท Comodyne บริษัทค้าหุ้นที่นิค เฮ็นดริคส์ทำงานอยู่ ตัวละครของ นิค รับบทแสดงโดย เจสัน เบตแมน (The Switch) ซึ่งเป็น 1 ใน 3 พนักงานจอมวุ่นที่วางแผนสุดเซ่อมาแก้แค้นเจ้านายจอมแสบของพวกเขา “เป็นเรื่องราวที่อาจเกี่ยวข้องกับทุกคนในเหตุการณ์เหล่านี้ได้ แต่หนังเรื่องนี้พาเรื่องราวไปจนถึงขีดสุดจริงๆ” เจย์ สเติร์น ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ร่วมกับเบร็ตต์ แร็ตเนอร์ กล่าวว่า “มีความรู้สึกน่าสลดอยู่เล็กๆ ที่พวกเขาตัดสินใจล้างแค้นเจ้านายพวกเขาแน่ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเราส่วนใหญ่น่าจะทำในชีวิตจริง แต่พวกเขาทั้งเซ่อและทำเสียแผนจนเละเลย” นิคและเพื่อนเก่าทั้งสองคนอย่างเดล อาร์บัส รับบทแสดงโดย ชาร์ลี เดย์ (Going the Distance, ภาพยนตร์ทางทีวีเรื่อง It’s Always Sunny in Philadelphia) และเคิร์ต บัคแมน รับบทแสดงโดย เจสัน ซูเดคิส (Hall Pass, รายการทางทีวี Saturday Night Live) แต่ละคนทำงานอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้บริหารที่น่าสยอง นิคทำงานให้กับบริษัทจอมกดขี่อย่าง เดฟ ฮาร์เค็น รับบทแสดงโดย เควิน สเปซีย์ (Recount) ขณะที่เดล ผู้ช่วยทันตแพทย์ที่แสนเรียบร้อยที่หมั้นหมายจะแต่งงานแล้ว และต้องทนลำบากใจเพราะหัวหน้าจอมบ้ากามอย่าง ดร.จูเลีย แฮร์ริส รับทบแสดงโดย เจนนิเฟอร์ อนิสตัน (Just Go With It) เมื่อแจ็ค เพลลิต (Donald Sutherland, The Eagle) ผู้ให้คำปรึกษาคนโปรดของเคิร์ตเสียชีวิตลง บ็อบบี้ ลูกชายของเขาที่ดูสับสนจากอาการเมายา รับบทแสดงโดย โคลิน ฟาร์เรล (Fright Night) ได้เข้ามาครองและทำให้งานของเคิร์ตเหมือนการตกนรกทั้งเป็น ขณะที่เจ้านายของนิคดูท่าจะรับมือได้ไหวกว่าดร.แฮร์ริสหรือบ็อบบี้ เพลลิต เจ้านายของเขาเป็นคนหยิ่ง จอมบงการ แต่เกิดล้ำเส้นขึ้นเมื่อเขาตามติดนิคเพื่อการเลื่อนตำแหน่งครั้งใหม่ และผลักดันให้เขาทำงาน เพียงแต่อาจต้องขโมยมันมาจากนายของเขา “นิคยอมทำทุกอย่างที่เหมาะกับงานของเขา และหวังว่าทุกอย่างจะเป็นไปอย่างที่เขาต้องการ แต่ฮาร์เค็นโปรโมทตัวเองเข้ารับตำแหน่งที่นิคคิดว่าตัวเองควรได้รับ” เบตแมนอธิบาย “หลังจากนั้นเขาก็รับชะตากรรมเดียวกัน นิคคิดว่าตัวเองฉลาดแต่ตกกระไดพลอยโจนไปกับแผนงี่เง่าครั้งนี้ร่วมกับเพื่อนอีก 2 คน ซึ่งเห็นได้เลยว่าเขาไม่ได้ฉลาดนักเลย” กระแสแห่งความผิดหวังได้พัดพาผองเพื่อนตกไปสู่คำแนะนำที่แสนงี่เง่าของการสร้าง “แผนฆาตกรรม” (เป็นความฮาแบบบ้าๆ ที่เคารพหนังเรื่อง Strangers on a Train ของฮิตช์ค็อก) และสังหารเจ้านายของแต่ละคนซะ แต่วิธีที่ตัวละครแต่ละตัวดำเนินไปโดยที่เบตแมนไม่ทันตั้งตัวไม่ติด “ผมคอยคิดอยู่เสมอว่าผมรู้แล้วเรื่องราวจะเป็นไงต่อ แต่บทภาพยนตร์ทำให้ผมแปลกใจเพราะมันเยี่ยมมาก” เขาอธิบายว่า “แผนการของพวกเขาช่างนึกไม่ถึงจริงๆ พอมันเริ่มเกิดขึ้น พวกเขาก็กั๊กเก็บไว้ไม่ได้แล้ว” ไม่มีใครอยากลงมือทำแบบนี้เลย แต่เมื่อมารวมหัวกันแล้ว เมื่อเจ้านายของแต่ละคนก้าวล้ำเส้นขึ้นมา แผนชั่วร้ายจึงก่อตัวขึ้น “ผมพูดได้ว่านิคแทบไม่อยากเชื่อกับความคิดในการสังหารบรรดาเจ้านาย ขณะที่เดลอินไปกับมันสุดๆ ส่วนเคิร์ตค่อนข้างหวั่นใจอยู่บ้าง พร้อมความรู้สึกที่ขึ้นๆ ลงๆ” ชาร์ลี เดย์ ผู้รับบทแสดงเป็น เดล กล่าวว่า “โดยพื้นฐานแล้วคนเรามีอิด ซูเปอร์อีโก้ และอีโก้อยู่ในบุคลิกของตัวเรา ทุกอย่างนั่นปรากฏอยู่ในหนังแล้ว มันเป็นทฤษฎีของฟรอยด์ล้วนๆ” เจสัน ซูเดคิส บรรยายถึงเคิร์ตว่าเป็นคนที่ “มีความสุขและโชคดีกว่านิคและเดล เขาทำงานให้กับบริษัทพวกสารเคมี เป็นบริษัทของครอบครัวทำสารเคมี เราสูญเสียคุณเพลลิตซึ่งเป็นที่ปรึกษาของเขาไปตั้งแต่หนังตอนต้น จากนั้นลูกชายจอมทึ่มอย่างบ็อบบี้ก็เข้ามาครองกิจการ ทุกอย่างเหมือนมาถึงทางตัน เขาไม่ชอบทั้งงานและเจ้านายขึ้นมาทันที มันเป็นความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงระหว่างเจ้านายสองคนที่ทำให้เคิร์ตเกิดความคิดอยากกำจัดบ็อบบี้ ด้วยการสูญเสียทั้งที่ปรึกษาและคนที่เป็นเหมือนพ่อไป” เคิร์ตเป็นผู้ชายที่อ่อนโยนเหมือนผู้หญิง ซึ่งอาจเป็นเหมือนความผิดพลาด “เคิร์ตเหมือนผู้หญิงมาก” ซูเดคิสเล่าว่า “และจากทุกๆ อย่างในหนัง ผมพูดได้เลยว่าพวกเขาอยากให้เคิร์ตกลับมา จะเป็นเรื่องที่ดีมาก” สิ่งที่มีค่าสำหรับเคิร์ตได้กลับกลายเป็นภาระสำหรับเดล โดยเจนนิเฟอร์ อนิสตัน ที่รับบทแสดงเป็นหมอฟันบ้าเซ็กซ์ที่เดลร่วมงานด้วย “เราเล่นเกมจับเชือกกันเพื่อดูว่าใครจะได้รับบทของเดล” เจสัน ซูเดคิส กล่าวติดตลก “ชาร์ลีชนะเลิศ” “แต่ถึงอย่างไรหากพูดจริงๆ แล้ว” เดย์กล่าวว่า “เรื่องพิเศษสำหรับผมคือจริงๆ แล้วเจนนิเฟอร์ เป็นนักแสดงรุ่นใหญ่ที่ถ่ายทอดการแสดงมาสู่ตัวละครของผมได้ดี เพราะเธอทำให้เขากลัวลนลาน ผมดีใจมากที่เธอมารับบทนี้ มันสนุกมากที่ได้เห็นเธอเล่นบทนี้” เดลอินเลิฟกับคู่หมั้นของเขาอย่างสุดหัวใจ สเปซี่ (รับบทแสดงโดย ลินเซย์ สโลน จากภาพยนตร์ทางทีวีเรื่อง Funny or Die) แต่เจ้านายบ้ากามของเขาคอยหาทางด้วยวิธีสร้างสรรค์เพื่อมาทดสอบความซื่อสัตย์ของเดลตลอด “ในขณะที่สิ่งเดียวที่เดลอยากทำคือการเป็นว่าที่สามีที่ซื่อสัตย์และแสนดี” เดย์อธิบาย “บ่อยครั้งที่เหล่าสหายของเขาไม่เข้าใจและไม่เห็นใจกับสถานการณ์ที่เลวร้ายของเขาเลย” เซธ กอร์ดอน เชื่อว่าพลังจากบทภาพยนตร์ของไมเคิล