บทสัมภาษณ์ อนันดา เอเวอริงแฮม กับอีกหนึ่งบทบาทการแสดงขั้นเทพ ใน “อุโมงค์ผาเมือง”

ข่าวบันเทิง Monday August 22, 2011 17:09 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--22 ส.ค.--สหมงคลฟิล์ม บทบาท-คาแร็คเตอร์ และการดำเนินเรื่อง ในเรื่อง “อุโมงค์ผาเมือง” ผมเล่นเป็น “ขุนศึกเจ้าหล้าฟ้า” ครับ คาแร็คเตอร์ของขุนศึกก็เป็นคนนิ่งสุขุม เป็นคนสง่าหน่อย เป็นคนไว้ตัวระดับหนึ่งตามที่เจ้าสมควรที่จะเป็น โดนเลี้ยงมาอย่างดี เรื่องนี้เกิดขึ้นตอนที่ขุนศึกกับภรรยากำลังเดินทางไปอีกเมืองหนึ่ง ระหว่างทางก็โดนดักทางโดยโจรป่าสิงห์คำที่พี่ดอมเขาเล่น เหตุการณ์ทุกอย่างมันก็จะเกิดจุดนั้นเป็นต้นไป ให้เล่าเรื่องมันยากมากเลย เพราะว่าเรื่องนี้มันมี 4 เวอร์ชั่น หลังจากนั้นก็จะมีเรื่องของการฆาตกรรมเกิดขึ้น มีข่มขืน หลังจากนั้นไปมันก็จะเป็นเวอร์ชั่นของตัวละครแต่ละตัว ว่าเขาจะเล่าในเชิงตัวเองให้เป็นอย่างไรบ้าง คือพอเกิดเหตุขึ้นมาเนี่ย มันก็ต้องไปให้การกันถึงศาล ต้องบอกก่อนว่าตัวขุนศึกเนี่ยเป็นตัวละครที่ถูกฆาตกรรม ภรรยาผมเนี่ยแม่หญิงคำแก้ว ตัวละครของพลอยเฌอมาลย์เนี่ย ก็โดนข่มขืนด้วย หลังจากนั้นพอไปถึงศาล ตัวละครแต่ละตัวก็ให้การไม่เหมือนกัน ทุกตัวละครก็จะเล่าเรื่องดีเข้าตัวตลอด ก็แบบปรุงแต่งให้ตัวเองดูดีที่สุดเท่าที่จะดีได้ ความยากง่ายในการแสดงหนังพีเรียดเรื่องนี้ หนังพีเรียดก็เคยเล่นมาหลายเรื่องแล้วนะครับ มีทั้ง ชั่วฟ้าดินสลาย, ปืนใหญ่จอมสลัด มีละครเรื่อง ในฝัน แต่ส่วนมากเจอหนังพวกนี้ก็เล่นกับหม่อมทั้งนั้นเลยครับ เรื่องนี้มันก็ได้เล่นตัวละครใหม่อีกตัวหนึ่ง ซึ่งทุกตัวละครมันก็ไม่ได้เล่นเหมือนกันอยู่แล้ว ที่แตกต่างมากที่สุดคือโจทย์ของตัวละครนี้ที่มันแตกต่างไปจากตัวละครอื่นที่เคยเล่นมา โจทย์ของตัวละครนี้ก็คือว่าถูกมัดไว้ทั้งเรื่อง ถูกมัดมือถูกปิดปากขยับไม่ได้พูดไม่ได้ คราวนี้วิธีสื่อสารกับคนดูมันก็จะเปลี่ยนไปจากตัวละครอื่นๆ ที่เคยเล่นมาที่มีเสียงมีกิริยาที่สื่อสารกับคนดู แต่เรื่องนี้แทบจะไม่มีอะไรเลยที่สื่อสารกับคนดูเลย อย่างตัวละครที่ไม่พูดจะบอกว่าเขาเป็นตัวละครที่ไม่มีความคิดมันก็ไม่ได้นะ อย่ามาเข้าใจว่าการที่ขยับตัวไม่ได้พูดไม่ได้คืออุปสรรค จริงๆ มันกลับเปิดช่องให้เราสื่อสารอีกแบบหนึ่งด้วยซ้ำไป ก็เลยให้เรากลับมาโฟกัสเรื่องของไดอะล็อกของตัวละครว่าระหว่างที่เหตุการณ์มันเกิดขึ้นอยู่ เขาคิดอย่างไร เขารู้สึกอย่างไร เขากำลังพูดอะไรอยู่เนี่ย ซึ่งเรารู้สึกว่าถ้าเราโกรธอยู่ เขาก็รู้ว่าเราโกรธ ไม่ต้องพูดอะไรหรอก เราก็ดูออกว่าเศร้าอยู่ มันก็ดูออก มันแค่ต้องห้ามชะล่าใจเฉยๆ ว่ามันง่ายมากแค่เล่นเป็นพอ มันไม่ต้องพูด พอเราชะล่าใจแล้วเราเล่นแค่เปลือกของมัน ก็ทำตาเครียดไป ทำหน้าเศร้าไป แต่จริงๆ แล้วเราก็คิดว่าทุกๆ เวลาเรากำลังพูดคุยกับตัวละครทุกตัวอยู่ เราก็พึมพำอยู่ในปากเหมือนกัน เหมือนแบบกูเกลียดมึงมากเลย มึงแย่มาก คือบางทีก็จะให้มันช่วยพูดความคิดให้มันเกิดขึ้นมา เก็บกดด้วยนิดหน่อย เพราะว่าตัวละครคนอื่นเขาพูดอยู่ตลอดเวลา เราอยากจะพูดกับเขามาก บรรยากาศการถ่ายทำเป็นยังไงบ้าง หนาวมากแต่ก็ดี เพราะปีนี้เรารู้สึกว่ามันแปลกๆ คือเราอาจจะติดความรู้สึกจาก “ชั่วฟ้าฯ” อากาศร้อน พอมาเรื่องนี้มาได้เจอกับอากาศหนาวมันก็ดีนะ อย่างน้อยก่อนปิดกล้องก็ได้เจอกับอากาศหนาวๆ บ้าง คือผมไม่ค่อยเท่าไหร่หรอกเพราะชุดผมมันเยอะอยู่แล้วไง เป็นขุนศึกชุดมันแต่งตัวเยอะ เรื่องนี้ใส่อยู่ประมาณ 3-4 ชั้นอยู่แล้ว แค่เฉพาะผ้าคลุมนี่ก็หนักไม่รู้กี่โลแล้ว ผมไม่มีหนาว ผมสงสารพี่ดอมมากกว่า พี่ดอมใส่เตี่ยววิ่งไปวิ่งมาอยู่ในอุณหภูมิ 8 องศาก็เหนื่อยเหมือนกัน คงหดหายไปหมดเลย ผมก็สงสารเขา เรื่องนี้เมคอัพกับคอสตูมจัดเต็ม เรื่องของเมคอัพกับคอสตูม จริงๆ มันก็เป็นสิ่งที่ช่วยเรื่องของการแสดง มันเป็นสิ่งที่แบบช่วยอินตัวละครได้ง่ายขึ้น แต่ว่ามันก็ไมได้สนุกเท่าไหร่หรอก เพราะว่ามันต้องตื่นตี 4 ทุกวันมาใส่วิกมาแต่งหน้า แต่งตัวอะไรอย่างนี้ เซ็งเหมือนกันนะเพราะว่าเรื่อง “ชั่วฟ้าฯ” นี่ผมได้ตื่นสายสุด อย่าง “ยุพดี” มันต้องแต่งตัวแยอะ พลอยก็จะโดนเรียกตี 4 พอเรื่องนี้ผมกับพี่ดอม พวกแก๊งผู้ชาย โดนเรียกตี 4 พลอยเขาก็ตื่นสายน่าอิจฉามาก แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคเลย ชอบ ผมว่าไปๆ มาๆ คอสตูมมันช่วยได้เยอะมาก อย่างวันก่อนเราถ่ายฉากต่อสู้กัน ตัวผ้าคลุมยาวๆ สีแดงอันนั้นมันทำให้ในฉากต่อสู้มันเห็นได้ชัดมากว่าแบบคาแร็คเตอร์มันต่างกันโดยสิ้นเชิง คนหนึ่งป่าเถื่อน คนหนึ่งมาจากโลกศิวิไลซ์ แล้วก็ Movement พอเราฟันดาบกันไปเนี่ยชุดของผมผ้าคลุมมันจะพลิ้วไปมา ส่วนของพี่ดอมมันก็ไม่มีอะไรมีแต่ตัว มีแต่ตัวเขามีกล้าม มีอะไรที่มัน Contrast ชุดมันช่วยได้เยอะมาก