กรุงเทพฯ--23 ส.ค.--เอ็มทีเอส โกลด์ ฟิวเจอร์
ข้อมูลทองคำวันนี้
- ราคาสมาคม เปิดที่ 26,750-26,850
- ราคา Gold Spot เปิดที่ 1,899.5
- อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท 29.83-29.86
- GFQ11 Hi- Low 27,200-26,200 ปิดที่ 26,700
Gold & Silver Insight
สัญญาทองคำ และ โลหะเงินตลาด COMEX ส่งมอบเดือนธ.ค.พุ่งขึ้น 39.7 ดอลลาร์ หรือ 2.1% ปิดที่ 1,891.9 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 1,858.00-1,899.40 ดอลลาร์ สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนก.ย.พุ่งขึ้น 89.3 เซนต์ ปิดที่ 43.325 ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจากนักลงทุนยังคงแห่เข้าซื้อทองคำเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐยังคงไร้ทิศทาง และวิกฤตหนี้สาธารณะที่มีแนวโน้มว่าจะลุกลามในยุโรป
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวก 37.00 จุด หรือ 0.34% แตะที่ 10,854.65 จุด ดัชนี S&P 500 ปิดบวก 0.29 จุด หรือ 0.03% แตะที่ 1,123.82 จุด ดัชนี Nasdaq ปิดบวก 3.54 จุด หรือ 0.15% แตะที่ 2,345.38 จุด เพราะได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า เบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะประกาศใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหม่ในระหว่างการกล่าวสุทรพจน์ในที่ประชุมธนาคารกลางโลกซึ่งจะมีขึ้นในวันศุกร์นี้ นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนเข้ามาช้อนซื้อเก็งกำไร หลังจากที่ดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลงอย่างหนักเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีทะยานขึ้นแข็งแกร่งสุด
สัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนก.ย.ปิดบวก 1.86 ดอลลาร์ หรือ 2.26% แตะที่ 84.12 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 81.13-84.67 ดอลลาร์ โดยสัญญาน้ำมันดิบ NYMEX เดือนก.ย.ได้ครบกำหนดส่งมอบแล้วในวันจันทร์ที่ 22 ส.ค.เนื่องจากนักลงทุนคาดการณ์ว่า เบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะใช้เวทีการประชุมธนาคารกลางโลกในวันศุกร์นี้ ในการประกาศใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหม่ หลังจากเศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวลงอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาดูรายงานสต็อกน้ำมันประจำสัปดาห์ซึ่งสำนักงานสารนิเทศด้านพลังงานของสหรัฐจะเปิดเผยในวันพุธนี้
กองทุน SPDR Gold Trust กองทุนทองคำใหญ่ที่สุดในโลก รายงานการเข้าถือทองคำถึง ณ. วันที่ 23 สิงหาคม ขายออก 6.36ตัน เปลี่ยนแปลงการถือครองจากระดับ 1290.76ตัน เข้าสู่ระดับ 1284.40ตัน
USD/EU ค่าเงินยูโรแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลล่าร์สหรัฐ เนื่องจากนักลงทุนยังคงขาดความเชื่อมั่นในเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการคลังของยุโรป ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (22 ส.ค.) ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินของประเทศที่พึ่งพาการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์เป็นหลัก รวมถึงสกุลเงินดอลลาร์ออสเตรเลียหลังจากมีการคาดการณ์ว่าเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะประกาศใช้มาตรการซื้อสินทรัพย์ครั้งใหม่เพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ค่าเงินยูโรร่วงลง 0.24% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.4361 ดอลลาร์ยูโร จากระดับของวันศุกร์ที่ 1.4395 ดอลลาร์ต่อยูโร โดยค่าเงินดอลล่าร์เมื่อเทียบกับค่าเงินสกุลยูโรเช้านี้เปิดอยู่ที่ระดับ 1.4372 ดอลล่าร์ต่อยูโร