มาร์โควิตซ์ และ จอห์น แฟรนซิส เดลีย์ กับ โจนาธาน โกล์ดสไตน์ได้สร้างความสนใจให้เหล่านักแสดงที่ชื่นชอบของเขา “ผมทั้งหัวเราะท้องแข็งและน้ำตาไหลตอนที่ได้อ่านบทของบางฉาก” ซูเดคิสรับรองบทภาพยนตร์นั้น รวมถึงตัวผู้กำกับและเหล่านักแสดงว่าทำให้หนังยากที่จะต้านทาน “ผมชอบเนื้อเรื่องมาก จากนั้นพอทุกคนเริ่มเข้ามาร่วมงาน ล้วนเป็นกลุ่มคนที่ผมเคยร่วมงานมาก่อน เลยทำให้มันยิ่งน่าตื่นเต้นเข้าไปใหญ่” เขากล่าวว่า “ผมเป็นแฟนตัวยงผลงานของเซธ หนังเรื่อง The King of Kong เป็นหนึ่งในหนังยอดเยี่ยมที่ผมเห็นมาในช่วง 10 ปีหลัง วิธีที่เขารับมือกับโลกของแฟนๆ ที่คลั่งไคล้วีดีโอเกมทำให้ผมเห็นว่า เขาเข้าใจดีว่าชีวิตจริงจะเศร้าและสนุกได้แค่ไหน” เบตแมนกล่าวเสริมว่ากอร์ดอนสร้างโทนเรื่องที่พวกเขาทุกคนต้องดึง ‘แผนเด็ด’ ของพวกเขาออกมา “เขารักษาความโดดเด่นของทุกอย่างเอาไว้ แต่ก็ทำให้นักแสดงรู้สึกอุ่นใจด้วย” เขากล่าวว่า “ฟังดูแล้วเหมือนเรื่องโบราณซ้ำซาก แต่หนังตลกมีความหมายถึงการสร้างเรื่องโง่ๆ เกี่ยวกับตัวเองขึ้นมา เราไม่ต้องหัวเราะบ่อยมากหรอก หากไม่ถึงขั้นดึงกางเกงตัวเองลงมาโชว์น่ะ” แต่สเติร์นกล่าวเสริมว่า ถึงแม้ว่าสุดท้ายเหล่าตัวละครจะดูขาดคุณสมบัติพอที่จะสังหารได้ มันก็มีบางอย่างที่เป็นพลังให้แผนการโง่ๆ ของพวกเขา “เวลาที่พวกเขาพูดว่า ‘เราอดทนต่อไปไม่ไหวอีกแล้วนะ เราไม่ยอมถูกรังแกแบบนี้อีกต่อไป’ นั่นคือตอนที่เราพูดว่า ‘เอาเลย!’ เพราะถึงแม้พวกเขาจะดูไร้วี่แววว่าจะทำอะไร แต่อย่างน้อยพวกเขาก็พยายามตอบโต้” ฉากที่ถ่ายทำวันนี้ ณ ที่จอดรถของสำนักงาน ไม่ได้ถ่ายทำด้วยความบังเอิญของการตัดสินใจของพวกเขาในการตอบโต้เจ้านายกลับ แต่เป็นฉากที่บรรยายถึงฝันกลางวันที่น่าตลกหดหู่ของนิค ซึ่งสะท้อนให้ถึงเห็นความคิดที่จินตนาการบินข้ามผ่านมนุษย์เงินเดือนผู้ไม่เคยพอใจทั้งหลายไปอย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนสำคัญของฉากคือตึกที่สูงขึ้นมาจากใจกลางของอาคาร ซึ่งเป็นจุดสำคัญที่บ่งบอกถึงวัฒนธรรมแห่งประสิทธิภาพองค์กรที่ไร้จิตใจ ใกล้กับส่วนด้านบนของตึกมีหน้าต่างบานหนึ่งในแถวที่กระจกสะท้อนทึบกว่าบานอื่น ในเวลาเพียงไม่กี่นาที หน้าต่างบานนี้จะระเบิดออกมาเป็นเศษกระจก เมื่อเดฟ ฮาร์เค็น หัวหน้าของนิคซึ่งรับบทแสดงโดยเควิน สเปซีย์ จะผ่านจุดๆ นี้ “เราบอกเล่ามันจากจินตนาการในมุมมองของนิค” กอร์ดอนอธิบายว่า “เลยเหมือนเรากำลังบีบเค้นช่วงเวลานั้น” หลังช่วงเวลา 15 ชั่วโมงแห่งการเตรียมการเรื่องความปลอดภัย และการประสานงานกันของแผนกต่างๆ รวมถึงทีมงานสตั๊นท์สมทบและตากล้อง ดูเหมือนกอร์ดอนพร้อมจะเริ่มแสดงแล้ว