มันแทบจะไปได้ครึ่งหนึ่งด้วยซ้ำ ฉากแอ็คชั่นของพี่พันนามาอยู่ในหนังพีเรียดของหม่อมน้อยเรื่องนี้ ฉากแอ็คชั่นมันมีอยู่ 2 แบบ มันจะมีอันสวยงามอันที่โจรป่าเขาเล่าประมาณว่า คือเพื่อที่ทำให้เขาดูเก่ง ก็ต้องทำให้ตัวละครดูเก่งมาก เก่งกว่าเขาด้วยซ้ำ ให้เขาดูแบบเหมือนเขาล้มขุนศึกได้ คือเราก็ต้องดูเป็นขุนศึกที่ไม่ใช่กะโหลกกะลาอะไรก็ไม่รู้ คือเราก็ต้องดูเป็นคนเก่งมาก ฉากนั้นก็เลยจะสวยงาม ผมก็จะแบบมีลีลาสุดๆ อีกฉากหนึ่งที่สู้กันก็เป็นส่วนเรื่องเล่าของพี่หม่ำ ที่ดูท่าทางที่น่าจะใกล้ความจริงมากที่สุด ก็คือมันได้เห็นสันดานดิบของมนุษย์จริงๆ พอถึงเวลามันไม่อยากตาย มันออกอาการเป็นไงบ้าง ท่าทางออกหมดเลย มันมาด้วยแบบสัญชาตญาณอย่างเดียว มันมาด้วยแบบความกลัว อันนั้นก็จะคนละอย่างก็จะทุลักทุเล ทุเรศๆ นิดนึง ก็จะอีกแบบหนึ่ง ไปๆ มาๆ อันฉากสุดท้ายนั้นเหนื่อยกว่าอันที่สู้กันสวยงามด้วยซ้ำ เพราะมันใช้พลังอะดรีนาลินอย่างเดียว แหกปากกันอยู่นั่นแหละ เล่นไปแป็บเดียวแบบหน้ามืดเลยอ่ะ แต่ก็มันดี สนุกดีครับ ผมว่าก็เป็นปรากฏการณ์ดีเหมือนกันที่สไตล์แอ็คชั่นของพี่พันนามาอยู่ในหนังแบบของหม่อมน้อย มันก็ดูแปลกดี ตอนแรกผมก็คิดว่ามันจะขัดๆ กันมั้ย พอดูภาพแล้วออกแบบออกมาได้อย่างสวยงาม ก็คือมันก็บาลานซ์ระหว่างคิวสตั๊นท์กับสุนทรียะของภาพสไตล์หม่อมน้อย มันออกมาแบบมีความรุนแรง แต่ก็มีความเป็นกวีในเวลาเดียวกัน มีความสวยงามลงตัวมากกว่าที่คิดเยอะ การร่วมงานกับหม่อมน้อยในเรื่องนี้ ง่ายขึ้นมั้ย งานหม่อมนี่มีง่ายเหรอครับ ไม่รู้เหมือนกัน บางทีเราทำงานกับหม่อมบางทีเรารู้สึกว่ามันยากสุดชีวิตไว้ก่อน คือแบบทุกอย่างยากไว้ก่อน อย่าชะล่าใจ อย่าคิดว่าเก่ง อย่าคิดว่าชะล่าใจ แล้วพอเราใส่ใจพอทำการบ้านมาพอนี่ ล้างมันทิ้ง แล้วคิดว่ามันคือสิ่งที่ง่ายที่สุด เป็นสิ่งที่ประหลาดมาก ผมไม่รู้มันคือยากหรือไม่ยาก แต่มันเป็นเรื่องของสมาธิมากกว่า เป็นเรื่องของโฟกัสกับตัวละคร คือการที่เราฝึกฝนสมาธิ ให้มันพร้อมที่จะออกกองกับหม่อม สำหรับผมมันจะสำคัญกว่าทุกส่วน อย่างพอผมทำงานกับหม่อมเรื่องของทฤษฎีมันเพิ่มขึ้น เร็วกว่าตอนผมอยู่กอง เพราะว่าภาษาการแสดงผมมันคือภาษาที่จะสอนมา พอเราคุยกันปรึกษากันได้ ตัวละครมีวิธีอย่างนี้ ตัวละครควรจะต้องทำอย่างนี้ด้วยเหตุผลอย่างนี้ๆ ก็เลยทุกครั้งที่ทำงานเนี่ยมันได้อะไรทุกครั้งเหมือนกับกองอื่นๆ แต่กองของหม่อมนี่มันจะได้อะไรมากกว่าในแง่ของการแสดงส่วนตัว เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องของพลังงานของ Silent คำพูดที่เราไม่ได้ยิน ซึ่งตรงนั้นก็เป็นสิ่งเราไม่เคยทำมาก่อน ก็ช่วยเรื่องของการแสดงได้เยอะ พลังงาน Silent ในการแสดงคืออะไร คือถ้าสมมติเรามองหน้ากัน ผมเชื่อว่าผมสื่อสารอะไรกับพี่ได้โดยที่ไม่ต้องพูด เหมือนกับเพื่อนสนิทเราที่เวลามองหน้าเขาแล้วรู้ว่าถึงเวลาไปแล้วมึง เราก็รู้ คือตรงนั้นเรามักจะมองข้าม เพราะว่าเรามักจะมีสิ่งให้พูด อย่างหันไปบอกว่าถึงเวลาจะไปแล้วนะมึง คือเราไปโฟกัสกับคำพูดกับไดอะล็อกอะไรอย่างนี้ครับ พอเราได้กลับมาสู่ตัวเรา พวกอินเนอร์ไดอะล็อกคที่ทุกคนมี อย่างเช่นผมคุยกับพี่อยู่ผมเชื่อว่าพี่กำลังคิดอยู่ว่าพี่จะถามอะไรต่อ คือมันก็เป็นอินเนอร์ไดอะล็อกของพี่ มันก็เหมือนกันกับตัวละครของเรา บางทีเราไม่ได้สังเกตตรงนี้ เราไปยึดกับสิ่งที่ได้มาที่มันเป็นคำพูด เรามักจะไปยึดกับตรงนั้นเพราะมันง่าย พอผมพูดแล้วพี่ก็เข้าใจ มันไม่ได้ฝึกฝนอีกส่วนหนึ่งของการแสดง มันก็มีฉากหนึ่งที่ตัวละครของพลอยสามารถฆ่าเราได้ โดยที่เราไม่พูดแม้แต่คำเดียว แต่พลอยเขาพูดคนเดียว เหมือนอย่ามองฉันอย่างนั้นสิ ทำไมคุณใช้สายตาอย่างนั้นมองฉัน พลอยแทบจะพูดแทนเราเลย แค่ตัวละครของเรามอง มันต้องมีไดอะล็อกเพราะไม่พูดกับเขาก็ไม่สามารถจะสื่อสารได้ เขาก็ไม่สามารถที่จะพูดประโยคของเขาต่อได้ มันก็ไปถึงจุดที่เขาฆ่าเราได้ด้วยซ้ำ เพราะเราไม่พูดแม้แต่คำเดียว การแสดงร่วมกับพลอย เล่นกับพลอยง่าย มันก็สบายใจ ก็คือในชีวิตจริงเราก็เป็นเพื่อนกัน แล้วก็มันแคร์กันจริงๆ ตอนทำงานมันก็เหมือนเราแคร์เพื่อนเรา เราก็อยากจะช่วยเขา เขาก็อยากจะช่วยเรา ระหว่างที่เราแสดงนี่เขาก็เป็นพาร์ตเนอร์ของจริง กล้องจะอยู่กับตัวผมหรือตัวเขา ผมก็รู้ว่าเขาก็แสดงกับตัวผม 100% ตลอดเวลา มันทำให้เราแบบอุ่นใจ คือภาระของตัวเรามันเยอะมากในฉากพวกนี้ เคยสังเกตบ้างมั้ยว่า คนเรามักจะแบบใจหวั่นไหวที่สุดตอนที่คนเดินมาตบไหล่แล้วบอกว่า “ไม่เป็นไรนะ อย่าร้องไห้สิ” คือมันเป็นโมเมนต์อย่างนั้น คือผมแบบอยากจะอยู่กับเขา ช่วยเต็มที่ที่เราช่วยได้ อย่างนี้เหมือนบอกเขาอยู่ตลอดเวลากูเกลียดมึง แต่ว่ากูรักมึงอยู่นะ คือแบบสิ่งที่คุณกำลังพูดมันมีผลต่อผมเหมือนกัน ซึ่งตอนมันยิงมาทางผม คือผมต้องกดไว้มากกว่านี้อยู่แล้ว