กรุงเทพฯ--29 ก.ค.--บลจ. แอสเซท พลัส
บลจ.แอสเซท พลัส จะ Rollover 4 กองทุนตราสารหนี้ ผลตอบแทน 3.20-3.90% เปิดเสนอขายวันที่ 1 และ 2 สิงหาคมนี้
นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายการขายและการตลาด กล่าวว่า แผนการเสนอขายกองทุนตราสารหนี้ในเดือน สิงหาคม จะเน้นกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นๆ โดยเน้นลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศมากขึ้น เนื่องจาก สามารถให้ผลตอบแทนโดยรวมสูงขึ้น โดยอาจมีการลงทุนผสมระหว่างตราสารหนี้ไทย และตราสารหนี้ต่างประเทศตามความเหมาะสมกับภาวะการลงทุนในแต่ละช่วง เพื่อโอกาสในการรับผลตอบแทนที่ดีขึ้น
โดยในวันที่ 1 สิงหาคม นี้ บริษัทฯ จะ rollover 3 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดแอสเซทพลัสทรัพย์มั่นคง 6M1 (SIF-6M1) ซึ่งเป็นกองทุนตราสารหนี้ในประเทศ ที่เปิดเสนอขายทุกรอบ 6 เดือนโดยประมาณ โดยรอบการลงทุนนี้จะลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล และตราสารหนี้เอกชนในประเทศ ได้แก่ ตั๋วแลกเงินของธนาคารเกียรตินาคิน (KK) ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮาส์ (LHB) บจ.เอเซียเสริมกิจลีสซิ่ง (ASK) และบมจ. บัตรกรุงไทย (KTC) โดยคาดว่าสามารถให้ผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายได้อยู่ที่ 3.50% ต่อปี*
กองทุนเปิดแอ็คทีฟเอฟไอเอฟ 9 (ACFIF9) ลงทุนในลงทุนผสมระหว่างเงินฝาก ตราสาร ECP ในต่างประเทศ และตราสารหนี้เอกชนไทย ได้แก่ ตราสาร ECP ของ Industrial and Commercial Bank of China (ICBC) สาขาออสเตรเลีย เงินฝาก Bank of China สาขามาเก๊า ในสกุลเงินหยวน หุ้นกู้ของบริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรี จำกัด (RG) ตั๋วแลกเงินของ ธนาคารเกียรตินาคิน (KK) และบริษัท เอเซียเสริมกิจลีสซิ่ง จำกัด (ASK) มีรอบระยะเวลาประมาณ 9 เดือน โดยคาดว่าสามารถให้ผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายได้อยู่ที่ 3.75% ต่อปี* ทั้งนี้ กองทุนได้ทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวนในส่วนที่ลงทุนในต่างประเทศ
ส่วนกองทุนเปิดแอสเซทพลัสแอ็คทีฟพันธบัตร 3 (ASP-ACGOV3) จะเน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทย และตั๋วแลกเงินธนาคาร ได้แก่ ตั๋วแลกเงินของธนาคารเกียรตินาคิน (KK) และธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮาส์ (LH) โดยมีรอบระยะเวลาสั้นๆ ประมาณ 3 เดือน จึงเหมาะกับผู้ลงทุนที่ต้องการในตราสารที่มีความเสี่ยงต่ำในระยะสั้นๆ โดยคาดว่าสามารถให้ผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายได้อยู่ที่ 3.20% ต่อปี*
ทั้งนี้ กองทุน ACFIF9 และกองทุน ASP-ACGOV3 ได้แก้ไขโครงการจากกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ เป็นกองทุนตราสารหนี้ในประเทศ โดยยังสามารถลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศได้ ทั้งนี้ เพื่อสร้างความยืดหยุ่นให้กองทุนสามารถดำรงสัดส่วนการลงทุนทั้งในตราสารหนี้ในประเทศ และต่างประเทศได้อย่างเหมาะสมกับภาวะการลงทุน และกองทุนทั้ง 2 ได้เปลี่ยนชื่อเป็น กองทุนเปิดแอสเซทพลัสตราสารหนี้ทวีทรัพย์ 6 (ASP-TFIXED6) และ กองทุนเปิดแอสเซทพลัสตราสารหนี้ทวีทรัพย์ 7 (ASP-TFIXED7) ตามลำดับ ซึ่งจะมีผลตั้งแต่รอบลงทุนถัดไป ตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคม นี้
นางสาวจารุลักษณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศที่มีระยะเวลาลงทุนที่ยาวขึ้นยังสามารถให้ผลตอบแทนในระดับที่จูงใจ ดังนั้น กองทุนเปิดแอสเซทพลัสพรีเมี่ยมปันผล (ASP-PDI) ซึ่งเป็นกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ ที่มีนโยบายจ่ายเงินปันผล และจะ rollover ในวันที่ 2 สิงหาคม นี้ จะลงทุนในตราสารอายุประมาณ 1 ปี โดยจะลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีใต้ สัดส่วนประมาณ 55% ของพอร์ต เงินฝาก Bank of China สาขามาเก๊า ประมาณ 25% และตั๋วแลกเงินของธนาคารเกียรตินาคิน (KK) ประมาณ 20% โดยคาดว่าสามารถให้ผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายได้อยู่ที่ 3.90% ต่อปี*
“ทั้งนี้ กองทุน Rollover ทั้ง 4 กองทุน เป็นกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นที่คาดว่า จะสามารถสร้างโอกาสผลตอบแทนในระดับที่ดี ในช่วงอัตราดอกเบี้ยปรับตัวขึ้นโดยมีรอบการลงทุนประมาณ 3 เดือน — 1 ปี ซึ่งเป็นระยะเวลาการลงทุนที่เหมาะสม ตามช่วงการปรับตัวของดอกเบี้ยขาขึ้น” นางสาวจารุลักษณ์ กล่าว