เขากำลังจะถ่ายทำนักแสดงสตั๊นท์ด้วยกล้อง 2 ตัว โดยตัวหนึ่งตั้งอยู่บนรถเครน “เควิน สเปซีย์ แสดงฉากผาดโผนด้วยตัวเองหลายฉาก แต่ในฉากนี้เราใช้ตัวแสดงแทน สตั๊นท์แมนจึงต้องร่อนออกมาทางหน้าต่างและลงมานอนอยู่บนแอร์แบ็ก” ฌอน เกรแฮม ผู้ควบคุมสตั๊นท์ชี้ให้เห็นเบาะรองกันกระแทกที่อยู่เบื้องล่าง ในหนังที่พักพิงสุดท้ายของฮาร์เค็นจะเป็น ‘ที่จอดรถสงวนสิทธิ์’ ของเขา “การที่เราจะให้เจ้านายของนิคเสียชีวิตเพียงเพื่อเหตุผลของพื้นที่จอดรถอันกว้างใหญ่ของเขา ผมว่ามันเป็นวิธีที่ค่อนข้างตลกที่จะให้เขาแสดง” กอร์ดอนกล่าว กอร์ดอนยกเครื่องกระจายเสียงขึ้นมาและนับ “3,2,1!” หน้าต่างระเบิดขึ้นพร้อมเสียง เพล้ง! ร่างชายคนหนึ่งในชุดสีเทาทะลุออกมาทางกระจกที่แตก แขนขาเหวี่ยงไปมาและตีลังกาอยู่กลางอากาศ เมื่อเขาลงถึงพื้น แอร์แบ็กขนาดกว้างได้พองตัวขึ้นและโอบตัวเขาเอาไว้ เสียงปรบมือและเสียงหัวเราะดังเป็นระลอกในฉาก เซธ กอร์ดอน รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก “คุณเห็นกระจกที่แตกอยู่ข้างหลังเราหรือเปล่า? สำเร็จ! มันดูเจ๋งจริงๆ!” แต่ทีมงานยังไม่พร้อมจะเก็บรวบรวมมัน ก่อนจะกลับบ้านศัตรูอีกคนก็จะผ่านเข้ามา หน้าต่างของ Comodyne “มันเป็นการหักมุมได้เยี่ยม” เซธกอร์ดอนยิ้ม “แต่คุณต้องรอจนกว่าหนังจะฉาย” ในการคัดเลือกตัวละครเจ้านายที่สำคัญ เซธ กอร์ดอน อยากสร้างสมดุลความฮาของเหล่านักแสดงหลักทั้งสามด้วยการรวมตัวของเหล่านักแสดงหลายคนที่ชื่นชอบ “เราอยากให้หนังเรื่องนี้ยั้งอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง และมีความรู้สึกสมจริงและน่าเชื่อถือ” เขากล่าว เควิน สเปซีย์ ผู้รับบทแสดงเป็นเดฟ ฮาร์เค็น ที่สร้างความทุกข์ทรมานให้แก่นิคซึ่งเป็นตัวละครของเบตแมนกล่าวว่า “เราอยากได้คนที่สามารถแสดงเป็นคนซาดิสม์ มีปัญหาทางจิต เจนโลก มีความสนุกสนานได้ และเควิน สเปซีย์ก็เป็นนักแสดงที่สร้างบทบาทที่ยอดเยี่ยมเอาไว้มากมาย” กอร์ดอนกล่าวว่า “เขากระแทกฮาร์เค็นออกจากที่จอดรถได้จริงๆ” “ผมดีใจมากที่ได้รับทาบทามบทนี้ เพราะผมได้ระเบิดการแสดงไปกับมัน” เจ้าของรางวัล Academy Award สองครั้งจากเรื่อง American Beauty และ The Usual Suspects กล่าวว่า “พวกเราทั้งสามคนที่รับบทเจ้านายจอมแสบสร้างเรื่องบางอย่างให้พวกเขาเอาไว้จนอยากโต้กลับ และผู้ชมจะเข้าใจอย่างถ่องแท้เลยว่าทำไมพวกเขาอยากฆ่าเรานัก แน่นอนว่าไม่มีออะไรเป็นไปอย่างที่วางแผนเอาไว้ เพราะพวกเขาโง่บรมโง่ แต่นั่นแหละคือความฮาที่แสดงให้เห็นออกมา” ในแรกเริ่มเขาหลงใหลบทภาพยนตร์ที่ทำให้เขาหัวเราะเสียงดังออกมาได้ สเปซีย์รู้สึกประทับใจกับโทนเรื่องที่ถูกผู้กำกับกอร์ดอนสร้างขึ้นมา