เพราะว่าผมต้องมีมาดของคนที่เย็นชา ผมมีมาดของขุนศึกอะไรก็ว่าไป แต่ในโมเมนต์นั้นผมอยากเป็นพาร์ตเนอร์ อยากช่วยเขาเต็มที่ แล้วมันก็กระทบเหมือนกันแหละ มันอาจจะเป็นความรู้สึกที่เราแคร์มั้ง เราแคร์เขาจริงๆ เขาก็แคร์ความเป็นไปของเรา หน้ากองเหรอ นอกกองเหรอ ในชีวิตส่วนตัวเขาเหรออะไรก็ว่าไป แต่คือเราก็มีวินัยความเป็นมืออาชีพพอที่จะแยกส่วนนั้นออกไป แต่ว่ามันช่วยตรงที่ว่าไม่ต้องมาสร้างใหม่ตลอดเวลา มันมีเคมีของมันอยู่แล้ว พอเราเล่นอีกก็มักจะเจอตัวละครที่เป็นผัวเมียกัน รอบที่ 4 ถ้ามันจะมีมาดมันก็ไม่ใช่ ถ้าให้ผมเลือกคนที่จะเล่นหนังกับผมได้นะครับ คือช้อยส์แรกทุกครั้งก็เป็นพลอย มันมีความสบายใจอยู่สูงมาก แล้วแบบการแสดงส่วนมากมันต้องเชื่อใจกันสูงมาก การที่จะปั้นอันนี้ขึ้นมาใหม่ ให้มาคู่กับคนใหม่ มันไม่ใช่สิ่งง่าย พอตรงนี้มันมีมันก็สบายใจ การร่วมงานครั้งแรกกับพี่ดอม ใช่ครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่เราร่วมงานกัน พี่ดอมเป็นคนที่พลังงานสูงมาก คือไม่เคยเจอนักแสดงคนไหนที่พลังงานสูงเท่าเขา ทั้งในร่างกาย ทั้งใน Movement ทั้งในเสียงเขา เหมือนกระต่ายถือฉาบ พลังงานไม่มีหมดจริงๆ เหลือเชื่อจริงๆ แต่แกเป็นคนที่ค่อนข้างพูดจาผิดกับตัวละครนี้เหมือนกัน สิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าเหมือนกันคือสรีระเขากับตัวละคร แต่ตัวจริงเขาเป็นคนสุภาพมาก เป็นสุภาพบุรุษมาก ผู้ดีจริงๆ เป็นขุนศึกตัวจริง ผมน่ะดูเปลือกอาจจะดูเป็นผู้ดี แต่จริงๆ แล้ว ควรจะไปเป็นโจร (หัวเราะ) ผมสังเกตพักหลังๆ เราก็สนิทกันมากขึ้น เราเล่นกันไปเราก็จะขอบคุณกันตลอดเลยแบบไม่รู้ทำไม ฉากโง่ๆ เดินรอบตัวกัน Thank you นะเว้ย Thank you ๆๆ คือเป็นนิสัยอ่ะ พี่ดอมน่ารักมาก ผมเล่นฉากที่เขาจะมาข่มขืนเมียผม แล้วผมโดนมัดอยู่แล้วผมรับไม่ได้ เมียผมก็ลุกขึ้นมาให้โอกาสผัวฉันหน่อยได้ไหม สู้กับเธอ ใครชนะฉันจะไปกับคนนั้น ผมก็ต้องมองพลอยแบบปลาบปลื้มใจ มองเขาแบบผู้หญิงคนนี้ยังมีเกียรติอยู่ แล้วก็แบบซึ้งใจในตัวเขาโน่นนี่นั่น แล้วพี่ดอมเขาก็มาเล่นให้ ทั้งคู่เลยนะเขามาเล่นให้หลังกล้อง หม่อมก็บอกถ้าน้ำตาไหลก็ปล่อยให้ไหลไปเลย เราก็เซ้นซิถีฟอยู่แล้วน้ำตาก็ไหล คัทเสร็จเนี่ยคนแรกที่มาขอบคุณผมเนี่ยคือพี่ดอม แกอยู่หลังกล้อง ผมต้องขอบคุณพี่เขา แกก็แบบพลอย Thank you นะก็อยู่กันแบบนี้แหละ 3 คนไหว้กันไปไหว้กันมา