บทสัมภาษณ์ “ดอม เหตระกูล” ทุ่มเต็มที่กับการแสดง “หนังหม่อมน้อย” เป็นครั้งแรก ใน “อุโมงค์ผาเมือง”

ข่าวบันเทิง Thursday August 18, 2011 16:10 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--18 ส.ค.--สหมงคลฟิล์ม บทบาท-คาแร็คเตอร์ สำหรับ “อุโมงค์ผาเมือง” ผมมารับบทเป็น “โจรป่าสิงห์คำ” ครับ สำหรับตัวโจรป่าสิงห์คำ พื้นเพเป็นลูกชาวนายากจน แล้วเหมือนเป็นคนที่พ่ายแพ้ต่อระบบก็เลยหนีเข้าป่าไปเพื่อเป็นโจร คอยปล้นคอยคุกคามผู้ที่มารุกรานอาณานิคมของเรา ซึ่งในช่วงประมาณ 500 ปีที่แล้วเป็นพม่า ซึ่งเจ้าหลวงส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนที่มาจากทางพม่า แล้วก็ยังมีคนเชื้อสายล้านนาไปสวามิพักตร์ ก็จะทำให้เรามีความรู้สึกกดดันในสังคม ออกปล้นคนรวยปล้นคนมั่งมีต่างๆ เหล่านี้ แต่ที่สำคัญคือสาเหตุเพราะว่าเป็นคนยากจนก็เลยมีความเก็บกดทางเพศพอสมควร คุณลักษณะนอกจากการปล้นแล้วก็จะมีการฉุดฆ่าข่มขืนด้วย ซึ่งสำหรับตัวละครตัวนี้ความซับซ้อนสำหรับภูมิหลังมันค่อนข้างเยอะ ทำให้การแสดงออกของตัวละครตัวนี้เป็นไปในทิศทางที่ค่อนข้างดิบ เถื่อน อาศัยชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในป่า แถมยังปากกล้า เป็นคนที่มีฝีปากมากคนหนึ่งด้วย ในเรื่องมีการปรับเปลี่ยนลุคและการแสดงไปยังไงบ้าง สำหรับบทผู้ร้ายก็มีผ่านมือไปบ้าง แต่ว่าพอมาคราวนี้ไม่ว่าจะเป็นที่อยู่อาศัยของเราเองเป็นป่าเขาลำเนาไพรอยู่กับน้ำตก อยู่กับป่าเยอะ การแสดงเรามันค่อนข้างจะไปในทิศทางที่ดิบเถื่อน แล้วก็ไม่ค่อยมีตัวช่วยเยอะ เพราะในเรื่องของการใช้เสียงหรืออะไรก็ตามก็ต้องค่อนข้างที่จะใหญ่ โดยการที่เป็นคนยากมันค่อนข้างที่จะโผงผาง การแสดงนี้ถึงแม้ว่าเล่นบทที่ตรงไปตรงมาแต่ขั้นตอนทางการแสดงก็ค่อนข้างซับซ้อน รูปลักษณ์ภายนอกก็ต้องตื่นมาแต่งตัวก่อนคนอื่นเขา 1-2 ชั่วโมงเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นผม ซึ่งก็เป็นผมยาว มีการติด Tattoo ต่างๆ เหล่านี้ ต้องไปเจอภูมิประเทศเองจริงๆ ถึงจะเล่นได้ อาจจะมีการซ้อมไม่กี่ครั้ง แต่สำหรับตัวบทก็ได้ทำการซ้อมมาแล้วตั้งแต่เวิร์คช็อปอยู่กับหม่อมน้อย ทีนี้อย่างอื่นก็จะเป็นการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมมากกว่าครับ เรื่องราวของ “อุโมงค์ผาเมือง” สำหรับ “อุโมค์ผาเมือง” เป็นบทประพันธ์ที่มีมาช้านานแล้วแล้วถูกนำมาเขียนใหม่เป็นภาคภาษาไทย ออริจินัลมาจากญี่ปุ่น แล้วก็ผลงานหนังครั้งแรกโดย “อากิระ คุโรซาว่า” ซึ่งหลังจากนั้น “ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช” ก็เขียนเป็นบทประพันธ์ในไทย เป็นบทประพันธ์ที่มีความลึกซึ้งในแง่มุมของตัวละคร