และหลงใหลในการมองผู้แสดงร่วมกลั่นแกล้งซึ่งกันและกัน รวมถึงเขาด้วย “ผมมีช่วงเวลาแห่งความสุขที่ได้รังแกเจสัน เบตแมน” สเปซีย์ยอมรับด้วยเสียงหัวเราะว่า “มันเป็นช่วงเวลาที่เหลือเชื่อจริงๆ” เบตแมนรู้สึกตื่นเต้นที่ได้ร่วมงานกับนักแสดงที่เขาชื่นชมมานาน “ตอนที่เขามาร่วมฉากผมรู้สึกตื่นเต้นมาก” เขากล่าวว่า “ผมเป็นแฟนพันธุ์แท้ของเขามานาน มันเป็นผลงานชิ้นสำคัญร่วมกับเขาเลย ผมยังคิดอยู่ว่า ‘นั่นไงเขาล่ะ วิลเลียมสันจากเรื่อง Glengarry Glen Ross!’” นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่สเปซีย์รับบทแสดงเป็นเจ้านายจอมแสบ ในปี 1994 เขารับบทแสดงเป็นผู้บริหารสตูดิโอจอมป่วน บัดดี้ แอ็คเกอร์แมน ในเรื่อง Swimming with Sharks แต่เดฟ ฮาร์เค้น อาจเอาชนะวิธีข่มเหงของบัดดี้ “ฮาร์เค็นอาจเป็นพี่น้องกับบัดดี้ แอ็คเกอร์แมน ก็ได้นะ เพียงแต่บัดดี้จะมีวัตถุประสงค์ในความเลวที่ประหลาดลึกลับ” สเปซีย์กล่าวว่า “ผมไม่คิดว่าฮาร์เค็นจะพูดว่า ‘ผมจะทำให้คุณเป็นพนักงานที่ได้รับการพัฒนาขึ้น’ อย่างจงใจหรอก ผมว่าเขาเป็นคนน่ากลัวมาก เขามีความสุขจากการได้ทรมานผู้อื่น เขามาจากโรงเรียนแห่งความคิดที่ว่าสามารถบงการมนุษย์ทุกคนได้” ในขณะเดียวกัน สำหรับโคลิน ฟาร์เรล ผู้รับบทเป็นบ็อบบี้ เพลลิตเจ้านายของเคิร์ตซึ่งเป็นตัวละครของซูเดคิสส ภาพยนตร์เรื่อง Horrible Bosses (รวมหัวสอยเจ้านายจอมแสบ) เป็นเรื่องที่พบได้ไม่บ่อย และจู่โจมความสนุกเข้าสู่ความฮาได้อย่างไม่ทันตั้งตัว “ผมหัวเราะออกมาดังลั่นอยู่ประมาณ 4-5 ครั้งขณะที่นอนอ่านบทเรื่องนี้อยู่บนโซฟา” เขากล่าว “ช่วงเวลา 12 ปีแห่งการอ่านบทภาพยนตร์ นั่นคือสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นเลย ผมรักบทของหนังเรื่องนี้ มันทั้งงี่เง่าและฮาอย่างไม่มีทางแก้ตัวเลย ตัวละครของบ็อบบี้ เพลลิต ในบทน่าหลงใหลมาก ดูเหมือนเขามีอารมณ์แห่งการนับถือตัวเองอย่างหนัก ซึ่งเป็นการบดบังความรู้สึกของเขาที่ไม่เป็นที่รักและเป็นที่น่าผิดหวังของพ่อเขา” จินตนาการที่สร้างสรรค์อย่างแรกของฟาร์เรลคือเรื่องหัวล้านของเขาและอีโก้ของคนที่เมายา? การหวีแสกหัวแบบน่าตลก “ผมคิดว่าบ็อบบี้คงรับไม่ได้กับการปลูกผมของเขา เพราะเขาใช้โคเคนเยอะมาก” ฟาร์เรลหัวเราะ “เขาจึงเลือกที่จะไม่อับอายเรื่องผมของเขา เขาจึงหวีมันไปและทำให้มันกลายเป็นสไตล์ส่วนตัวของเขา เขามีความภาคภูมิใจและอำนาจบางอย่างที่มาพร้อมกับสิ่งนั้น” สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุดคือ ดร.