เราก็เฮ้ย Thank you นะ ก็ดีครับ รู้สึกพี่ดอมเขาก็เริ่มอินกับระบบการแสดงที่มันต้องอยู่เป็นพาร์ตเนอร์ มันต้องช่วยกันไป พี่ดอมเสียงแกแบบดังลั่นฟ้ามาก เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง ขนาดยืนอยู่ข้างน้ำตกก็เอาเขาไม่ลง กดเขาไม่ลง เสียงแกดังมาก ความน่าสนใจโดยรวม สำหรับคนที่ชอบแบบฟังผ่านๆ ดูแบบผิวเผิน มันจะเข้าหายากไหม ผมรู้สึกว่าเรื่องนี้มัน Mass กว่า “ชั่วฟ้าฯ” เยอะเลย มีเรื่องฆาตกรรม มีเรื่องชู้สาว มีเรื่องข่มขืน มีบู๊ มีตลก มันเป็นหนังครบรสมากๆ คือพอมันเป็นหนังหม่อม เราก็ต้องเข้าใจว่ามันก็มีหลายเลเยอร์อยู่ คือเราจะได้อะไรจากมันก็แล้วแต่คนดู ถ้าแบบผิวเผินไปเลยนะ มันมีหมด เอาแค่ตัวละครผมที่ว่าแค่นั้น ฟังดูมันก็สนุกแล้ว มีพงษ์พัฒน์ มีมาริโอ้สาวกรี๊ด มีพี่หม่ำ มีผม พี่ดอม มีสาวสุดเซ็กซี่เฌอมาลย์ คือแบบองค์ประกอบมันครบมาก มันเป็นหนังที่พลังงานสูงมาก ตอนผมอ่านบทผมไม่รู้สึกว่ามันมีช่วงที่หน่วงเลย พอเปิดมามันเข้าเรื่องเลย มันเข้าเหตุการณ์เลย มันเป็นหนังที่ผมเชื่อได้แบบว่าในแง่คุณค่าของความบันเทิงมันครบถ้วนมาก เรื่องเนื้อหาก็ไม่ต้องห่วงครับ หนังหม่อมเขาไม่ขาดอยู่แล้วครับ เป็นสิ่งที่ผมชอบมากที่สุดแล้วกัน อย่าง “ชั่วฟ้า” มันก็แล้วแต่คนดู เขาก็แบบมองในมุมมองของยุพดีบ้าง ของส่างหม่องบ้าง ของพะโป้บ้าง อันนี้มันก็จะเช่นเดียวกันครับ มันก็จะมีหลายๆ มุมมองอะไรอย่างนี้ ในส่วนของผมเนี่ยผมชอบมากที่สุดคือ ตัวละครพอมันเล่าเรื่อง พอมันปรุงแต่งขึ้นมา มันมักจะมีเหตุผลขึ้นมาเลย มันจะดูแบบมีเหตุผล คือทุกอย่างเมคเซ้นส์ไปหมด แล้วพอมาเจอเรื่องจริงเนี่ยมันพลิกล็อกมาก มันจะได้เห็นสัญชาตญาณของมนุษย์จริงๆ ว่า มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มันประหลาดมาก แล้วความประพฤติของมันไม่ใช่สิ่งที่เรากำหนดได้ เหมือนชีวิตจริงมันแปลกไปกว่าหนัง แปลกไปกว่านิยาย แต่มันมีสิ่งแวดล้อมอยู่ในหนัง สุดท้ายแล้วแบบเออ...ใช่ มนุษย์มันเพี้ยนจริงๆ ว่ะ แล้วผมว่าทุกคนเดินออกจากโรงมันจะมีอะไรให้ไปถกกันตรงนี้ ความจริงของหนังเรื่องนี้มันเป็นแบบไหน เห็นตัวเองมันแน่นอนอยู่แล้ว มันมี 6 ตัวละครที่คุณได้เลือก อยู่ที่ต่างวัยต่างมุมมอง ทุกคนก็สามารถแบบเราเห็นใจตัวนี้ เราชอบมุมมองของตัวละครตัวนี้ อะไรแบบนี้แน่นอนครับ

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