ในแง่คิดไม่ว่าจะยุคสมัยหรือประเทศจะต่างกัน แต่ความขัดแย้งและความซับซ้อนมันก็ยังอยู่ในคนทุกคน ไม่จำกัดว่าจะอายุเท่าไหร่ ไม่จำกัดว่าจะเพศอะไร และไม่จำกัดว่าระยะเวลามันได้ผ่านล่วงเลยมากี่พันปีแล้ว คือเป็นสิ่งที่น่าคิดมาก แล้วบทประพันธ์ของเรื่องนี้คือ สิ่งที่คนเห็นอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนคิด และบางครั้งความดีที่เรามองเห็นในคนบางคนแน่นอนมันต้องมีบางมุมที่เป็นด้านมืด และด้านมืดที่ว่านั้นคือมันถูกไตร่ตรองมันถูกคิด จนกระทั่งแปลออกมาเป็นกระบวนการของการกระทำที่มันไม่ได้แย่ มันไม่ได้ผิด แต่ว่าจริงๆ แล้วเริ่มต้นจากความคิดจากด้านมืดเสียมากกว่า ซึ่งตรงนี้ไม่ว่าจะเป็นบทของพระอานนท์ บทของขุนศึกเจ้าหล้าฟ้า หรือว่าจะเป็นตัวของแม่หญิงคำแก้ว รวมถึงตัวของโจร ไม่ว่าจะเป็นสัปเหร่อหรือคนตัดฟืน คนเหล่านี้มีแง่มุมให้ได้คิดตั้งแต่คนชั้นล่างสุดของสังคมไปจนถึงคนชั้นสูงสุดในวงสังคมอย่างตัวละครของสิงห์คำก็อย่างที่บอกไปข้างต้น เป็นผู้พ่ายแพ้แก่ระบบ เป็นการพลิกผันกลับมาด้วยการกระทำเยี่ยงโจร บางครั้งในทัศนคติมันอาจจะถูกต้อง วิธีการที่ทำมันผิด แต่บางคนอยู่ในสถานะที่ทำอะไรก็ถูก แต่สิ่งที่ใช้วิจารณญาณว่าเราจะทำการนี้มันผิด ดังนั้นมันเป็นมุมมองให้ได้มอง แม้กระทั่งพระอานนท์ในเรื่อง ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดเกิดจากพระอานนท์ฟังการตัดสินคดีความคดีหนึ่ง ก็เกิดไม่มั่นใจกับสิ่งที่เราได้ยินได้ฟังจากคำให้การของบุคคลถึงสามคน มันทำให้ไม่อยากใช้ชีวิตอยู่ในธรรม มันจะเป็นอะไรกันแน่ ก็เกิดข้อสงสัยในวิชาที่เรียนพระพุทธศาสนา ถ้าเกิดพูดรวมๆ มันน่าจะเป็นเรื่องที่เกิดจากพระพุทธศาสนา ซึ่งแม้แต่พระเองก็ยังหลงทาง แต่ท้ายที่สุดแล้ว จากการฟังคำของคนต่างๆ การตัดสินโทษรวมไปถึงการหาคำตอบในบทสรุปต่างๆ เหล่านี้ ความจริงจะค่อยๆ เปิดเผยขึ้นทีละน้อยๆ แต่ถามว่าจริงๆ แล้วท้ายที่สุดของบทประพันธ์นี้ การตัดสินไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนไม่กี่คน แต่ว่าการตัดสินอยู่ที่คนดู เพราะจริงๆ แล้วคุณจะให้ใครถูกคุณจะให้ใครผิดในเรื่อง ซึ่งมันเป็นความแยบยลทางบทประพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นตัวของผู้ประพันธ์บทเองจากญี่ปุ่น มาจนถึงการแปลและเป็นบทประพันธ์ของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ก็มีความลึกลับและซับซ้อนมาก หลายๆ คนที่ได้อ่านบทประพันธ์ของเรื่องนี้ไปแล้ว ก็จะมีความรู้สึกประทับใจเพราะมันให้แง่มุมเยอะ บางทีอ่านแล้วซึ้งน้ำตาไหล แล้วแต่ประสบการณ์ของผู้อ่านแต่ละคนมันไม่เท่ากัน