USD/JPY ค่าเงินเยนอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลล่าร์สหรัฐ 0.37% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 76.800 เยนต่อดอลล่าร์ จากระดับ 76.520 เยนต่อดอลล่าร์ โดยค่าเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับค่าเงินสกุลเยนเช้านี้เปิดอยู่ที่ระดับ 76.78 เยนต่อดอลลาร์
USD/THB
ค่าเงินบาทปิดตลาดวานนี้ อยู่ที่ระดับ 29.86-29.89 บาทต่อดอลล่าร์ ซึ่งไม่มีการเคลื่อนไหวมากนักระหว่างวัน โดยค่าเงินบาทเช้านี้เปิดตลาดที่ระดับ 29.83-29.86บาทต่อดอลล่าร์
ข่าวเศรษฐกิจโลก
- สหรัฐได้เปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจเมื่อวานนี้ โดยธนาคารกลางสหรัฐระบุว่า ดัชนีกิจกรรมทางเศรษฐกิจอยู่ที่ระดับ -0.06 จุด ในเดือนก.ค. เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากระดับ -0.38 ของเดือนมิ.ย.ในการประชุมธนาคารกลางโลกเมื่อปีที่แล้ว เบอร์นันเก้เคยประกาศว่าจะใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบสอง (QE2) ด้วยการซื้อพันธบัตรของรัฐบาลสหรัฐมูลค่า 6 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานคณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟด (เอฟโอเอ็มซี) ก็มีมติใช้มาตรการดังกล่าว เพื่อกระตุ้นการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ
- นายโยชิฮิโกะ โนดะ รมว.คลังญี่ปุ่นเปิดเผยในวันนี้ว่า รัฐบาลญี่ปุ่นอาจจะใช้เงินทุนสำรองจ่ายเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมต่างๆที่ได้รับผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินเยน ขณะเดียวกันนายโนดะกล่าวว่า รัฐบาลญี่ปุ่นยังคงจับตาดูการเก็งกำไรในตลาดปริวรรตเงินตราอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันไม่ให้เงินเยนมีความผันผวนมากเกินไป การแสดงความคิดเห็นของนายโนดะช่วยเพิ่มน้ำหนักให้กับมุมมองของสมาชิกคนอื่นๆในสภานิติบัญญัติที่ว่า รัฐบาลควรตอบสนองการแข็งค่าของเงินเยน ด้วยการใช้เงินทุนสำรองจ่าย เพื่อลดแรงกดดันจากกระแสคาดการณ์ที่ว่า กลุ่มผู้ผลิตของญี่ปุ่นจะย้ายฐานการผลิตไปยังต่างประเทศมากขึ้น เพื่อลดการใช้จ่าย
- การที่สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (S&P) ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐลง 1 ขั้น จาก AAA เป็น AA+ พร้อมคงมุมมองเชิงลบ ได้สร้างความตื่นตระหนกไปทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่เอเชีย ซึ่งถูกจับตาในฐานะภูมิภาคที่มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง แม้ว่า S&P ได้ออกแถลงการณ์เพื่อสร้างความมั่นใจว่า การลดเครดิตสหรัฐ จะไม่ส่งผลกระทบในทันทีต่อประเทศในเอเชีย แต่หุ้นในเอเชียก็ร่วงกราวรูด ขณะที่นักลงทุนถอยออกไปตั้งหลักอยู่นอกตลาด โดยเมื่อวันจันทร์ที่ 8 ส.ค.2554 ดัชนีนิกเกอิปิดิ่งลง 202.32 จุด หรือ 2.18% ขณะที่ตลาดหุ้นสิงคโปร์และตลาดหุ้นไต้หวันปิดรูดลง 3.70% และ 3.82% ตามลำดับ ส่วนตลาดหุ้นไทยปิดร่วงลง 1.39% ซึ่งถือได้ว่าได้รับแรงกระทบน้อยกว่าตลาดอื่น
- ประธานาธิบดีบารัค โอบามา แห่งสหรัฐเปิดเผยว่า ระบอบการปกครองลิเบียของพันเอกมูอัมมาร์ กัดดาฟี ใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว พร้อมกับเรียกร้องให้กัดดาฟีสละอำนาจเพื่อประชาชนทุกคน ทั้งนี้ โอบามาเรียกร้องให้สภาถ่ายโอนอำนาจแห่งชาติของลิเบีย (NTC) เร่งนำพาประเทศให้รุดไปข้างหน้าโดยผ่านการโอนถ่ายอำนาจ ด้วยการเคารพสิทธิของประชาชนชาวลิเบีย, หลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่จะทำให้พลเรือนล้มตาย, ปกป้องสถาบันต่างๆของรัฐบาลลิเบีย และโอนถ่ายการปกครองสู่ระบอบประชาธิปไตยเพื่อชาวลิเบียทุกคน