MOVIE: จัดคิวรักให้ลงล็อค - I Don’t Know How She Dose it

ข่าวบันเทิง Tuesday September 13, 2011 20:05 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--13 ก.ย.--เอ็ม พิคเจอร์ส จัดจำหน่ายโดย เอ็ม พิคเจอร์ส ชื่อภาษาไทย จัดคิวรักให้ลงล็อค เว็ปไซด์ตัวอย่างภาพยนตร์ http://youtu.be/dxchQ5aJeJk ภาพยนตร์แนว โรแมนติก- คอเมดี้ จากประเทศ สหรัฐอเมริกา กำหนดฉาย 15 กันยายน 2554 ณ โรงภาพยนตร์ ทุกโรงภาพยนตร์ นักแสดง Sarah Jessica Parker (ซาร่าห์ เจสสิกา ปาร์กเกอร์) จาก Sex and The CityPierce Brosnan (เพียซ บรอสแนน) พระเอกสุดหล่อเจ้าตำนาน James Bond 007 และ Greg Kinner (เกร็ก คินเนียร์) จาก Green Zone, Unknown ผู้กำกับ Douglas McGrath (ดักกลาส แม็คกราธ) อำนวยการสร้าง Donna Gigliotti (ดอนนา กิกลิออตติ) จุดเด่น I Don’t Know How She Does It ที่สร้างขึ้นจากหนังสือเบสต์เซลเลอร์ชื่อเดียวกันของอัลลิสัน เพียร์สัน เป็นคอเมดีสำหรับคุณแม่ หรือคุณพ่อที่ทำงานนอกบ้านทุกคน ผู้ซึ่งชีวิตขึ้นอยู่กับลิสต์สิ่งที่ต้องทำ I Don’t Know How She Does It กำกับโดยผู้กำกับชื่อดัง ดักกลาส แม็คกราธ (Emma) อำนวยการสร้างโดยเจ้าของรางวัลอคาเดมี อวอร์ด ดอนนา กิกลิออตติ (Shakespeare in Love) และดัดแปลงเป็นบทภาพยนตร์โดยอัลลิน บรอช แม็คเคนนา (The Devil Wears Prada) ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงบาฟตา นำแสดงโดยซาราห์ เจสสิก้า ปาร์กเกอร์ (Sex and the City), เพียร์ซ บรอสแนน (Mamma Mia!), เกร็ก คินเนียร์ ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงอคาเดมี อวอร์ด (Little Miss Sunshine), คริสตินา เฮนดริคส์ (Mad Men), เคลซีย์ แกรมเมอร์ (Frasier), เซธ ไมเยอร์ส (Saturday Night Live), โอลิเวีย มันน์ (The Daily Show) และเจน เคอร์ทิน (I Love You, Man) เรื่องย่อ เราขอแนะนำให้คุณรู้จักกับเคท เร็ดดี้ (ซาราห์ เจสสิก้า ปาร์กเกอร์) ผู้เป็นทั้งภรรยา แม่ เวิร์คกิ้งวูแมน ผู้สับเปลี่ยนบทบาทในชีวิตได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ ชีวิตของเคทเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง แต่มันก็เข้าทีอยู่เหมือนกัน เธอมีสามีที่วิเศษสุด ริชาร์ด (เกร็ก คินเนียร์) สถาปนิกผู้เพิ่งออกมาตั้งบริษัทของตัวเอง เธอมีลูกที่น่ารักสองคน เอมิลี (เอ็มมา เรย์น ไลล์) ที่เพิ่งอายุหกขวบ และเบน (ธีโอดอร์ และจูเลียส โกลด์เบิร์ก) ทารกน้อยผู้เทิดทูนเธอเป็นที่สุด เธอมีงานที่เธอรักเป็นผู้จัดการฝ่ายลงทุนที่สาขาบอสตันของบริษัทการเงินที่มีสำนักงานใหญ่ที่นิวยอร์ก งานของเคททำให้เธอต้องเดินทางบ่อย แต่เธอก็สามารถมีส่วนร่วมกับกิจกรรมหลังเลิกเรียนและการเรียนของลูกสาวเธอได้ไม่ต่างจากแม่ที่เป็นแม่บ้านอย่างเดียว เพื่อนร่วมงาน คนรู้จักและญาติของเธอต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันในเรื่องความสามารถของเคทในการดูแลทุกอย่างให้ดำเนินไปอย่างราบรื่นว่า “ฉันไม่รู้ว่าเธอทำได้ยังไง” มันเป็นคำชมที่เคทมักจะยิ้มรับอย่างสุภาพ และอัลลิสัน (คริสตินา เฮนดริคส์) เพื่อนซี้ผู้เป็นแม่ที่ทำงานนอกบ้านเหมือนกัน ฟังพร้อมกับเลิกคิ้วขำๆ ความจริงก็คือ เคทจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าครั้งสุดท้ายที่เธอได้นอนหลับอย่างเต็มตื่นมันเมื่อไหร่กัน และลิสต์สิ่งที่เธอต้องทำก็มีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้จักจบจักสิ้น บางครั้ง เธอก็มาถึงที่ทำงานโดยติดเอาชิ้นส่วนจากอาหารเช้าของลูกๆ มาด้วย ซึ่งก็สร้างความสยดสยองให้กับ โมโม (โอลิเวีย มันน์) เพื่อนร่วมงานบ้างานที่กลัวเด็กขึ้นสมองของเธอ แต่เธอก็ปิดปากเงียบเกี่ยวกับชีวิตครอบครัวเธอเมื่ออยู่ใกล้เพื่อนร่วมงานที่เป็นผู้ชาย ดินเนอร์แสนโรแมนติกกับริชาร์ดมักจะหมายถึงไมโครเวฟ และพายโฮมเมดสำหรับงานโรงเรียนของเอมิลี การเป็นคุณแม่นักประดิษฐ์นี่เป็นเรื่องของความจำเป็น หรือความผิดของคนเป็นแม่กันแน่นะ… หลังจากก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่ของเธออย่างขยันขันแข็งมาหลายปี เคทก็ประสบความสำเร็จครั้งใหญ่เมื่อข้อเสนอสำหรับขอเงินลงทุนครั้งใหม่ได้รับการตอบรับอย่างดีจาก แจ็ค อาเบลแฮมเมอร์ (เพียร์ซ บรอสแนน) ผู้บริหารบริษัทในนิวยอร์ก ข่าวดียิ่งไปกว่านั้นก็คือ แจ็คอยากจะเสนอเงินทุนให้กับลูกค้ารายใหญ่ แต่ช่วงเวลาในการยื่นข้อเสนอนี้สั้นมาก ซึ่งก็หมายความว่าเคทจะต้องใช้เวลาอยู่นอกบ้านมากกว่าเดิม เพื่อคุยเรื่องรายละเอียดกับแจ็คในนิวยอร์ก ในขณะเดียวกัน ริชาร์ดเองก็มีข่าวดีของตัวเองเหมือนกัน นั่นคือเขาเพิ่งคว้าสัญญาใหญ่ครั้งแรกหลังจากเปิดบริษัทมา และนี่ก็คือช่วงเวลาสำคัญว่าเขาจะรุ่งหรือจะร่วง ด้วยข่าวดีนี้เอง ชีวิตที่ต้องสับรางจนหัวหมุนของเคท เร็ดดี้ ก็เพิ่มสปีดขึ้นไปอีก… เกี่ยวกับงานสร้าง นิยายเปิดตัวของอัลลิสัน เพียร์สัน นักข่าวชาวเวลช์ I Don’t Know How She Does It เป็นเรื่องราวที่เหมือนบันทึกประจำวัน ที่เต็มไปด้วยวันที่ยาวนานและค่ำคืนอดหลับอดนอนของหญิงสาวชาวลอนดอน ผู้เป็นทั้งภรรยา แม่และผู้จัดการฝ่ายลงทุน ที่ชื่อว่าเคท เร็ดดี้ หนังสือของเพียร์สัน ที่เขียนขึ้นในมุมมองบุคคลที่หนึ่ง ที่ตรงไปตรงมา เข้าใจตัวเองดี และขำขัน ช่วยเปิดเผยการสับรางที่เรียกกันว่า “มีทุกอย่างครบถ้วน” และถูกอกถูกใจผู้อ่านอย่างมากเมื่อมันถูกตีพิมพ์โดยอัลเฟร็ด เอ. น็อปฟ์ในอเมริกาในปี 2002 หนังสือเล่มนี้ติดอันดับเบสต์เซลเลอร์หนังสือปกแข็งของนิวยอร์ก ไทม์นาน 23 สัปดาห์ และจนถึงวันนี้ มันก็ทำยอดขายได้เกือบสี่ล้านเล่ม โอปราห์ วินฟรีย์พูดถึงหนังสือเล่มนี้ว่าเป็น “เพลงชาติของแม่ที่ทำงานนอกบ้าน” และมันก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีในเชิงคำวิจารณ์และรายได้ “ในที่สุด เราก็ได้เจอกับคอเมดีสังคมของแม่ที่ทำงานนอกบ้าน” มาจอรี วิลเลียมส์จากเดอะ วอชิงตัน โพสต์ได้เขียนเอาไว้ ในขณะที่นักเขียนนิยาย แคลร์ เดเดเรอร์ ก็เขียนคำวิจารณ์หนังสือเล่มนี้ทาง Amazon.com ว่า “เคทเป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์อย่างร้ายกาจ และเราก็อยากให้ทุกอย่างไปได้สวยสำหรับเธอ ท้ายที่สุดแล้ว หนังสือเล่มนี้ไม่ได้เพียงแค่สิ่งที่รวมประโยคเด็ดเกี่ยวกับธีมของแม่ที่ทำงานนอกบ้านเท่านั้น แต่มันเป็นนิยายจริงๆ เกี่ยวกับตัวละครที่เรารักค่ะ” แม้ว่าหลายเรื่องในชีวิตประจำวันของเคท เร็ดดี้ จะเป็นเรื่องผู้หญิงๆ แต่เรื่องราวของเธอก็โดนใจคนทั้งสองเพศ จริงๆ แล้ว I Don’t Know How She Does It มีกลุ่มแฟนเป็นผู้ชายจำนวนมาก จนในที่สุด ก็ต้องมีการออกแบบปกเสียใหม่เพื่อรองรับเรื่องนั้น “ในตอนแรก” เพียร์สันบอก “พวกผู้ชายไม่ค่อยอยากจะอ่านหนังสือเรื่องนี้ เพราะมันมีหน้าปกสีชมพูแจ๊ด ท้ายที่สุด สำนักพิมพ์ก็เลยพิมพ์เวอร์ชันปกสีฟ้าออกมาเพื่อที่พวกผู้ชายจะได้ไม่ต้องซ่อนหนังสือเล่มนี้หลังหนังสือพิมพ์หรือนิตยสารเพราะอายเวลาอ่านมันบนรถไฟน่ะค่ะ” ทีมผู้สร้าง I Don’t Know How She Does It รู้สึกว่าเรื่องราวของเคท เร็ดดี้น่าจะได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่นและสร้างความแปลกใหม่ได้บนหน้าจอไม่แพ้ตอนที่มันอยู่ในหน้ากระดาษ ผู้อำนวยการสร้างเจ้าของรางวัลอคาเดมี อวอร์ด ดอนนา กิกลิออตติ (Shakespeare in Love) ชี้ให้เห็นถึงความเข้าถึงได้ของต้นฉบับที่ยังคงเป็นจริงจนถึงปัจจุบัน “ชีวิตสำหรับคนแบบเคท เร็ดดี้ในโลกใบนี้มีแต่จะยิ่งซับซ้อนขึ้นค่ะ” กิกลิออตติบอก “สำหรับฉันแล้ว นิยายของอัลลิสันเป็นคอเมดีสังคมที่คลาสสิก เพราะมันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับวิถีชีวิตของเราในปัจจุบัน ฉันอยากจะเห็นสถานการณ์พวกนี้ และตัวละครพวกนี้โลดแล่นบนหน้าจอค่ะ” อัลลิน บรอช แม็คเคนนา มือเขียนบทผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบาฟตาจาก The Devil Wears Prada เป็นแฟนของนิยายเรื่องนี้อยู่แล้ว ในตอนที่เธอได้รับการทาบทามให้ดัดแปลงบทภาพยนตร์เรื่องนี้ สถานที่ของเรื่องถูกเปลี่ยนจากลอนดอนไปเป็นบอสตัน แต่โครงสร้างหลักของนิยายเรื่องนี้ก็ยังคงเดิม “I Don’t Know How She Does It เป็นนิยายเรื่องโปรดของฉันค่ะ ดังนั้น พอฉันมีโอกาสจะได้ดัดแปลงมัน ฉันก็เลยตอบรับในทันที” แม็คเคนนา ผู้รับหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างของเรื่องด้วย กล่าว “ในความคิดของฉัน I Don’t Know How She Does It เป็นสิ่งที่อธิบายถึงจุดต่ำสุดและสูงสุดของความพยายามจะทำหน้าที่พ่อหรือแม่ พร้อมไปกับการรักษาหน้าที่การงานเอาไว้ มันเขียนด้วยมุมมองที่น่าขบขัน และเฉพาะเจาะจงมากๆ หนึ่งในเหตุผลที่มีการใช้เสียงบรรยายในหนังเพราะฉันอยากทำให้แน่ใจว่า เราจะรักษามุมมองสุดฮาที่เป็นเอกลักษณ์ของอัลลิสันเอาไว้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เกี่ยวกับความรู้สึกของการต้องทำโน่นทำนี่เป็นสิบๆ อย่างพร้อมๆ กันน่ะค่ะ” เพียร์สัน ผู้รับหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างร่วม พบว่ามุมมองของแม็คเคนนาที่มีต่อเรื่องราวและธีมของมันคล้ายคลึงกันกับเธอ “การได้เห็นมุมมองที่อัลลินมีต่อหนังสือเล่มนี้ ทำให้ฉันรู้สึกว่า มันอยู่ในมือคนที่เหมาะสมแล้ว” เพียร์สันยืนยัน “เธอมีความคิดความอ่านในเรื่องมุขตลกที่คล้ายกับฉันมาก และมันก็น่าสนใจที่ได้เห็นจินตนาการของคนอื่นกับเรื่องนี้น่ะค่ะ” แม็คเคนนาส่งบทภาพยนตร์ฉบับเสร็จสมบูรณ์ให้ผู้กำกับดักกลาส แม็คกราธ เพื่อนของเธอ ผู้เขียนบทภาพยนตร์สำหรับภาพยนตร์ทุกเรื่องของเขา เริ่มตั้งแต่ Emma ภาพยนตร์เปิดตัวที่โด่งดังของเขาในปี 1996 “ผมรู้สึกเหมือนโดนมนต์สะกดครับ” แม็คกราธบอก “ผมไม่เคยกำกับหนังจากบทที่ผมไม่ได้เป็นคนเขียนมาก่อน แต่นิยายของอัลลิสันและบทของอัลลินมีอะไรบางอย่างที่วิเศษสุด ที่ทำให้คุณรู้สึกผูกพันกับพ่อแม่ที่ทำงานนอกบ้านในเรื่องนี้ ผมไม่เคยอ่านบทที่ถ่ายทอดสิ่งที่พ่อแม่ที่ทำงานนอกบ้านต้องรับมือออกมาได้อย่างมีเสน่ห์ น่าขบขัน และซาบซึ้งใจอย่างในบทของอัลลินมาก่อนเลย ผมคิดว่า ‘ผมอยากจะกำกับเรื่องนี้’ น่ะครับ” ความสนใจที่จะกำกับเรื่องนี้ของแม็คกราธได้รับการตอบรับอย่างดี แต่ก็เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงด้วย แม็คเคนนาเล่าว่า “ฉันตื่นเต้นมาก ดั๊กเป็นคนที่เหมาะมากกับการเนรมิตชีวิตให้กับหนังสือเรื่องนี้ ดั๊กได้ใส่ประกายสดใสบางอย่างลงไปในหนัง ซึ่งเพอร์เฟ็กต์เลยสำหรับ I Don’t Know How She Does It เพราะเขาสามารถถ่ายทอดทุกอย่างที่เคทต้องรับมือ ไม่ว่าจะเป็นความเครียด การต้องสับรางชีวิต แต่ก็ทำให้ผู้ชมสนุกและตื่นเต้นไปกับการที่คนฉลาดพูดเรื่องตลกด้วย การที่คนฉลาดพูดเรื่องตลกคือโลกของดั๊ก แม็คกราธค่ะ” I Don’t Know How She Does It เป็นโอกาสที่แม็คกราธได้กลับมาร่วมงานกับกิกลิออตติและฮาร์วีย์และบ็อบ วีนสไตน์ ผู้เคยทำหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างของ Emma ซึ่งเป็นผลงานสร้างของมิราแมกซ์ บริษัทเก่าของพี่น้องวีนสไตน์อีกครั้ง นอกจากนี้ I Don’t Know How She Does It ยังเป็นผลงานเรื่องแรกของกิกลิออตติหลังจากเธอได้ดำรงตำแหน่งประธานฝ่ายโปรดักชันที่เดอะ วีนสไตน์ คัมปะนีอีกด้วย เธอบอกว่า “ฮาร์วีย์, บ็อบและฉันตื่นเต้นมากเมื่อดั๊กบอกว่าเขาอยากจะกำกับ I Don’t Know How She Does It เรารู้จาก Emma ว่าดั๊กเชี่ยวชาญเรื่องคอเมดีเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเพศ และเราก็รู้ด้วยว่าเขาเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีค่ะ” ทีมผู้สร้างรู้สึกยินดีเมื่อซาราห์ เจสสิก้า ปาร์กเกอร์ตกลงรับบทเคท เร็ดดี้ “ซาราห์เป็นผู้หญิงที่ทำให้เราเอาใจช่วยเธอได้ทันทีครับและเธอก็ทำให้คอเมดีดูเป็นเรื่องง่าย ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่เลย” แม็คกราธให้ความเห็น ในฐานะแม่แล้ว ปาร์คเกอร์สามารถดึงเอาประสบการณ์ชีวิตของตัวเองมาใช้ในการสร้างตัวละครตัวนี้ได้ “ซาราห์ เจสสิก้าพยายามอย่างหนักในฐานะแม่ และเธอก็พยายามอย่างหนักในฐานะนักแสดง รวมถึงกิจกรรมอื่นๆ ของเธอด้วย เธอเข้าใจทุกเรื่องที่เคทต้องพบเจอในหนังเรื่องนี้อย่างดี และเธอก็สวมบทนี้ด้วยความเคารพ พร้อมไปกับการเล่นกับอารมณ์ขันในสถานการณ์ต่างๆ น่ะครับ” ปาร์กเกอร์ถูกใจกับการบรรยายถึงสถานการณ์และมุมมองของเคทในภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างมาก “ฉันชอบบทหนังเรื่องนี้ค่ะ มันตลกแต่ก็ตรงไปตรงมามากๆ เกี่ยวกับความซับซ้อนของการอยากมีทุกอย่างครบสมบูรณ์” เธอกล่าว “ฉันคิดว่าสิ่งที่เคทต้องการสำหรับตัวเอง ทั้งการอยากเป็นแม่ที่ดี เป็นภรรยาที่รัก เคารพและคอยให้กำลังใจสามี และความสำเร็จในฐานะคนทำงาน เป็นเรื่องธรรมดาๆ เคทมาถึงจุดที่งานของเธอน่าสนใจและเติมเต็มชีวิตเธอ เธอรู้สึกผิดที่ทิ้งครอบครัวเพื่อแสวงหาความก้าวหน้าทางอาชีพ แต่เห็นได้ชัดว่างานเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตเธอ ธีมในหนังเรื่องนี้เป็นอะไรที่เข้าถึงได้อย่างมาก ในแบบที่เป็นธรรมชาติมากๆ ค่ะ” ในตอนที่เรื่องราวเริ่มต้นขึ้น เคทเป็นผู้หารายได้หลักของครอบครัวเร็ดดี้ ริชาร์ด สามีผู้เป็นสถาปนิกของเธอ ที่รับบทโดยเกร็ก คินเนียร์ เพิ่งออกจากบริษัทที่บอสตัน เพื่อตั้งบริษัทของตัวเอง และก็กำลังสร้างที่ทางของตัวเองในตลาดที่แข่งขันกันสูง ทั้งคู่ต่างกำลังอยู่ในจุดสำคัญในชีวิตการงาน ข้อเสนอสำหรับเงินทุนใหม่ของเคทกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาที่สำนักงานใหญ่ในนิวยอร์กของเธอ ส่วนริชาร์ดก็กำลังยื่นเสนอโปรเจ็กต์งานออกแบบ เมื่อทั้งคู่ประสบความสำเร็จกับงานของตัวเอง โอกาสเหล่านั้นก็เย้ายวนเกินกว่าจะหันหลังให้มันได้ คินเนียร์ให้ความเห็นว่า “ริชาร์ดกำลังวิ่งไปหาเส้นชัยด้วยความเร็วที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ พร้อมไปกับการทำหน้าที่สามี หน้าที่พ่อ และเขาก็พยายามจะรักษาสมดุลของสิ่งต่างๆ เอาไว้ให้ได้ครับ” คินเนียร์กล่าวต่ออีกว่า “ผมคิดว่าข้อตกลงที่ไม่มีใครพูดออกมาระหว่างเคทกับริชาร์ดคือถ้าเขาคว้าโอกาสนี้มาได้ เธอก็จะจัดการกับเรื่องที่บ้านเอง แต่มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น” โอกาสทองในงานของเคทมาพร้อมกับข้อจำกัดที่ว่า เธอจะต้องใช้เวลาอยู่นอกบ้านมากขึ้น เพื่อพัฒนาข้อเสนอขอเงินทุนของเธอให้กลายเป็นงานพรีเซนต์ที่รัดกุม ไร้ช่องโหว่ มันก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นเกินกำลัง เพียงแต่เธอต้องเดินทางไปที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของเธอที่นิวยอร์ก ซิตี้ เมืองหลวงของโลกการเงิน นอกเหนือจากนั้น เธอก็ได้ทำงานใกล้ชิดกับแจ็ค อาเบลแฮมเมอร์ ตำนานในบริษัทของเธอ ที่รับบทโดยเพียร์ซ บรอสแนน ปาร์คเกอร์บอกว่า “นิวยอร์กเป็นโอกาสให้เคทหลบหนีจากความยุ่งเหยิงทั้งหลายที่วนเวียนไปมาในหัวของเธอ เธอสามารถโฟกัสกับงานของเธอ และไปร้านอาหารหรูๆ ในเมืองที่น่าตื่นเต้นและเลิศหรูที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และการใช้เวลากับแจ็คก็ไม่ได้เป็นเรื่องน่าลำบากใจเลย เพราะเขาช่างสง่างาม มีไหวพริบ เขาชื่นชมความสามารถในการทำงานของเคท แน่นอน การที่เธอรู้สึกมีความสุขกับตัวเองก็ทำให้เธอรู้สึกผิดที่อยู่ห่างไกลบ้านมากขึ้นค่ะ!” การปะทะคารมระหว่างเคทและแจ็คทำให้นักวางแผนกลยุทธการเงินที่สนใจแต่เรื่องตัวเองต้องแปลกใจ บรอสแนนพูดถึงตัวละครของเขาว่า เป็นคน “บ้างาน เขาเป็นพ่อม่าย ผู้รักสันโดษ แจ็คก้าวสู่ระดับสูงสุดของอาชีพเขา ในเมืองที่เขารู้ทุกอย่างดี เขาทำทุกอย่างตามต้องการและคติประจำใจของเขาก็คือทำทุกอย่างให้เรียบง่ายและมั่นคง แต่แล้วจู่ๆ ผู้หญิงที่วิเศษสุด ผู้ที่เขาพบว่ามีเสน่ห์น่าหลงใหล ก็เดินเข้ามาในชีวิตเขา” เคทได้รับการสนับสนุนในเรื่องความก้าวหน้าของหน้าที่การงานของเธอจากผู้หญิงสองคนที่สำคัญต่อชีวิตเธอ นั่นก็คืออัลลิสัน เพื่อนซี้ผู้เป็นแม่ที่ทำงานนอกบ้านเหมือนกัน ที่รับบทโดยคริสตินา เฮนดริคส์ และโมโม รุ่นน้องที่ทำงานผู้ชาญฉลาด ที่รับบทโดยโอลิเวอร์ มันน์ อัลลิสัน ทนายความที่มีอารมณ์ขันแบบเจ้าเล่ห์ ชอบล้อเลียนเคทเกี่ยวกับความชื่นชอบความสมบูรณ์แบบของเธอ ในขณะที่ตัวเธอเองยึดมั่นกับความเป็นจริงมากกว่า “ฉันคิดว่าอัลลิสันคงจะไม่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ตีสามเพื่อทำของหวานสำหรับขายในงานโรงเรียนหรอกนะคะ” เฮนดริคส์หัวเราะ “อัลลิสันและเคทมีนิสัยที่แตกต่างกัน แต่ลึกลงไปแล้ว ทั้งคู่เป็นเพื่อนรักกัน พวกเธอสามารถเปิดอกคุยกันได้และพวกเธอก็สามารถทำให้กันและกันหัวเราะได้ค่ะ” ในทางกลับกัน โมโมไม่เคยมีความคิดฝันอยากจะย่างกรายไปใกล้งานกิจกรรมขายขนมปังของโรงเรียน หรือแม้แต่มีส่วนช่วยเหลือกิจกรรมเลย เธอเป็นผู้หญิงบ้างาน ที่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เธอไม่เข้าใจเลยซักนิดถึงอาการชิลล์ๆ ของเคทในการยอมรับเรื่องอย่างการมีแป้งแพนเค้กบนสาบเสื้อของเธอ “โมโมไม่ใช่ผู้หญิงที่โตมาพร้อมกับความฝันที่จะแต่งงาน มีลูก และมีบ้านรั้วสีขาวน่ะค่ะ” มันน์พูดให้เห็นภาพง่ายๆ ในการเตรียมพร้อมสำหรับบทนี้ เธอจะต้องตัดผมยาวสลวยของเธอให้เป็นทรงบ็อบเก๋ๆ “ดั๊ก แม็คกราธชอบบอกว่าโมโมเป็นผู้หญิงที่ ‘เพรียวลม’ และฉันก็รู้สึกว่าเธอน่าจะอยากตัดผมสั้น เพื่อให้จัดทรงง่ายและดูสะอาดอยู่ตลอดเวลา เธอไม่อยากให้มีอะไรมาขัดขวางจังหวะการเดินไปข้างหน้าของเธอน่ะค่ะ” แม็คกราธกล่าวเห็นพ้องด้วย พลางกล่าวเสริมพร้อมกับหัวเราะว่า “โมโมเป็นตัวแทนมุมมองอย่างหนึ่ง ซึ่งก็คือฉันไม่อยากมีลูก ฉันเห็นแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณเมื่อคุณมีลูก พระเจ้า อย่าให้เกิดเรื่องแบบนี้กับฉันเลย น่ะครับ” การตัดสินใจเลือกทั้งงานและลูกของเคทสร้างความประหลาดใจให้กับพ่อแม่สามีของเธอเช่นกัน แม้ว่าจะด้วยเหตุผลที่ต่างออกไปก็ตาม มาร์ลาและลูว์ เร็ดดี้ ที่รับบทโดยเจน เคอร์ทินและมาร์ค บลัม เป็นตัวแทนของพ่อแม่ยุคเก่า แม้ว่าเธอจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกชายและลูกสะใภ้ของเธอ แต่มาร์ลาก็ไม่ลังเลที่จะตั้งคำถามเคทเกี่ยวกับการตัดสินใจของเธอ เคอร์ทินตั้งข้อสังเกตว่า “ตอนที่มาร์ลาและลูว์สร้างครอบครัว ภรรยาก็จะเป็นฝ่ายอยู่บ้าน ดูแลลูก ส่วนสามีก็จะไปทำงานหาเลี้ยงครอบครัว ดังนั้น พวกเขาก็เลยมีความคิดว่าสิ่งต่างๆ จะต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ แต่พวกเขาก็ไม่ได้ตัดสินอะไรออกนอกหน้า พวกเขาเพียงแค่ตัดสินเธอแบบเงียบๆ เท่านั้นเองค่ะ” ในขณะที่เรื่องราวเผยถึงชีวิตส่วนตัวและงานของเคท I Don’t Know How She Does It ก็นำเสนอมุมมองน่าขบขันและมีสีสันสำหรับโลกการเงินด้วยเช่นกัน แม้ว่าผู้หญิงจะก้าวมาไกลพอตัวในงานสายนี้ แต่เคทก็รู้ดีว่าสถานะแม่ของเธอทำให้เธอเปราะบางต่อคำถามเกี่ยวกับความทุ่มเทให้กับงานของเธอ เธอไม่ต้องมองไปไกลเกินกว่าเพื่อนร่วมงานของเธอที่ยิ้มอยู่ตลอดเวลาอย่างคริส บันซ์ ที่รับบทโดยเซธ ไมเยอร์สเลย บันซ์ไม่เคยปล่อยให้โอกาสที่จะพูดถึงข้อจำกัดที่เกิดจากการทำหน้าที่แม่ของเคทให้หลุดลอยไปเลยซักครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเจ้านายของพวกเขาอยู่ด้วยล่ะก็ การกดขี่เคทเป็นสิ่งที่บันซ์ทำเพื่อความสุขและความก้าวหน้าทางหน้าที่การงาน เหมือนกับการพาลูกค้าไปคลับระบำเปลื้องผ้านั่นแหละ ไมเยอร์สกล่าวว่า “ผมคิดว่าทุกออฟฟิศก็มีคนแบบบันซ์ทั้งนั้นแหละครับ เขาอาจจะทะเยอทะยานกว่าคนอื่นๆ หน่อย บางทีเขาอาจจะไม่ได้เก่งอย่างที่เขาคิด และบางทีอาจจะขี้อิจฉาไปซักหน่อยด้วย” เขากล่าวเสริม อย่างไรก็ดี คลาร์ค คูเปอร์ เจ้านายของพวกเขา ก็ไม่ได้มองข้ามแผนการของบันซ์ไปซะทั้งหมด เคลซีย์ แกรมเมอร์ ผู้รับบทสำคัญนี้ มองตัวละครของเขาว่าเป็นเจ้านายที่ดี แม้ว่าจะเจ้ากี้เจ้าการไปซักหน่อย “คลาร์คเป็นคนน่ากลัวเพราะเขาทำงานได้อย่างดีเยี่ยม และมีชื่อเสียงโด่งดัง เขาเชื่อในการปฏิบัติกับผู้หญิงอย่างดี และเขาก็รู้สึกอึดอัดกับการพูดคุยเรื่องส่วนตัวกับพนักงานผู้หญิงของเขา” แกรมเมอร์บอกว่า “แต่เขาก็เป็นเจ้านายที่ดี และยุติธรรมครับ” แม็คกราธกล่าวชื่นชมเพียร์สันและมือเขียนบทแม็คเคนนาสำหรับการถ่ายทอดเรื่องราวตัวละครที่ไม่ค่อยเข้าใจมุมมองและประสบการณ์ของเคทเท่าใดนัก “อัลลิสันและอัลลินหลีกเลี่ยงการใช้ตัวละครตามแบบฉบับเช่นแม่สามีใจร้าย หัวหน้าขี้หงุดหงิด และคนนิสัยไม่ดีประจำออฟฟิศ แน่นอนว่าบันซ์เป็นคนนิสัยไม่ดีก็จริง แต่เขาก็อำพรางนิสัยไม่ดีพวกนั้นในแบบที่คนที่ร่วมงานกับเราทำน่ะครับ” ปาร์กเกอร์คาดหวังว่าเธอจะมีความสุขกับการได้แสดงประกบนักแสดงผู้คร่ำหวอดในวงการและดาราดาวรุ่ง ผู้รับบทเป็นผู้ใหญ่ในภาพยนตร์เรื่องนี้ และก็เป็นไปตามนั้นจริงๆ สิ่งที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่าคือการเป็นมืออาชีพและท่าทีของเพื่อนร่วมงานวัยเยาว์ของเธอ เอ็มมา เรย์น ไลล์ ผู้รับบทเอมิลี และฝาแฝดธีโอดอร์และจูเลียส โกลด์เบิร์ก ผู้สลับกันรับบท เบน “พวกเด็กๆ เป็นส่วนสำคัญของเรื่องค่ะ และพวกเขาก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับหนังเรื่องนี้อย่างมาก” ปาร์กเกอร์ให้ความเห็น “ตามปกติแล้ว ตอนที่คุณทำงานร่วมกับเด็ก คุณก็จะกังวลว่าพวกเขาจะเหนื่อย จะเบื่อหรือขาดสมาธิ แต่มันไม่เกิดขึ้นเลย เอ็มมา เรย์นน่ารัก มีพรสวรรค์และหัวไวมาก และฝาแฝดธีโอดอร์กับจูเลียส์ก็น่ารักมาก การได้ร่วมงานกับพวกเขาทำให้พวกเราทุกคนที่อยู่ในกองถ่ายมีความสุขอย่างมากค่ะ” I Don’t Know How She Does It เริ่มเปิดกล้องในนิวยอร์ก ซิตี้ ในวันที่ 17 มกราคม ปี 2011 และเสร็จสิ้นการถ่ายทำนานแปดสัปดาห์ในช่วงกลางเดือนมีนาคม แม้ว่าเรื่องราวจะเกิดขึ้นในบอสตันและแมนฮัตตัน แต่การถ่ายทำส่วนใหญ่ก็เกิดขึ้นในนิวยอร์ก ซิตี้ หน้าที่ของผู้ออกแบบงานสร้าง ซานโต้ โลควอสโต้ คือการหาโลเกชันในนิวยอร์ก ที่จะแทนที่ฉากในบอสตันของเรื่องได้ และมีภาพวิชวลที่ค้านกับซีเควนซ์ที่เกิดขึ้นในแมนฮัตตัน แม็คกราธกล่าวว่า “ซานโต้ โลควอสโต้เป็นหนึ่งในผู้ออกแบบงานสร้างที่ดีที่สุดในวงการหนังและละคร ผมคิดว่าเขารู้จักนิวยอร์ก ซิตี้ดีกว่าตำรวจเสียอีก เขามีสายตาที่เฉียบคมเป็นพิเศษและเขาก็สามารถหาโลเกชันที่ดีที่สุดให้เราได้ครับ” ท้องถนนที่เต็มไปด้วยทาวน์เฮาส์และเศษใบไม้ของบรูคลิน ไฮท์ถูกใช้แทนบ่านแบ็ค เบย์ในบอสตันของครอบครัวเร็ดดี้ ในขณะที่ออฟฟิศช่วงต้นศตวรรษที่ยี่สิบที่มองออกไปเห็นเมดิสัน สแควร์ก็กลายเป็นสถานที่ทำงานของเคทในบอสตัน ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย เรเน เออร์ลิค คัลฟัส ตอบรับความท้าทายในการเปลี่ยนนักแสดงหญิงผู้เป็นที่รู้จักในฐานะไอคอนนิวยอร์กให้กลายเป็นคนใหม่ เคท เร็ดดี้แตกต่างโดยสิ้นเชิงกับแคร์รีย์ แบรดชอว์ และซาราห์ เจสสิก้า ปาร์คเกอร์ก็ยินดีรับความเปลี่ยนแปลงนี้ “ซาราห์ เจสสิก้า ปาร์คเกอร์รู้ดีว่า เครื่องแต่งกายที่ใช่จะเป็นตัวกำหนดตัวละครตัวนี้ค่ะ” คัลฟัสบอก “เคทเป็นแม่ และเธอก็แต่งตัวแบบไม่ค่อยใส่ใจเท่าไหร่ เสื้อผ้าไม่ใช่สิ่งสำคัญอันดับแรกของเธอ เธอก็เลยจะคว้าของใกล้มือมาใส่ ในขณะเดียวกัน เธอก็ชื่นชอบของแบบผู้หญิงๆ ที่จะเหมาะสำหรับการใช้ในที่ทำงานด้วยค่ะ” ไฮไลท์ในการถ่ายทำสำหรับปาร์กเกอร์และบรอสแนนคือซีเควนซ์ที่ลานโบว์ลิงในคลีฟแลนด์ ทีมนักแสดงและทีมงานได้เดินทางจากแมนฮัตตัน ผ่านควีนส์ ในเช้าหลังจากที่เกิดพายุหิมะโหมกระหน่ำ เพื่อไปที่ลานโบว์ลิงที่เหมือนโผล่มาจากยุค 60s ที่ซึ่งนักแสดงใช้เวลาส่วนใหญ่ในการทำสไตรค์ เก็บสแปร์และล้างท่อ “นั่นเป็นหนึ่งในวันที่สนุกที่สุดของเราครับ” ดักกลาส แม็คกราธบอก “เพียร์ซเข้ามาพร้อมกับพูดว่า ‘ผมเล่นโบว์ลิงไม่เป็น ผมเล่นโบว์ลิงไม่เป็น มันจะต้องออกมาแย่แน่ๆ’ เหมือนกับแจ็คในบทเลยครับ เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครเล่นโบว์ลิงเก่ง แต่กลายเป็นว่าเพียร์ซเป็นเหมือนเฟร็ด แอสแตร์ในโลกโบว์ลิง ส่วนซาราห์ เจสสิก้า