มันทำให้มองเห็นในระดับที่แตกต่างกัน บทสรุปของแต่ละคนนั้นย่อมไม่เท่ากัน และนี่คือความแยบยลของบทประพันธ์และการตีความต่างๆ ซึ่งครั้งหนึ่ง “หม่อมน้อย” ท่านเองก็เคยเป็นผู้กำกับละครเวที “ราโชมอน” แต่คราวนี้ถูกนำมาทำในเวอร์ชั่นของหนัง โดยรวมมันจะเรียลิสติกมาก ได้รู้วิถีชิวิตของคนไทยล้านนาเมื่อ500 ปีที่แล้ วมีเรื่องของค่านิยมทางความคิด มีเรื่องของกฎระเบียบการกระทำต่างๆ เกียรติศักดิ์ศรี และความเป็นผู้ชายความเป็นผู้หญิงอยู่ ซึ่งปัจจุบันนี้สังคมมันจะแปรเปลี่ยนไปเยอะ ผู้หญิงเองก็พยายามทำอะไรหลายๆ อย่างขึ้น เพื่อให้เกิดการยอมรับในวงสังคม แต่แน่นอนมันก็ยังมีอีกหลายคนที่ไม่อยากได้เจ้านายเป็นผู้หญิง มีผู้หญิงอีกหลายคนที่พยายามจะไฟท์เพื่อขึ้นมาว่า สิ่งที่เราทำนั้นมันถูกต้อง มันมีความขัดแย้งอยู่เนืองๆ ของชนชั้นสูงกับคนชั้นล่าง เกิดเป็นวรรณะขึ้นมา เราพยายามเหยียบกันไว้ แล้วเราก็บอกว่าไม่มีอะไร เราอยู่กันอย่างสันติ ความเป็นจริงแล้วเรื่องความคิดมันก็ยังมีอยู่แล้วในเรื่องนี้ ผมว่าน่าติดตามชมมาก โดยเฉพาะนักศึกษาไม่ว่าจะเป็นในสาขาวรรณกรรมหรืออะไรก็ตาม ลองมาดู เพราะนี่มันคือความซับซ้อนทางจิตวิทยา เป็นสิ่งที่คนเราไขว่คว้าในวันหนึ่งคนเราออกกฎขึ้นมาเพื่ออะไร เราอยู่กันอย่างผาสุก หรือท้ายที่สุดแล้วหนทางแห่งอิสระนั้นเป็นหนทางที่ผาสุกกว่า มันเป็นเหมือนแง่คิดให้เราได้ประมวลว่า ท้ายที่สุดแล้วตัวเราเองเป็นตัวละครตัวไหนในเรื่อง สะท้อนแง่มุมของมนุษย์ได้จริงๆ แต่ผ่านเหตุการณ์ของมนุษย์ที่ค่อนข้างรุนแรงกระทบกระเทือนและสะเทือนจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นการฆ่ากัน การข่มขืน เหตุต่างๆ เหล่านี้มันเป็นเหตุจูงใจ พอมานั่งคิดแม้แต่คนที่นิ่งที่สุดอย่างพระอานนท์ก็ยังเกิดความสงสัย ความยากง่ายของตัวละครตัวนี้มันต้องเล่นหลายแง่มุมใช่ไหมตัวโจรป่าสิงห์คำผมว่าความยากน่าจะอยู่ตรงที่การแสดงซึ่งค่อนข้างดิบเถื่อน เป็นคนหนีสังคม เป็นคนขว้างโลกโผงผาง เราไม่มีกฎ เราไม่มีระเบียบ เราทำทุกอย่างที่เราอยากจะทำ ฉุดฆ่าใครก็ได้ เราจะไปปล้นสะดมใครก็ได้ เราหิววันนี้เราจะกินจะใช้ชีวิตเหมือนสัตว์ แต่ความง่ายของมันอยู่ที่เรื่องของเรา คนที่มองเห็นสิงห์คำ ถ้าเล่าถึงตัวเองเราเป็นโจร เรามีชีวิตที่อิสระ ถ้าแม่หญิงคำแก้วเล่าเราจะเป็นผู้ชายที่เลวมากเพราะเราไปข่มขืนเขา สำหรับเจ้าหล้าฟ้าเองก็จะเป็นอีกมุมหนึ่ง ท้ายที่สุดคนที่วงนอกก็จะมองเห็นสิงห์คำเป็นอีกอย่างหนึ่ง แม้กระทั่งสัปเหร่อ, คนตัดฟืน หรือพระเองก็มีมุมมองต่อโจรสิงห์คำในใจต่างกันไป แต่มันอาจจะไม่ได้ชัดมาก เพราะว่าพระอานนท์ฟังจากคนอื่นมาอีกทีหนึ่ง