จูเลีย แฮร์ริส ผู้สร้างความทรมานให้แก่ เดล ตัวละครของชาร์ลี เดย์ ด้วยการถล่มเรื่องเกี่ยวกับเซ็กซ์ใส่อย่างไม่หยุดยั้ง บทนี้รับบทแสดงโดยเจนนิเฟอร์ อนิสตัน “มันน่าตื่นเต้นที่ได้ยินเธอพูดบทบางประโยค” กอร์ดอนกล่าวว่า “บทภาพยนตร์เรียกร้องเธอในหลายๆ อย่าง และเธอก็เต็มใจแสดงเต็มที่ และมันฮาอย่างไม่น่าเชื่อเลย” ด้วยหนังคอมเมดี้หลายเรื่องภายใต้เข็มขัดของเธอ ซึ่งยังไม่รวมถึงซีรี่ส์ทางทีวีที่ฉายมาอย่างยาวนานเรื่อง Friends อนิสตันสนุกไปกับโอกาสที่ได้ก้าวออกมาจาก ‘รูปแบบเดิม’ และมารับบทบาทที่เป็นฝ่ายรุกในเรื่องเพศอย่างโจ่งแจ้ง “ฉันไม่เคยถูกร้องขอให้แสดงบทที่ลามกสุดขีดและไม่ต้องหาข้ออ้างใดๆ ด้วยซ้ำไป” เธอหัวเราะ “ฉันอ่านบทแล้วไม่มีความกลัวเรื่องบทหรือเรื่องอะไรเลย เราได้สวมวิก สวมเสื้อผ้า สวมรองเท้าและเราก็หายวับไปกับตา นั่นคือสิ่งที่สนุกมากเกี่ยวกับตัวละครนี้ ฉันกระโจนเข้าใส่ทันทีเลย” ถึงแม้เธอจะมีฉากร่วมกับ 2 ใน 3 คนเท่านั้น อนิสตันก็รู้สึกถูกชะตากับตัวละครหลักทั้ง 3 คนบนเหตุผลแห่งคววามสนุกสนานของเนื้อเรื่องนี้ “เวลาที่เรามีนักแสดงทั้ง 3 คนที่เราคุ้นเคยด้วยแล้ว พวกเขาสร้างคุณค่าที่น่าตกใจให้ออกมา” เธอกล่าวว่า “การเกิดเคมีกับพวกเขาเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น มันเป็นเรื่องที่ดีมาก มันเหมือนเรากำลังดู Three Stooges” ผ่านช่วงเที่ยงคืนที่ East Seventh Street และ Santa Fe Avenue ในย่านใจกลางเมืองลอส แองเจลิสเป็นสิ่งที่ห่างไกลจากแสงอาทิตย์รุ่งเช้าของอาคารจอดรถที่ดูสะอาดสะอ้านที่ South Bay สี่แยกที่ดูเงียบเหงาเต็มไปด้วยฝุ่นและบริษัทในภาคอุตสาหกรรมที่ตั้งอยู่ใกล้กับอาคารอุตสาหกรรมที่สร้างขึ้นด้วยอิฐอายุนับร้อยปี โกดังสินค้าที่ไม่มีชื่อและบาร์เหล้าที่ไม่มีหน้าต่าง มีป้ายอยู่ที่หัวมุม Food and Wine แต่รั้วสนิมที่ถูกดึงมากั้นทางเข้า รถแวนสีขาวที่มีรอยบุบจอดอยู่ในลานจอดรถที่รายล้อมด้วยกระจก ซึ่งไม่ห่างจากที่นี่ ประตูที่เปิดอยู่ทำให้เห็นของสะสมที่มีค่าอันประกอบด้วย แผ่นเสียงที่หายาก ชิ้นส่วนรถและแว่นกันแดดราคาถูก สิ่งก่อสร้างเดียวที่เหมือนว่ากำลังสร้างธุรกิจได้อย่างคล่องตัวคือบาร์เล็กๆ ที่หายาก กระหึ่มด้วยดนตรีและแสงไฟ ที่นั่นเป็นร้านเหล้ารกร้างที่ถูกทีมงานด้านฉากแต่งขึ้นมาให้เหมือนบาร์ที่ขายเครื่องดื่มราคาถูก “พวกเราโชคดีมากที่ถ่ายทำที่นี่” เซธ กอร์ดอน อธิบายว่า “พวกเราพยายามหาสถานที่ในแอล.เอ.