พอเธอได้บอล เธอก็โยนมันออกไปทันที เราสนุกกันมากครับ” สิบวันสุดท้ายของการถ่ายทำเกิดขึ้นที่ไซน์ เมจิค ริเวอร์ฟรอนท์ สตูดิโอส์ในบรูคลิน ที่ซึ่งผู้ออกแบบงานสร้าง โลควอสโต้ได้สร้างชั้นล่างของทาวน์เฮาส์ในบอสตันของเคทและริชาร์ดขึ้นมาทั้งหมด ทุกรายละเอียดของฉากนี้บ่งบอกถึงบ้านที่เก่าแก่ในบอสตัน ซึ่งบัดนี้กลายเป็นบ้านของครอบครัวอเมริกันศตวรรษที่ 21 ไม่มีรายละเอียดไหนที่ถูกมองข้ามไปเลย “มีฉากหนึ่งที่เคทและริชาร์ดกินอาหารค่ำกันที่บ้าน และท้ายที่สุด พวกลูกๆ ก็เข้านอน” แม็คกราธเล่า “มันมีความรู้สึกที่พ่อแม่หลายคนรู้กันทำนองว่า ‘เฮ้อ! ในที่สุดพวกเขาก็เข้านอนซะที’ ในครึ่งแรกของฉากนั้น ซาราห์ เจสสิก้าทำเพียงแค่ทำความสะอาดโต๊ะกินข้าว ซึ่งเลอะไปหมด เหมือนกับหลายๆ บ้านที่มีเด็ก เธอเอาของทั้งหมดของเด็กๆ พวกนิตยสาร ใบเรียกเก็บเงิน และอื่นๆ วางไว้บนเก้าอี้ แล้วดันเก้าอี้ไว้ใต้โต๊ะ เกร็กเอากับข้าวออกจากไมโครเวฟ มาตั้งไว้ที่โต๊ะให้พวกเขาได้กินกัน ผมคิดว่าคงจะมีคนที่จำภาพเหตุการณ์แบบนั้นได้” ปาร์กเกอร์หวังว่า I Don’t Know How She Does It คงจะเหมือนกับฉบับนิยาย ที่จะสร้างความบันเทิงและความชื่นชอบในหมู่ผู้ชมทั้งชายและหญิง “ฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องราวที่สามีและภรรยา แฟนหนุ่มและแฟนสาว หรือแม้แต่เพื่อนชายกับเพื่อนชายและเพื่อนสาวกับเพื่อนสาวจะมาดูด้วยกันได้” เธอบอก “ดั๊กตั้งใจสร้างคอเมดีที่ตรงไปตรงมาเกี่ยวกับงาน ความรักและความเป็นพ่อแม่ และนั่นก็สิ่งที่เขาทำไว้ค่ะ” ประวัตินักแสดง SARAH JESSICA PARKER ซาราห์ เจสสิก้า ปาร์กเกอร์ (เคท เร็ดดี้) ซาราห์ เจสสิก้า ปาร์กเกอร์ เป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องทั้งในแวดวงภาพยนตร์ โทรทัศน์และแฟชัน โดยเธอมักจะสร้างผลงานที่น่าประทับใจผ่านทางสไตล์ที่น่าทึ่งและดูเป็นตัวของตัวเอง ปาร์กเกอร์ เป็นนักแสดงมาตั้งแต่อายุแปดขวบ และเธอก็ยังคงสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองทั้งในฐานะศิลปินและผู้ให้ความบันเทิงอย่างไม่หยุดยั้ง ปาร์กเกอร์รับหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างและรับบทที่ทำให้เธอได้รับรางวัลเอ็มมี อวอร์ดอีกครั้ง ซึ่งก็คือบทแคร์รีย์ แบรดชอว์ในภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากซีรีส์ฮิตทางเอชบีโอเรื่อง Sex and the City ตามด้วย Sex and the City 2 ที่เพิ่งลงโรงไป ปาร์กเกอร์เอาชนะใจทั้งนักวิจารณ์และผู้ชมในซีรีส์ที่ทำให้เธอได้รับรางวัลลูกโลกทองคำสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมในปี 2000, 2001, 2002, 2004 รวมไปถึงรางวัลแซ็ก อวอร์ดในปี 2001 ด้วย นอกจากนี้ ปาร์กเกอร์ยังรับหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างซีรีส์ดังกล่าว ซึ่งได้รับรางวัลลูกโลกทองคำสาขาซีรีส์คอเมดียอดเยี่ยมสามปีติดต่อกันในปี 2000, 2001 และ 2002 และได้รับรางวัลเอ็มมีสาขาซีรีส์คอเมดียอดเยี่ยมในปี 2001 เอชบีโอและปาร์กเกอร์ได้ตกลงทำสัญญาเพื่อให้ปาร์คเกอร์พัฒนาและอำนวยการสร้างรายการทั้งขนาดสั้นและยาวสำหรับเอชบีโอและภาพยนตร์ผ่านทางบริษัทพริตตี้ แมทเช็ส โปรดักชันส์ ซึ่งเป็นบริษัทโปรดักชันของเธอ เธอรับหน้าที่ผู้ควบคุมงานสสร้างรายการ Work of Art: The Next Great Artist ทางบราโว ที่ซึ่งศิลปินหน้าใหม่ได้แสดงผลงานเดี่ยวที่พิพิธภัณฑ์บรูคลิน ผลงานหลังจากนี้ของปาร์กเกอร์ได้แก่ New Year’s Eve ซีเควลของคอเมดีฮิตเรื่อง Valentine’s Day ที่กำกับโดยแกร์รี มาร์แชล และร่วมแสดงโดยโรเบิร์ต เดอ นีโร, มิเชลล์ ไฟเฟอร์และฮิลลารี สแวงค์ ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเธอได้แก่ Did You Hear About the Morgans ประกบฮิวจ์ แกรนท์, Smart People ที่แสดงประกบเดนนิส เควด, Failure to Launch ที่เธอแสดงประกบแมทธิว แม็คคอนนาเฮย์, การแสดงที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำของเธอในภาพยนตร์เรื่อง The Family Stone, ภาพยนตร์คอเมดีเสียดสีโดยเดวิด มาเม็ตเรื่อง State and Main, ภาพยนตร์พาราเมาท์เรื่อง Til There Was You, ภาพยนตร์โดยทิม เบอร์ตันเรื่อง Mars Attacks, If Lucy Fell ที่เธอแสดงประกบเบน สติลเลอร์, ภาพยนตร์โดยทิม เบอร์ตันเรื่อง Ed Wood ที่ร่วมแสดงโดยจอห์นนี เดปป์, The First Wives Club ที่ร่วมแสดงโดยเบ็ตต์ มิดเลอร์, ไดแอน คีย์ตันและโกลดี้ ฮอว์น, Miami Rhapsody ที่ร่วมแสดงกับแอนโตนิโอ แบนเดอรัส, ภาพยนตร์ดิสนีย์เรื่อง Hocus Pocus, Honeymoon in Vegas ที่แสดงประกบนิโคลัส เคจและการแสดงที่ทำให้เธอโด่งดังใน LA Story ที่ร่วมแสดงโดยสตีฟ มาร์ติน ผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกๆ ของปาร์กเกอร์ได้แก่ Flight of the Navigator, Girls Just Want to Have Fun, Footloose ที่นำแสดงโดยเควิน เบคอน, ภาพยนตร์โดยไมเคิล แอ็พเท็ดเรื่อง First Born, ภาพยนตร์โดยโรเบิร์ต ไวเมอร์เรื่อง Somewhere Tomorrow และภาพยนตร์โดยยูไนเต็ด อาร์ติสท์เรื่อง Rich Kids ที่นำแสดงโดยจอห์น ลิธโกว์ ปาร์กเกอร์รับหน้าที่ประธานและซีซีโอของฮัลสตอนระหว่างปี 2010 ถึงกรกฎาคม ปี 2011 นอกจากนี้ เธอยังเป็นทูตขององค์กรยูนิเซฟอีกด้วย ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2009 ทีมบริหารของโอบามาได้เลือกเธอให้เป็นสมาชิกคณะกรรมการด้านศิลปะและมนุษยวิทยาของประธานาธิบดี PIERCE BROSNAN เพียร์ซ บรอสแนน (แจ็ค อาเบลแฮมเมอร์) เพียร์ซ บรอสแนน ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงลูกโลกทองคำสองสมัย ได้รับการยกย่องจากทั่วโลกในฐานะนักแสดง ดรามาที่มีเสน่ห์และมีความสามารถสูงสุดคนหนึ่งของฮอลลีวูดในปัจจุบัน เขาสนุกกับการทำงานทั้งหน้ากล้องและเบื้องหลังในฐานะผู้อำนวยการสร้าง ผลงานภาพยนตร์เร็วๆ นี้ของบรอสแนนได้แก่ Percy Jackson & The Olympians: The Lightning Thief ที่สร้างขึ้นจากนิยายเบสต์เซลเลอร์โดยริชาร์ด