ดังนั้นการเล่นของสิงห์คำเป็นไปในทิศทางเดียวไม่ยากแต่มันต้องคงเค้าโครงของมันไว้ เพื่อให้เกิดความสอดคล้องว่าท้ายที่สุดแล้วแต่ละคนมันจะมีความคล้ายคลึงกันอยู่ การซ้อมก่อนการถ่ายทำจริงของหม่อมน้อยเป็นส่วนที่ช่วยในการแสดงมากน้อยแค่ไหนต้องยอมรับว่าผมอยู่ในวงการนี้มานาน การทำงานกับหม่อมน้อยเรื่องนี้ก็เป็นครั้งแรก หม่อมก็ได้ให้แง่คิดต่างๆ ที่เกี่ยวกับการวางรากฐานของตัวละครวางพื้นฐานของตัวละคร ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นสิ่งที่หลายๆ คนมักจะลืม บางทีได้บทมา เราอ่านเราไม่คิดหรอกว่าอะไรยังไง เราคิดไม่ออกด้วยซ้ำว่าตัวละครที่เขาให้มามันควรอายุเท่าไหร่ แต่คือหม่อมจะให้แง่มุมที่สะท้อนมาว่า ทำไมคุณถึงเป็นโจร ทำไมเราต้องปล้น ก็เราไม่มีจะกิน อ๋อ...แปลว่าเราครอบครัวยากจน คือมันจะอ้างอิงไปถึงบางอย่าง ทำไมเราถึงข่มขืน อันนี้มันน่าคิด เราก็มองย้อนเราไม่ได้รับการเหลียวแลจากสาวๆ เพราะอะไรถึงไม่ได้รับการเหลียวแล คือเพราะเราจน เราครอบครัวยากไร้ เราไม่มีการศึกษา เราดิบเถื่อน พอเราได้ขัอมูลต่างๆเ หล่านี้ขึ้นมา มันจะเป็นการวางรากฐานของตัวละครขึ้นมา เราใช้ชีวิตอยู่กับอะไร เราอยู่กับป่าเราอยู่กับเขาต่างๆ เหล่านี้ ซึ่งวิธีการสอนของหม่อมนอกจากการวางรากฐานแล้วยังให้พัฒนาการย้อนหลัง เพื่อไปดูโจรในวัยเด็กเองที่เคยเห็นหญิงคนหนึ่งนั่งเสลี่ยงผ่านไป แม่หญิงดูสวยจับใจมาก นี่มันเป็นความประทับใจครั้งแรก เหมือนเราเห็นทะเลครั้งแรก ทุกคนจะต้องวาดเหมือนกันหมดคือมีเส้นขอบฟ้ามีภูเขา พระอาทิตย์กำลังจะตกหรือกำลังจะขึ้นก็ไม่รู้ มีนกบินมีเมฆมีต้นมะพร้าวเป็นความประทับใจของเด็กที่เห็นทะเลครั้งแรก และเมื่อพูดถึงน้ำตก เราก็จะเห็นน้ำไหลลงมา นี่คือรูปวาด นี่คือความประทับใจ นี่คือการวางรากฐานของตัวละคร มีวิธีที่นำเสนอมากกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของจิตวิทยา เรื่องของการให้คอมเม้นต์ ซึ่งตรงนี้เองที่หม่อมจะเปิดโอกาสให้ตัวนักแสดง คุณอยากจะใส่อะไรเพิ่ม คุณคิดว่าเขาควรจะเป็นยังไง เขาควรจะกิน ดื่ม หลับ นอนยังไง เป็นต้น โดยที่ไม่ต้องมีอะไรมาวุ่นวาย แล้วมันทำให้ตัวละครเข้าใจได้ง่าย คนที่มาเล่นเองเข้าใจได้ง่าย และยังถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดของตัวละครตัวนี้ไปให้คนอื่นๆ ได้เห็น ได้รับรู้ทิศทางของมันต่อไปในอนาคต โจรที่ไม่ถูกจับจะเป็นยังไง โจรที่ไม่ถูกประหารชีวิตจะเป็นยังไง เขาจะใช้ชีวิตต่อไปยังไงในสังคม มันเป็นเบื้องหน้าและภูมิหลังอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าพูดง่ายๆ คือการสร้างบ้านให้ตัวละครตัวหนึ่งอยู่ ถ้าสมมติตัวเองว่าทุกครั้งที่ออกมาจากบ้าน คนต้องไปทำงาน ลองซักวันที่เมาเละหัวราน้ำ ผมบอกเลยครับทุกคนจะทำอะไรทุกอย่างเพี้ยนไปหมดเลย ตั้งแต่เช้านี้เราต้องเข้างานหรือเปล่า จะต้องกลับไปอาบน้ำแปรงฟันหรือยังไง ทุกอย่างจะบิดเบี้ยวไปหมด นี่คือการสร้างบ้านหรือการวางรากฐานให้ตัวละคร การวางรากฐานตรงนี้มีส่วนช่วยพี่ดอมมากน้อยแค่ไหนจากการที่เคยมีประสบการณ์มาแล้วดีครับ มันทำให้การพูดไดอะล็อค การรู้สึกนึกคิดของเรา มันจะเป็นไปในทิศทางที่ตัวละครตัวนั้นเป็น มันไม่ได้เป็นไปในทิศทางที่เราควรจะพูดบอกคนบอกว่าจำบทไม่ได้ แต่จริงๆ คือไม่ได้จำบท แต่ถ้าว่าวันนี้เราเป็นสิงห์คำ มันทำให้เรากลืนกินคำพูดทุกอย่างย่อยในกระเพาะดูดซึมไปในกระแสเลือดในตัวเรา การขยับตัวมูฟเม้นต์ของตัวเราทั้งหมดนี่แหละ มันเป็นอุบายที่แยบยลมากในการเรียนการสอนของหม่อม คือการอยู่ในป่ามันต้องดุดัน มันต้องแข็งแรง แต่ถามว่าเราจะแข็งแรงไปกว่าทุกสรรพสิ่งไหมนั้น ก็เปล่า อย่าลืมว่าถึงแม้ว่าเราจะตัวใหญ่มากในกลุ่มคนของเรา แต่เราก็เล็กมากสำหรับธรรมชาติ การเรียนรู้วิถีของสิงห์คำเป็นวิถีหนึ่งที่ต้องใช้ความพยายาม ในขณะที่อนันดาหรือเจ้าหล้าฟ้าเขาจะเป็นที่ลักษณะสง่างาม แต่ซ่อนความรู้สึกทุกอย่างไว้ข้างใน ข้อขัดแย้งที่เกิดทุกอย่างในวงสังคม ความรู้สึกกดดันที่เกิดขึ้นต่อหน้าผู้คนต่างๆ มันทำให้เขารู้สึกต้องนิ่งต้องเย็นเพื่อกลบทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ในขณะที่สิงห์คำคิดจะทำอะไรๆ ก็ได้หมด การร่วมงานกับภาพยนตร์เรื่องนี้ โอกาสนี้หาได้ยากมากนะกับนักแสดงคนหนึ่งอย่างผม คือไม่ว่าจะเป็นทีมงานโปรดักชั่นของหม่อมน้อยก็ได้รับรางวัลกันมาแล้ว หม่อมเองก็บอกว่าจะไปคิดอะไรกับมันมากก็แค่รางวัล เราต้องอย่าไปยึดติดกับอดีตและอย่าไปคาดหวังกับอนาคต นี่คือสิ่งที่หม่อมมักจะบอกอยู่เสมอ อนันดาและพลอยเขาก็ร่วมงานกันมานานเรียกได้ว่าเป็นลูกศิษย์กลูกหม้อของหม่อมเองเลยก็ว่าได้ เขาค่อนข้างเข้าขากันดี แล้วเราก็ต้องตามให้ทัน อีกฝั่งหนึ่งก็คือเรื่องราวของเราทั้งสามคนที่เกิดขึ้นมันกลับกลายเป็นเรื่องเม้าท์ของคนอีกกลุ่มหนึ่งก็คือ สัปเหร่อ ซึ่งนำแสดงโดยพี่อ๊อฟ พงษ์พัฒน์, คนตัดฟืน แสดงโดยพี่หม่ำ แล้วก็พระอานนท์ โดย มาริโอ้ สามคนนี้เขาจะจับกลุ่มนั่งคุยกัน พูดถึงสิ่งที่มันกำลังผ่านไป มันก็จะเป็นไปอีกอย่างหนึ่ง เป็นทีมตะกร้อสองทีมกำลังสู้กันอยู่ เราต้องนึกว่ายังไงดี เราอาจจะนึกถึงเรื่องทิวทัศน์ที่สวยงาม การสู้กัน การข่มขืน การฆ่ากัน สิ่งที่อยู่ในก้นบึ้งหัวใจของทั้งสามคน สิ่งนี้คือสิ่งที่เราต้องนำออกมาให้เกิดบทสรุปในตอนท้าย เพื่อให้ผู้ชมหลายๆ คนได้ชมได้ติดตาม