ที่ไม่ได้เห็นบ่อยเป็นล้านครั้งในหนัง ผมไม่อยากรู้สึกเหมือนว่าหนังเรื่องนี้กำลังพาผู้ชมเข้าสู่สถานที่คุ้นตาของลอส แองเจลิส” เจสัน ซูเดคิส สร้างฉากขึ้นมาว่า “ทั้งสามคนก้าวไปสู่ขั้นที่หวังจะฆ่าเจ้านายของแต่ละคนอย่างเต็มที่ แต่พวกเขารู้ดีว่าลงมือเองไม่ได้ พวกเขาเลยต้องการความช่วยเหลือจากมือมืดที่เลื่องชื่อ พวกเราจึงมาที่ส่วนที่เสื่อมโทรมของเมือง เพื่อหาคนที่จะช่วยในภารกิจทำลายล้างของเราได้” ดูเหมือนการช่วยเหลือจะมาในรูปร่างของนักต้มตุ๋น ฉายาว่า เอ็มเอฟ โจนส์ ที่รับบทแสดงโดย เจ้าของรางวัล Oscar เจมี่ ฟ็อกซ์ (Ray) เช่นเดียวกับผู้ร่วมแสดงคนอื่นๆ ฟ็อกซ์รู้สึกหลงใหลกับมุกตลกในบทภาพยนตร์ “จากนั้นก็คือฉายา เอ็มเอฟ โจนส์! คุณจะไม่หลงรักมันได้อย่างไร?’ เขายิ้ม “ประสบการณ์ทั้งหมดช่างสนุกจริงๆ” ทั้งสามได้พบกับเอ็มเอฟ โจนส์ ภายในบาร์ “เคิร์ต เดล นิค ได้คาดคะเนอย่างผิดๆ ว่าบาร์ในใจกลางเมืองคือที่ที่เหมาะแก่การหามือสังหาร ซึ่งเป็นความคิดที่อุปาทานไปเอง” กอร์ดอนบรรยายว่า “พวกเขาพูดกับบาร์เท็นเดอร์ไปอย่างโง่ๆ เรื่องแผนสังหาร และในบาร์มีผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่ใช่มือสังหาร แต่เป็นคนที่มองทั้งสามคนนี้ง่ายต่อแผนการอื่นของเขา นั่นคือ เจมี่ ฟ็อกซ์ เขาตามทั้งสามคนออกมาข้างนอกเพื่อเล่ารายละเอียดอย่างเสร็จสรรพ” ฟ็อกซ์และนักแสดงอีกสามคนพยายามขยายฉากด้วยการแสดงสดที่พวกเขาพยายามตัดสินใจว่า จะแสดงบทผู้ให้คำปรึกษาเรื่องการสังหารอย่างไร ชาร์ลี เดย์และเจมี่ ฟ็อกซ์ได้โต้ตอบบทใส่กัน บางครั้งทุกอย่างก็สลายไปเหมือนเรื่องบ้าบอ “เจมี่ ฟ็อกซ์ เป็นเจ้าฝีมือ” กอร์ดอนกล่าวชมว่า “เขาแสดงรายละเอียดด้วยทุกท่าทาง สีหน้า การเคลื่อนไหว ได้อย่างน่าทึ่ง นักแสดงทุกคนจะยืนให้ใกล้เคียงกับหลักการ แต่พวกเขาแสดงร่วมกับหลักการนั้นเพื่อหาความแตกต่างเล็กๆ น้อยๆ ทุกซอกและทุกร่องที่สามารถเติมเต็มเข้าไปด้วยสิ่งสำคัญเล็กๆ น้อยๆ ได้” ผู้กำกับบางคนอาจเป็นกังวลกับความสามารถหลายๆ ด้านที่เหล่านักแสดงต้องดึงมาใส่ในโปรเจ็กต์ แต่กอร์ดอนประสบความสำเร็จจากความร่วมมือของทุกคนในฉากถ่ายทำ “ซูเดคิสเป็นนักเขียนที่มีฝีมือและเป็นนักแสดงตลกที่มีความชำนาญ เบตแมนมีฝีมือในทุกด้านหลังกล้อง เช่นเดียวกับชาร์ลี พวกเขามีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในเรื่องตัวละครของพวกเขามากกว่าที่ใครจะทำได้ และปรับเปลี่ยนตรงนี้หรือตรงนั้นเพื่อแสดงถึงความจริงว่าแต่ละคนแสดงบทของตัวเองจากสัญชาตญาณ พวกเราโชคดีมากในเรื่องปฏิสัมพันธ์ของทั้งสามคนนี้ เพราะพวกเขาสร้างสมดุลของแต่ละคนให้ออกมาได้จริง ชาร์ลีเหมือนคนมีบ้าพลัง ซูเดคิสค่อนข้างเป็นคนวางท่าและเบตแมนจะหนักไปในเรื่องวิเคราะห์ พวกเขาขยายฉากเหล่านี้ด้วยส่วนประกอบเล็กๆ น้อยๆ ที่ผมคิดว่าเป็นส่วนหนึ่งของเหตุผลที่ทั้งสามร่วมงานกันได้อย่างน่าอัศจรรย์ พวกเขารู้จังหวะกันดีและสามารถปรับเปลี่ยนได้ ซึ่งมันเป็นการเต้นรำที่สุดยอด” สำหรับฉากด้านนอกบาร์ เดย์ต้องแสดงความคิดของการเปรียบเทียบเงินว่าเป็น “ชีส” ซึ่งเป็นคำสแลงที่มาจากคำสแลงบนท้องถนน ซึ่งอาจเป็นมุกที่สมบูรณ์แบบสำหรับตัวละคร สำหรับตัวละครเอ็มเอฟ โจนส์ของฟ็อกซ์ “เราเพิ่งจะกินชีสกันมานิดหน่อย” เดย์กล่าวถึงการแสดงสดว่า “คุณต้องการชีสเยอะแค่ไหน? วงชีสใหญ่แค่ไหน?” มันยืนหยัดเพื่อเหตุผลที่เดลกับเพ่อนๆ ของเขาจะออกจากบาร์ไปพร้อมกับเรื่องไร้สาระตอนที่พวกเขามาถึง หากมองจากวิธีการที่เอ็มเอฟ โจนส์กำลังควบคุมสถานการณ์ “เอ็มเอฟ โจนส์ น่าจะเคยเข้าวิทยาลัย” เจมี่ ฟ็อกซ์ กล่าวว่า “เขาค่อนข้างเหมือนพวกฮิป-ฮอป แต่เขาเห็นโอกาสเมื่อชายผิวขาวสามคนเข้ามาที่บาร์ พวกเขาเป็นคนเมืองอย่างแท้จริง เปรียบเสมือนการเห็นท่อนไม้ยื่นออกมาจากกองเกวียน เอ็มเอฟ โจนส์มีเจตนาในการหาเงิน แต่ขณะเดียวกันเขาก็คอยพยักหัวพูดว่า ‘ว้าว คนพวกนี้มีอยู่จริงแฮะ!’” ภาพยนตร์เรื่อง Horrible Bosses (รวมหัวสอยเจ้านายจอมแสบ) เกี่ยวกับเรื่องมิตรภาพมากกว่าการแก้แค้น เจสัน เบตแมน บรรยายถึงนิค เดล เคิร์ตว่าเหมือนกับ “อสูรกาย 3 หัว” มิตรภาพทวีตัวมากขึ้นด้วยปฏิสัมพันธ์โดยธรรมชาติระหว่างเบตแมน เดย์ ซูเดคิส “เวลาที่พวกเราทั้งสามอยู่ด้วยกัน เราเหมือนเป็นตัวหนึ่งเดียวกัน” เบตแมนกล่าวว่า “เซธนึกภาพเสมอว่าจะถ่ายทำพวกเราใน 3 ช็อต ไม่ใช่เพียงช็อตเดียว เพื่อสร้างกระจ่างว่าพวกเราทั้งสามอยู่ร่วมกันแล้วเหมือนเป็นหนึ่งเดียวกันได้อย่างไร” สเติร์นชี้ชัดว่า แต่ ‘อสูรกาย 3 หัว’ ก็ไม่ได้กลมเกลียวกันตลอด “ทั้งสามทรมานเพราะเจ้านายอย่างหนักในแบบที่ต่างกัน และผ่านประสบการณ์นั้นมาร่วมกัน” เขากล่าวว่า “พวกเขาเกิดความขัดแย้งกันขึ้นเวลาที่พวกเขาต้องผ่านประสบการณ์นี้ร่วมกัน พวกเขาก็เชื่อมั่นว่าจะช่วยโลกได้หากพวกเขาฆ่าเจ้านายพวกนี้ น่าแปลกที่เรื่องนี้ทำให้พวกเขาสนิทกันมากขึ้น มิตรภาพของพวกเขาคือประเด็นสำคัญของหนัง” ขณะที่เหล่าคนดีๆ ในเรื่อง Horrible Bosses (รวมหัวสอยเจ้านายตัวแสบ) พยายามก่อเรื่องวุ่นๆ ขึ้นมาเอง ในส่วนของบทบาทความตลกก็ช่วยให้เราแสดงถึงด้านมืดที่วัฒนธรรมของเรามีอยู่เสมอ “หนังเรื่องนี้ทำลายความงามที่อยู่รอบตัวไปค่อนข้างเยอะ” เควิน สเปซีย์ หัวเราะ “นั่นคือสิ่งที่ทำให้มันตลกสุด ๆ หากเราไม่สามารถทำลายความงามทั้งหลายไปได้ พวกเราก็จะทำให้ทุกอย่างดูจริงจังเต็มที่ เพรสตัน สเตอร์เจส เป็นแสดงความตลกที่ยิ่งใหญ่ตลอดการเอาไว้ในเรื่อง Sullivan’s Travels และประเด็นของหนังเรื่องนั้นคือบางครั้งเสียงหัวเราะก็เพียงพอแล้ว เสียงหัวเราะคือสิ่งสำคัญ”
แท็ก ภาพยนตร์  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