ริออร์แดน, ภาพยนตร์ชื่อดังโดยโรมัน โปแลนสกี้เรื่อง The Ghost Writer ที่ร่วมแสดงกับยวน แม็คเกรเกอร์, Remember Me ที่ร่วมแสดงกับโรเบิร์ต แพททินสันและ The Greatest ที่ร่วมแสดงกับซูซาน ซาแรนดอนและแครีย์ มุลลิแกน และเปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ ภายใต้การตอบรับอย่างอบอุ่น ผลงานภาพยนตร์ของเขาได้แก่ภาพยนตร์ฮิตที่ดัดแปลงจากละครบรอดเวย์ยอดนิยมเรื่อง Mamma Mia! (2008) ที่แสดงประกบเมอริล สตรีพ, Married Life (2007) ซึ่งเขาแสดงประกบราเชล แม็คอดัมส์, แพทริเซีย คลาร์คสันและคริส คูเปอร์ให้กับผู้กำกับอิรา แซ็คส์, ดรามาสงครามกลางเมือง Seraphim Falls (2007) ซึ่งเขาแสดงประกบเลียม นีสัน, The Matador (2005) ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมประเภทภาพยนตร์และได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลสถาบันภาพยนตร์และโทรทัศน์ไอริชสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม, ภาพยนตร์ชื่อดังโดยจอห์น บัวร์แมนเรื่อง Grey Owl (1999), ภาพยนตร์โดยทิม เบอร์ตันเรื่อง Mars Attacks (1996), The Mirror Has Two Faces (1996) ประกบบาร์บรา สตรายแซนด์, Mrs. Doubtfire (1993) ที่ร่วมแสดงกับโรบิน วิลเลียมส์และภาพยนตร์โดยบรูซ เบเรสฟอร์ดเรื่อง Mr. Johnson (1990) แต่บางที เขาอาจเป็นที่รู้จักดีที่สุดจากบทเจมส์ บอนด์ บรอสแนนได้ปลุกกระแสความนิยมในแฟรนไชส์บอนด์ขึ้นมาใหม่อีกครั้งด้วยภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์เรื่อง Goldeneye (1995), Tomorrow Never Dies (1997), The World Is Not Enough (1999) และ Die Another Day (2002) ภาพยนตร์บอนด์สามเรื่องแรกของบรอสแนนทำรายได้ไปกว่าหนึ่งพันล้านเหรียญทั่วโลกและ Die Another Day เพียงเรื่องเดียวก็ทำรายได้ไปกว่าเกือบห้าร้อยล้านเหรียญทั่วโลก นอกเหนือจากภาพยนตร์บอนด์ทั้งสี่เรื่องแล้ว ภาพยนตร์อีกสามเรื่องของเขาคือ The Thomas Crown Affair (1999), Dante’s Peak (1997) และ The Lawnmower Man (1992) ก็ทำรายได้รวมกันหลายร้อยล้านเหรียญทั่วโลก ทำให้เขาขึ้นแท่นหนึ่งในดาราที่ทำเงินได้สูงสุดของโลกไปอย่างปฏิเสธไม่ได้ นอกเหนือจากงานหน้ากล้องแล้ว บรอสแนนยังสนใจศิลปะการถ่ายทำภาพยนตร์มาโดยตลอด หลังจากที่ก้าวสู่สถานะความเป็นดาราดังในฐานะนักแสดงแล้ว บรอสแนนก็ขยายขอบเขตการทำงานของเขาออกไปอีกด้วยการก่อตั้งบริษัทโปรดักชันของตัวเองขึ้นมาในชื่อ ไอริช ดรีมไทม์ในปี 1996 ร่วมด้วยคู่หูอำนวยการสร้าง โบ เซนต์แคลร์ จนถึงปัจจุบัน ไอริช ดรีมไทม์ได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เจ็ดเรื่องได้แก่ The Nephew (1998), The Thomas Crown Affair (1999), Evelyn (2002), ดรามาชื่อดังที่กำกับโดยบรูซ เบเรสฟอร์ด, Laws of Attraction (2004) โรแมนติกคอเมดีที่นำแสดงโดยบรอสแนนและจูลีแอนน์ มัวร์, The Matador (2005), Shattered (2007) ซึ่งนำแสดงโดยบรอสแนนกับมาเรีย เบลโลและเจอราร์ด บัตเลอร์และ The Greatest ผลงานหลังจากนี้ของไอริช ดรีมไทม์ได้แก่ภาคสองของ The Thomas Crown Affair รางวัลส่วนหนึ่งที่บรอสแนนได้รับได้แก่ 2007 โกลเดน คาเมรา อวอร์ดจากงานด้านสิ่งแวดล้อมของเขา, รางวัลความสำเร็จแห่งชีวิตจากงานเทศกาลภาพยนตร์ชิคาโก, รางวัลดาราระดับโลกแห่งปีที่งานซีนีมา เอ็กซ์โปในอัมสเตอร์ดัม, ปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์สาขาศิลปศาสตร์จากสถาบันดับลิน อินสติติวท์ ออฟ เทคโนโลยี, ปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยคอร์คและยศออร์เดอร์ ออฟ เดอะ บริติช เอ็มไพร์จากสมเด็จพระราชินีนาถ บรอสแนนเกิดในเขตมีธ ประเทศไอร์แลนด์ และย้ายไปลอนดอนเมื่ออายุได้ 11 ปี พออายุได้ 20 ปี เขาก็เข้าศึกษาโรงเรียนการละคร และระหว่างที่อยู่ในลอนดอน เขาก็ได้แสดงละครเวสต์เอนด์หลายเรื่อง ซึ่งรวมถึง Fulimena โดยฟรังโก้ เซฟฟิเรลลีและ The Red Devil Battery Sign โดยเทนเนสซี วิลเลียมส์ ที่โรงละครยอร์ค เธียเตอร์ รอยัล บรอสแนนย้ายไปลอสแองเจลิสในปี 1982 และได้รับบทนำเป็นนักสืบเอกชนในซีรีส์ยอดนิยมทางเอบีซีเรื่อง Remington Steele ในทันที GREG KINNEAR เกร็ก คินเนียร์ (ริชาร์ด เร็ดดี้) เกร็ก คินเนียร์ นักแสดงเจ้าของรางวัลเอ็มมี ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ด ยังคงดึงดูดความสนใจจากผู้ชมและได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมจากบทบาทหลากหลายที่น่าสนใจในจอแก้วและจอเงิน ล่าสุด คินเนียร์มีผลงานใน Salvation Boulevard ที่เขาแสดงประกบเจนนิเฟอร์ คอนเนลลี, มาริสา โทเมและเพียร์ซ บรอสแนน เขารับบทจอห์น เอฟ. เคนเนดี้ในมินิซีรีส์เรื่อง The Kennedys ซึ่งร่วมแสดงโดยเคที โฮล์มส์, ทอม วิลคินสันและแบร์รี เป็ปเปอร์ ซีรีส์ 8 ตอนที่แพร่ภาพครั้งแรกทางรีลส์แชนแนลในเดือนเมษายน ปี 2011 หลังจากนี้ คินเนียร์จะได้แสดงประกบอลัน อาร์กิน, บิลลี ครูดัพและลีอา ธอมป์สันใน Thin Ice ในปี 2010 คินเนียร์ได้แสดงประกบแมทท์ เดมอนในดรามาสงครามโดยพอล กรีนกราสเรื่อง Green Zone, คอเมดีเรื่อง Ghost Town กับริคกี้ เกอร์เวส, ดรามาที่สร้างจากเรื่องจริง Flash of Genius ที่ร่วมแสดงโดยลอเรน เกรแฮม ในปี 2006 คินเนียร์ได้แสดงใน Little Miss Sunshine ภาพยนตร์ฮิตในเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ได้รับการยกย่องจากนักวิจารณ์ทั่วประเทศ ได้รับการเสนอชื่อชิงหลายรางวัลอคาเดมี อวอร์ด และคว้ารางวัลอินดีเพนเดนท์ สปริต อวอร์โมาครองได้ ในขณะที่คินเนียร์ รวมทั้งสตีฟ คาเรล, อลัน อาร์กิน, อบิเกล เบรสลิน, พอล ดาโนและโทนี คอลเล็ตต์ก็ได้รับรางวัลแซ็ก อวอร์ดสาขาทีมนักแสดงยอดเยี่ยมประเภทภาพยนตร์ร่วมกัน ในปี 1997 คินเนียร์ได้แสดงประกบแจ็ค นิโคลสัน ในบทไซมอน เพื่อนบ้านผู้โชคร้ายของเขาในภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดโดยเจมส์ แอล. บรูคส์เรื่อง As Good As It Gets