ปัจจุบันหม่อมก็จะพูดถึงบ่อยๆ เรื่องของข่าว Gossip ของดาราคนนั้นเป็นคู่คนนี้ แล้วจริงๆ แล้วมันไม่มีใครเห็นภาพนั้น เพราะเวลาเขาอยู่กันสองคนอยู่ในรถกันสองคน หรือไปเที่ยวไหนต่อไหนกันสองคน ไม่มีใครรู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นคืออะไร แต่ทุกคนจะเดากันไปเอง มันทำให้เราหยุดความคิดของเรากันแค่นั้น และเราก็จะเล่ากันแต่ข้อมูลเดิมๆ บางคนมันก็อย่างนี้แหละ โดยที่ไม่ได้ชั่งใจกับปัจจุบันที่เราอยู่กัน พอย้อนกลับมาเรื่องของอนันดากับพลอยถึงแม้ว่าเขาจะมีผลงานแสดงที่ร่วมกันมาพอสมควร สำหรับการเข้าขาในเรื่องนี้เขาเองที่เป็นคู่ที่มีความขัดแย้งกันอยู่กลายๆ ซึ่งโจรก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลยกลายเป็นตัวแปรอยู่ตรงกลางระหว่างความขัดแย้ง มันก็เลยทำให้รู้สึกว่าเราต้องไปร่วมอยู่ในวงเสวนาด้วยหรือเปล่า เราก็ต้องดันตัวเอง แต่ถ้าดันตัวเองออกมาก็กลายเป็นว่าเราจะเล่นไม่เข้าขากัน ดังนั้นการซ้อมของหม่อมการที่เรียกมาทำเวิร์คชอปมันเป็นสิ่งที่ดีมาก แล้วต้องบอกอีกอย่างไม่ว่าจะเป็นคุณอนันดา, พลอย หรือตัวหม่อมน้อยสมแล้วครับที่ได้รางวัลกวาดกันมาเยอะแยะขนาดนั้นในทุกๆ เวที ซึ่งนับถือมากครับไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของน้ำใจ ความสามารถ ความทุ่มเท นอกจากนี้ยังมีทีมงานท่านอื่นๆ ด้วยซึ่งไม่ว่าจะทีมงานช่างไฟ เสียง กล้อง มองทุกอย่างผ่านความสวยงาม สิ่งนี้ทำให้พี่ดอมต้องปรับตัวมากน้อยแค่ไหนหรือเป็นสิ่งที่ทำให้เราทำงานสนุกมากขึ้นเมื่อมาเจอทีมนี้ถ้าต่อยมวยต่อยกับคนไม่เก่งเราก็จะไม่เก่ง การทำงานแบบนี้มันช่วยให้เราพัฒนาตัวเองกับรูปแบบการทำงานที่หลายๆ รูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้มทำพรีโปรดักชั่น ทำเวิร์คชอปกับหม่อมเอง ซึ่งหม่อมจะให้ความสำคัญกับรายละเอียดสิ่งสำคัญต่างๆ ไปจนถึงองค์รวมด้วย การทำงานกับทีมงานทั้งหมด การทำงานกับนักแสดงท่านอื่นๆ ทำให้เรามองเห็นแง่มุมของการทำงานต่างๆ เยอะ ซึ่งตรงนี้เองถือว่าเป็นความภูมิใจ ถ้าถามปรับตัวเยอะไหมคือ ตัวผมเองปัจจุบันค่อนข้างยุ่ง ยุ่งกับงานของตัวเองเยอะ พยายามที่จะเจียดเวลามา เพราะเราก็เชื่อมั่นในคำมั่นสัญญาที่ได้ให้ไว้กับหม่อมว่า ถ้าเกิดรับเล่นแล้วก็จะเต็มที่ จะทำให้ได้ดีที่สุดอย่างที่หม่อมอยากจะได้ แต่อย่างหนึ่งที่เราต้องเข้าใจคือความทุ่มเทอย่างเดียวมันไม่พอ คือมันต้องมีเวลา ซึ่งเวลาเป็นสิ่งที่เราเองก็ต้องหา โอกาสนี้มันมีไม่บ่อยนักที่จะได้ร่วมงานกับบุคลากรชั้นนำในวงการครับ การร่วมงานกับอนันดา มีฉากแอ็คชั่นสู้กันด้วย