การแสดงของเขาไม่เพียงแต่ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดเท่านั้น แต่ยังทำให้เขาได้รางวัลสมาคมนักวิจารณ์แห่งชาติสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมอีกด้วย นอกจากนั้น เขายังได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลในสาขาเดียวกันจากเวทีลูกโลกทองคำและสมาพันธ์นักแสดงในปีนั้นอีกด้วย หลังจากนั้น เขาได้ร่วมแสดงกับทอม แฮงค์และเม็ก ไรอัน ในภาพยนตร์โรแมนติกคอเมดีฮิตโดยนอรา เอฟรอนเรื่อง You’ve Got Mail คินเนียร์เปิดตัวในโลกภาพยนตร์ด้วยรีเมกที่กำกับโดยซิดนีย์ พอลแล็คเรื่อง Sabrina ที่เขาแสดงประกบแฮร์ริสัน ฟอร์ดและจูเลีย ออสมอนด์ การแสดงของเขาทำให้องค์กรเจ้าของโรงภาพยนตร์ยกย่องให้เขาเป็นดาราแห่งอนาคตของนาโต้ โชเวสต์ ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ ภาพยนตร์โดยพอล ชเรเดอร์เรื่อง Auto Focus, Invincible ประกบมาร์ค วอห์ลเบิร์ก, ภาพยนตร์โดยริชาร์ด ลิงค์เลเตอร์เรื่อง Fast Food Nation ที่สร้างขึ้นจากหนังสือขายดีโดยอีริค ชลอสเซอร์, Feast of Love ที่กำกับโดยโรเบิร์ต เบนตันและร่วมแสดงโดยมอร์แกน ฟรีแมน, ภาพยนตร์โดยไมค์ นิโคลส์เรื่อง What Planet Are You From? ที่ร่วมแสดงกับแกร์รี แชนด์ลิงและแอนเน็ตต์ เบนนิงและบทคามีโอเป็นกัปตัน อเมซซิงใน Mystery Men รวมไปถึง The Matador, Bad News Bears, We Were Soldiers, Dinner With Friends ทางเอชบีโอ, Someone Like You, Stuck on You, The Gift, Unknown, Nurse Betty และ Baby Mama คินเนียร์แทบเรียกได้ว่าเติบโตขึ้นมาในแทบทุกบริเวณของโลก ด้วยความที่ครอบครัวของเขาย้ายตามพ่อผู้ทำงานกับรัฐบาลไปยังดินแดนต่างๆ เช่นโลแกนสปอร์ต, อินเดียนา, วอชิงตัน ดีซี, ไบรุต ประเทศเลบานอนและเอเธนส์ ประเทศกรีซ ปัจจุบัน เขาใช้ชีวิตอยู่ในลอสแองเจลิสกับภรรยาและลูกสาวสามคน ประวัติทีมผู้สร้าง DOUGLAS McGRATH ดักกลาส แม็คกราธ (ผู้กำกับ) ดักกลาส แม็คกราธ ไม่ได้เป็นที่รู้จักดีในฐานะผู้กำกับเท่านั้น แต่ยังรวมถึงฐานะมือเขียนบท นักแสดงและนักเขียนบทความยอดนิยม และผู้ให้ความเห็นในสื่อสิ่งพิมพ์ชื่อดังทั้งหลายเช่น เดอะ นิวยอร์กเกอร์, เดอะ นิว รีพับลิค, เดอะ นิวยอร์ก ไทม์และวานิตี้ แฟร์ เขาเกิดและเติบโตในเท็กซัส เขาเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลับปรินซ์ตัน และหลังจากสำเร็จการศึกษาได้ไม่นาน เขาก็ได้ทำงานในฐานะมือเขียนบทใน Saturday Night Live บทภาพยนตร์เรื่องแรกของเขาคือรีเมก Born Yesterday โดยการ์สัน คานิน ซึ่งนำแสดงโดยเมลานีย์ กริฟฟิธ, ดอน จอห์นสันและจอห์น กู๊ดแมน เขาแจ้งเกิดได้ด้วยบทภาพยนตร์เรื่องที่สอง Bullets Over Broadway (ซึ่งเขามีเครดิตร่วมกับผู้กำกับวู้ดดี้ อัลเลน) มันทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ด และได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลสมาพันธ์มือเขียนบท บาฟตาและอินดีเพนเดนท์ สปิริต อวอร์ด ความสำเร็จจาก Bullets Over Broadway ทำให้แม็คกราธได้กำกับผลงานเรื่องแรก Emma ที่ดัดแปลงจากนิยายของเจน ออสเตนให้กับมิราแมกซ์ นอกจากนี้ แม็คกราธยังได้เขียนบทภาพยนตร์ให้กับภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จด้านคำวิจารณ์และได้รับความนิยมอย่างสูงเรื่องนี้ ซึ่งนำแสดงโดยกวินเนธ พัลโทรว์, เจเรมี นอร์ธแฮม, อลัน คัมมิงและโทนี คอลเล็ตต์อีกด้วย หลังจากนั้น เขาก็ได้นำแสดง ร่วมเขียนบทและร่วมกำกับ (กับปีเตอร์ แอสกิน) ภาพยนตร์เรื่อง Company Man คอเมดีที่มีเรื่องราวเกิดขึ้นในคิวบา ในยุค 60s ซึ่งร่วมแสดงโดยซิเกอร์นีย์ วีฟเวอร์, พอล กิลฟอยล์, อลัน คัมมิงและวู้ดดี้ อัลเลน หลังจากนั้น แม็คกราธก็ได้สร้างภาพยนตร์อังกฤษ Nicholas Nickleby ที่สร้างขึ้นจากนิยายโดยชาร์ลส์ ดิคเคนส์ นำแสดงโดยชาร์ลีย์ ฮันแนม ร่วมด้วยเจมี เบล, คริสโตเฟอร์ พลัมเมอร์, แอนน์ ฮาธาเวย์, อลัน คัมมิง, จิม บรอดเบนท์, จูเลียต สตีเวนสันและทอม คอรท์เทเนย์ โดยแม็คกราธควบตำแหน่งผู้กำกับและมือเขียนบทอีกครั้งหนึ่ง ในปี 2006 แม็คกราธได้เขียนบทและกำกับ Infamous ที่สร้างขึ้นจากชีวประวัติของทรูแมน คาโพเทของจอร์จ พลิมพ์ตันที่มีชื่อว่า Truman Capote: In Which Various Friends, Enemies, Acquaintances and Detractors Recall His Turbulent Career แม้ว่ามันจะเปิดตัวไม่นานหลังจาก Capote ซึ่งเป็นคู่แข่ง แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่นไม่แพ้กัน โทบี้ โจนส์รับบทคาโพเท ร่วมแสดงโดยซิเกอร์นีย์ วีฟเวอร์, กวินเนธ พัลโทรว์, แซนดรา บุลล็อค, อิซาเบลลา รอสเซลลินี, แดเนียล เคร็ก, เจฟฟ์ แดเนียลส์และโฮป เดวิส ในเดือนเมษายน ปี 2011 His Way สารคดียาวเกี่ยวกับเจอร์รี ไวน์ทร็อบ ผู้อำนวยการสร้างฮอลลีวูดของเขา ได้แพร่ภาพทางเอชบีโอเป็นครั้งแรก เกรย์ดอน คาร์เตอร์และสตีเวน โซเดอร์เบิร์กห์เป็นส่วนหนึ่งของผู้อำนวยการสร้างของเรื่อง และนักแสดงผู้มีส่วนร่วมในการสัมภาษณ์ครั้งนี้ด้วยได้แก่เจมส์ คาน, แมทท์ เดมอน, แอนดี้ การ์เซีย, จูเลีย โรเบิร์ตส์, จอร์จ คลูนีย์และเอลเลน บาร์กิน ผลงานการแสดงของแม็คกราธได้แก่ Solitary Man, Michael Clayton, Hollywood Ending, Small Time Crooks, The Insider, Celebrity, Happiness, The Day Trippers และ Quiz Show DONNA GIGLIOTTI ดอนนา กิกลิออตติ (ผู้อำนวยการสร้าง) ดอนนา กิกลิออตติ เป็นหนึ่งในผู้หญิงเพียงห้าคนที่ได้รับรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม โดยเธอได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดในปี 1998 จากการอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง Shakespeare in Love ซึ่งได้รับรางวัลออสการ์อีกหกรางวัล ซึ่งรวมถึงสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม (กวินเนธ พัลโทรว์), นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม (จูดี้ เดนช์) และบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม (ทอม สต็อปเพิร์ดและมาร์ค นอร์แมมน) นอกจากนี้ กิกลิออตติยังได้รับรางวัลลูกโลกทองคำปี 1999 ในสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมประเภทคอเมดีและบาฟตาปี 2000 จากภาพยนตร์เรื่องนี้อีกด้วย Shakespeare in Love เป็นผลงานเรื่องแรกของเธอในฐานะผู้อำนวยการสร้างอิสระ ปัจจุบัน กิกลิออตติดำรงตำแหน่งประธานฝ่ายโปรดักชันของวีนสไตน์ คัมปะนี ผลงานเรื่องแรกของเธอกับบริษัทแห่งนี้คือ I Don’t Know How She Does It หลังจากนี้ เธอจะอำนวยการสร้าง The Silver Linings Playbook ที่จะกำกับโดยเดวิด โอ. รัสเซลและ The Boys in the Boat ที่สร้างขึ้นจากหนังสือนอนฟิคชันเกี่ยวกับทีมเรือพายของมหาวิทยาลัยวอชิงตัน ที่ได้เป็นตัวแทนของอเมริกาในการแข่งขันโอลิมปิคปี 1936 ในปี 2009 กิกลิออตติได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมอีกครั้งจากการอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง The Reader ที่กำกับโดยสตีเฟน ดัลดรี้ ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดทั้งหมดห้าสาขา ซึ่งรวมถึงสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม สำหรับเคท วินสเล็ต นอกจากนี้ The Reader ยังได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำปี 2008 สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมประเภทดรามา รางวัลบาฟตาปี 2008 สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและรางวัลภาพยนตร์ยุโรปปี 2009 อีกด้วย ผลงานการอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ได้แก่ Let Me In ที่กำกับโดยแมทท์ รีฟส์และนำแสดงโดยโคดี้ สมิท-แม็คฟีย์ และริชาร์ด เจนกินส์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลกอธแธม อวอร์ดปี 2010 สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, Two Lovers ที่กำกับโดยเจมส์ เกรย์และนำแสดงโดยกวินเนธ พัลโทรว์และวาคิน ฟินิกซ์ และได้ลงประกวดในงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ปี 2009 และได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในสิบภาพยนตร์อินดียอดเยี่ยมแห่งปี 2009 จากสมาพันธ์นักวิจารณ์ภาพยนตร์แห่งชาติ, Shanghai ที่กำกับโดยมิคาเอล ฮาล์ฟสตรอม และนำแสดงโดยจอห์น คูแซ็คและกงลี่, The Goof Night ที่นำแสดงโดยกวินเนธ พัลโทรว์และเพเนโลเป้ ครูซและ Vanity Fair ที่กำกับโดยมิรา แนร์ และนำแสดงโดยรีส วิทเธอร์สปูน ก่อนหน้านี้ กิกลิออตติดำรงตำแหน่งประธานฝ่ายโปรดักชันที่ยูเอสเอ ฟิล์มส์ ซึ่งเป็นแผนกหนึ่งของยูเอสเอ เอนเตอร์เทนเมนต์ กรุ๊ปของแบร์รี ดิลเลอร์ ระหว่างดำรงตำแหน่ง บริษัทแห่งนี้ได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์โดยสตีเวน โซเดอร์เบิร์กห์เรื่อง Traffic (ได้รับรางวัลออสการ์สาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม นักแสดงนำชายยอดเยี่ยมและบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยมในปี 2001), ภาพยนตร์โดยโรเบิร์ต อัลท์แมนเรื่อง Gosford Park (ที่ได้รับรางวัลออสการ์สาขาบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยมในปี 2002), ภาพยนตร์โดยนีล ลาบู๊ทเรื่อง Possession (ที่นำแสดงกวินเนธ พัลโทรว์) และภาพยนตร์โดยโจเอลและอีธาน โคเอนเรื่อง The Man Who Wasn’t There นอกจากนี้ เธอยังมีส่วนรับผิดชอบการซื้อสิทธิภาพยนตร์โดยมิรา แนร์เรื่อง Monsoon Wedding และภาพยนตร์โดยหว่องกาไวเรื่อง In the Mood For Love อีกด้วย กิกลิออตติดำรงตำแหน่งรองประธานบริหารที่มิราแมกซ์ ฟิล์มส์ระหว่างปี 1993-1996 ที่ซึ่งเธอได้ดูแลและควบคุมงานสร้างภาพยนตร์หลายเรื่อง ซึ่งรวมถึงภาพยนตร์โดยดั๊ก แม็คกราธเรื่อง Emma ที่นำแสดงโดยกวินเนธ พัลโทรว์, ภาพยนตร์โดยไมเคิล ฮอฟแมนเรื่อง Restoration ที่นำแสดงโดยโรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์และภาพยนตร์โดยฟรังโก้ เซฟเฟเรลลีเรื่อง Jane Eyre ที่นำแสดงโดยชาร์ล็อตต์ เกนส์เบิร์ก กิกลิออตติเริ่มต้นทำงานในแวดวงภาพยนตร์ในตำแหน่งผู้ช่วยมาร์ติน สกอร์เซซีใน Raging Bull เธอยกย่องผู้กำกับสกอร์เซซีว่าได้สอนทุกอย่างที่เธอรู้เกี่ยวกับภาพยนตร์นีโอเรียลลิสต์ของอิตาลี และได้แนะนำเธอให้รู้จักกับภาพยนตร์ของพาวเวลล์และเพรสเบอร์เกอร์ หลังจากผลงานของเธอใน Raging Bull แล้ว เธอก็ย้ายไปยูไนเต็ด อาร์ติสท์ ที่ซึ่งเธอดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายจัดซื้อสำหรับแผนกพิเศษของยูเอ คลาสสิกส์ ที่นั่น เธอร่วมกับหุ้นส่วน ทอม เบอร์นาร์ดและไมเคิล บาร์เกอร์ ซื้อสิทธิภาพยนตร์โดยฌอน-ฌาคส์ บีนิกซ์เรื่อง Diva, ภาพยนตร์โดยฟรังซัวส์ ทรัฟโฟต์เรื่อง The Woman Next Door และภาพยนตร์โดยเรนเนอร์ เวิร์นเนอร์ ฟาสบินเดอร์เรื่อง Veronika Voss หลังจากนั้น กิกลิออตติก็ไปก่อตั้งโอไรออน คลาสสิกส์ (ร่วมกับเบอร์นาร์ดและบาร์เกอร์) ให้กับอาร์เธอร์ คริม อดีตผู้บริหารของยูไนเต็ด อาร์ติสท์ ผู้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารของโอไรออน พิคเจอร์ส คอร์ปอเรชัน โอไรออน คลาสสิกส์กลายเป็นผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์เฉพาะแนวระหว่างยุค 80s โดยกิกลิออตติเป็นผู้รับผิดชอบการซื้อสิทธิภาพยนตร์มากมาย เช่นภาพยนตร์โดยหลุยส์ มัลล์เรื่อง Au Revoir Les Enfants, ภาพยนตร์โดยเปโดร อัลโมโดวาร์เรื่อง Women on the Verge of A Nervous Breakdown, ภาพยนตร์โดยสตีเวน เฟรียส์เรื่อง My Beautiful Laundrette, ภาพยนตร์โดยอากิระ คุโรซาวะเรื่อง Ran, ภาพยนตร์โดยคล็อด เบอร์รีเรื่อง Jean De Florette และภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลออสการ์โดยกาเบรียล เอ็กเซลเรื่อง Babette’s Feast ในปี 1985 กิกลิออตติกลายเป็นผู้หญิงที่อายุน้อยที่สุดที่ได้รับยศ Chevalier des Arts et des Lettres จากฝรั่งเศส เธอสำเร็จการศึกษาจากซาราห์ ลอว์เรนซ์ คอลเลจ

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