เป็นยังไงบ้างสำหรับฉากแอ็คชั่นของโจรป่ากับขุนศึกในเรื่องมันเป็นสรุปการเล่าเรื่องของคนสองคนคือ โจรป่ากับคนตัดฟืน จากการทำงานก็ทำงานตามบริเวณน้ำตกแต่สิ่งที่มันแตกต่างกันก็คือ คนหนึ่งเล่าจากจินตนาการของตัวเองกับอีกคนหนึ่งเล่าจากสิ่งที่เขาเห็น การฝึกซ้อมก็ใช้เวลาพอสมควร ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของการคิดกระบวนการของท่าต่างๆ ไปจนถึงการลงพื้นที่จริง ซึ่งการลงพื้นที่จริงมันมีความยากลำบากตรงที่พื้นผิวและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เหล่านี้ มีทิวทัศน์ที่เป็นหน้าผาใหญ่มากแล้วตัวแสดงก็ตัวเล็ก ดังนั้นสิ่งที่เคลื่อนไหวในฉากใหญ่ๆ อย่างโรงละครอะไรประมาณนี้ นักแสดงต้องเล่นให้ใหญ่ จะสู้กันก็ต้องทำให้ออกมาใหญ่ แต่พอไปอีกเรื่องหนึ่งมันก็ต้องวุ่นวายมันคือบทสรุปของการเอาชีวิตรอดและต้องทำงานแข่งกับเวลาพอสมควร แล้วถ่ายทำที่น้ำตกหมอกฟ้า มันอยู่ในหุบเขามันมืดค่อนข้างเร็ว ก็ต้องดิ้นรนกันพอสมควร ก็ฟกช้ำกันเยอะ ดาบที่ใช้ก็ตีนิ้วกันน่าดู มีหินเต็มไปหมด อยู่ในป่าถ่ายทำอยู่ทั้งวันกับสองฉากนี้ ได้ร่วมงานกับพี่พันนาด้วยใช่ครับ ทางทีมพี่พันนาต้องยอมรับว่าเซียนมากแม่น แน่น อุปกรณ์ครบ มีการถ่ายทอด มีการทดลองทุกอย่างในเรื่องของมุมมองและในเรื่องต่างๆ ให้ได้เห็นกันชัดเจน แล้วก็ที่สำคัญที่สุดคือ เรื่องของการปรับเปลี่ยน เพราะว่าจากสตูดิโอหรือที่ฝึกซ้อมของพี่พันนามาลงพื้นที่จริง มันก็ต้องมีเรื่องของการปรับเปลี่ยนไป บางครั้งก็ไม่รู้จะวิ่งยังไงเพราะในห้องซ้อมของพี่พันนาเองก็ไม่ได้มีอะไรเยอะ เพราะมันไม่มีต้นไม้มีน้ำตกหรืออะไรให้เห็น แต่พอได้ลงพื้นที่จริงบอกได้เลยว่าเร็วมาก พอหม่อมมาดูหม่อมก็บอกว่ามุมนี้ดีกว่าแล้ว พี่พันนาก็บอกว่าเดี๋ยวผมเล่นให้ดูก่อน เขาก็ฟันดาบกันแล้วก็บรรยากาศที่มีน้ำตกไหลลงมา เราก็แอบคิดว่เราจะทำได้ไหม ผมก็มองหน้ากับอนันดาแต่สุดท้ายก็เล่นกันได้ ซึ่งจุดหนึ่งมันก็อาจจะไม่ได้แนบเนียนอย่างที่ทีมงานพี่พันนาเขาเล่นกัน แต่ทีมงานพี่พันนาก็จะบอกว่ามันก็สตั๊นท์แมนเล่นครับ ยังไงมันก็คือสตั๊นท์แมน แต่ถ้าเกิดเราเล่นเองแล้วมันเนียนมันดูทุลักทุเลสมจริงกว่า ซึ่งสมัยนี้มันหายากแล้วสำหรับฉากแอ็คชั่นในสมัยก่อนที่เป็นฉากขาวดำนั้นคือเขาต่อยกันจริงๆ แต่พอมายุคนี้มันเปลี่ยนไป เรามีสายงานที่ผลิตนักแสดงสร้างงานต่างๆ เหล่านี้นั้นมันก็ดีขึ้นตามลำดับ วันนั้นเหนื่อยมากครับ เสียงหายเดินกลับคอห้อยกันหมดเลย โดยส่วนตัวแล้วมีความประทับใจฉากไหนเป็นพิเศษจริงๆ แล้วเป็นคำถามที่ตอบง่าย แต่ความหมายมันเยอะ มันประทับใจหมดเลย เพราะจากที่ได้ร่วมงานมาเป็นโปรดักชั่นที่ทำงานได้เร็ว มีการฝึกซ้อมที่แน่น มีการเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง ทำให้ทุกคนที่อยู่ในที่นี้นั้นทำงานกันได้อย่างลงตัวและเร็ว พอมาถึงเรื่องสถานที่การถ่ายทำ เรื่องของสวัสดิการการอำนวยความสะดวกทุกอย่าง ทีมพร็อพ ทีมต่างๆ คือทุกอย่างมันลงตัว ทีมงานก็เหนื่อนย ตัวแสดงก็เหนื่อย แต่ผมคิดว่าคงไม่เหนื่อยเท่าทีมงาน หม่อมเองยิ่งเหนื่อยเพราะหม่อมต้องมาลงถึงเรื่องความรู้สึกนึกคิด การควบคุมภาพ การดูทางแสง การจัดพร็อพหรืออะไรต่างๆ ดูแลความเรียบร้อยเหมือนเป็นพ่อของโปรเจ็คต์นี้ มีความประทับใจที่ได้ทำงานร่วมกับอนันดา พลอย และได้เจอกับมาริโอ้บ้าง พี่อ๊อฟบ้างและพี่หม่ำ อันนี้คือได้เจอหลังเฟรม ซึ่งแต่ละคนก็น่ารักและพยายามตามล่าหาสิ่งใหม่ๆ มาลง ทำให้สนุกมากและประทับใจมากครับ นานๆทีจะได้เห็นพี่ดอมเล่นหนังแบบนี้ ส่วนตัวคาดหวังกับหนังเรื่องนี้ยังไงบ้างคาดหวังอะไร ผมคาดหวังในเรื่องแง่คิด ทำยังไงให้คนดูได้คิดจากแง่มุมของชีวิต คือจริงอยู่ว่านักแสดงที่ได้มาอยู่ในนี้เป็นนักแสดงที่มีคุณภาพผ่านงานกันมาแล้วกวาดรางวัลกันก็เยอะ คือตัวผมเองคงไม่เท่าไหร่ แต่องค์โดยรวมการตัดสินใจของตัวหม่อมเอง ผมคิดว่าเรี่องนี้เป็นหนังสวยทางความคิดเยอะ ก็คือดูได้ดูแล้วดีมีฉากสะเทือนอารมณ์ รู้สึกกดดันมีคำถามอยู่ในใจ เพราะว่าการทำหนังมันมีพัฒนา 3 คุณลักษณะ พัฒนาทางด้านอารมณ์ ดูแล้วทำให้คลายเครียด ต่อมามีการพัฒนาทางด้านสมอง เพราะยิ่งเรื่องมันซับซ้อนมากเท่าไหร่คนได้ใช้ความคิดตาม มองเห็นหนทางแก้ไขและอื่นๆอีกมาก พอออกจากโรงหนังมันทำให้เราประเมินว่าบางสิ่งบางอย่างที่เกิดขึ้นในโรงหนัง มันเกิดขึ้นกับเราหรือเปล่า และอย่างสุดท้ายคือ เรื่องของการยกระดับจิตใจ เพราะแน่นอนมันมีเรื่องถูก มันต้องมีเรื่องผิด เราจะทำอะไร เราต้องเลือก มันเป็นการทะนุบำรุงจริยธรรมและอื่นๆ อีกมาก คือคนทุกคนอยากเป็นฮีโร่ เพราะว่าเราได้แรงบันดาลใจ มันยกกระดับมาแล้วว่าเราต้องทำความดี เราต้องยับยั้งอะไรต่างๆ เหล่านี้ มันเป็นการยกระดับทางจิตใจ แต่ท้ายที่สุดแล้วเราไม่สามารถตัดสินปัญหาด้วยกำลังได้อย่างเดียว ดังนั้นมันจะมีแง่มุมที่วันหนึ่งเราเองต้องไปหาคำตอบ และถ้าวันหนึ่งเราทำสำเร็จ เราก็จะกลับมามีอารมณ์ที่แจ่มใส ทั้งสามหัวข้อนี้หม่อมเป็นคนสอนอันนี้ต้องยกให้หม่อมเพราะมันเป็นสิ่งที่ได้กลับมา คือ 3 อย่างที่กล่าวมานี้มีใน “อุโมงค์ผาเมือง” แน่ๆ มีเต็มเหนี่ยว คือผมว่าเป็นบทประพันธ์ที่ดี คือบางช่วงอาจจะหนัก บางช่วงอาจจะได้ให้ขำขันกันบ้าง แต่แน่นอนว่ามันเป็นการพลิกบทบาทของใครหลายๆ คน และเนื้อเรื่องให้แง่คิดแน่นอนครับ

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