หมอเด็กหวั่นระบบการสอนของไทย อัดข้อมูลใส่เด็กเกินกำลัง จะกลายเป็น “ม้าตีนต้น แต่ตายตอนจบ”

ข่าวทั่วไป Wednesday October 5, 2011 11:14 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--5 ต.ค.--TCELS/PICO หมอเด็กหวั่นระบบการสอนของไทย อัดข้อมูลใส่เด็กเกินกำลัง จะกลายเป็น “ม้าตีนต้น แต่ตายตอนจบ” แนะเดินสายกลาง รักษาสมดุลย์ พร้อมเผย ผลการเรียนของผู้หญิงเริ่มแซงหน้าผู้ชายในทุกวงการทั้งที่ฉลาดพอกัน เหตุส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเด็กผู้ชายมักติดกับกับการเล่นโดยที่พ่อแม่ไม่เน้นเรื่องความรับผิดชอบ เตรียมผลักดันให้โรงเรียนมีทีมสหวิชาชีพเพื่อส่งเสริมการเลี้ยงดู ฝึกฝน คัดกรองและช่วยเหลือเด็กที่มีปัญหา ก่อนที่จะสายเกินแก้ ชวนคุณครูทั่วประเทศร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในงาน EDUCA2011 ศาสตราจารย์ คลินิก พญ.วินัดดา ปิยะศิลป์ รองประธานราชวิทยาลัยกุมารแพทย์ กล่าวว่า เด็กคืออนาคตของชาติทุกฝ่ายจึงควรให้ความช่วยเหลือ ส่งเสริม เกื้อกูลกันให้ได้มากทีสุด สมัยก่อนพ่อแม่ยกการเรียนรู้ให้คุณครูทั้งหมด เด็กก็พัฒนาไปได้ระดับหนึ่ง แต่พบว่าเด็กที่ได้รับการฝึกฝนเรียนรู้ทั้งที่บ้านและโรงเรียน ส่งเสริมไปในทิศเดียวกันและรักษาสมดุลได้ จะเป็นเด็กที่พัฒนาได้สูงสุด ถ้าที่บ้านไม่ฝึกฝนส่งเสริมเด็กไปในทิศทางเดียวกันกับโรงเรียน ก็จะทำให้เด็กมีปัญหาการเรียนได้ และนับวันเด็กกลุ่มนี้จะมีเพิ่มมากขึ้น จากข้อมูลสถิติพบว่าคนไทยอ่านหนังสือไม่ได้สูงถึง 3-4 ล้านคน ผลสอบโอเน็ตไม่เป็นที่น่าพอใจโดยเฉพาะคะแนนของเด็กประถมศึกษาปีที่ 6 ค่าเฉลี่ยทุกวิชาไม่ถึง 50% คุณภาพการศึกษาในภาพรวมไม่สูงมาก ซึ่งก็ต้องหันกลับมาดูว่าปัญหาที่แท้จริงคืออะไร คุณภาพของพ่อแม่จึงเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการส่งเสริมความสามารถและการเรียนรู้ของเด็ก งานวิจัยพบว่าพ่อแม่ที่มีความรู้ รายได้ระดับปานกลางจะพัฒนาเด็กให้มีคุณภาพสูงมากกว่ากลุ่มที่พ่อแม่ไม่มีเวลา ยุ่งกับการหาเงิน จ้างพี่เลี้ยงให้คอยทำให้ทุกอย่างแทนเด็กหรือตามใจเด็กมากไป ไม่ปล่อยให้เด็กทำอะไรเอง หรือกลุ่มพ่อแม่ยากจน ขาดการศึกษา ด้อยโอกาส แต่ปัจจุบันสภาพของสังคมเปลี่ยนไป ถึงแม้ว่าปริมาณเด็กอยู่ในแนวโน้มที่ลดลงมาตลอด แต่สัดส่วนของเด็กมาจากครอบครัวคุณภาพกลับมีปริมาณลดลง เนื่องจากพ่อแม่กลุ่มนี้มักแต่งงานช้า บางรายไม่นิยมมีลูก ศ.คลินิก พญ.วินัดดา แนะนำว่า การฝึกฝน พัฒนาให้เด็กทำเป็น ช่วยตัวเองได้ ช่วยคนในบ้านได้ ตั้งแต่วัยอนุบาล ซึ่งเป็นวัยเริ่มเลียนแบบพฤติกรรมของพ่อแม่ จะเป็นช่วงสำคัญในการฝึกทำสิ่งที่ดีงามมาตั้งแต่เล็ก พ่อแม่ ควรเปิดโอกาสให้เด็กได้หัดทำสิ่งต่างๆรอบตัว ทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดีเพื่อให้เด็กเลียนแบบ เน้นการทำได้ด้วยตนเอง และพัฒนาตนเองเพื่อช่วยผู้อื่น เช่น หัดรินน้ำให้แม่ จัดรองเท้าให้พ่อ เป็นต้น นอกจากนี้พ่อแม่ควรพูดคุยเล่านิทานกับลูกอย่างสม่ำเสมอ มีงานวิจัยระบุว่าคุณภาพการพูดของเด็กอายุ 5 ขวบ จะสะท้อนคุณภาพการอ่านหนังสือของเด็กที่อายุ 7 ขวบ ดังนั้น เด็กพูดเก่ง ก็มักจะอ่านหนังสือได้เก่งตามไปด้วย รองประธานราชวิทยาลัยกุมารแพทย์ กล่าวด้วยว่า การสร้างสภาพแวดล้อมที่ทำให้เด็กต้องช่วยตัวเอง อยู่ในกติกาที่ดีและฝึกฝนอย่างเหมาะสม จะทำให้เด็กมีจิตใจเข้มแข็ง อดทน มุมานะพยายาม ตรงต่อเวลา มีวินัย เชื่อฟังครูอาจารย์ สามารถเผชิญกับอุปสรรคและแก้ปัญหาได้ จึงเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ทุกคนที่ต้องฝึกฝนสร้างลักษณะของนักเรียนรู้ที่ดีให้เกิดขึ้นในตัวลูก เพราะการเรียนมิได้สนุกไปทุกเรื่อง เพราะในบางวิชาโดยเฉพาะวิชาที่เด็กไม่ชอบเนื้อหาหรือไม่ชอบครูผู้สอน แต่เด็กก็จำต้อง อดทนพยายามเรียนรู้ การทำให้อะไรแทนเด็กไปทุกอย่างโดยเฉพาะในช่วงวัยอนุบาล จะเป็นจุดเริ่มต้นของการให้ความช่วยเหลือที่มากเกินไป แทนที่จะเป็นการฝึกฝนให้เด็กมีความสามารถภายในตัว กลับทำให้เด็กมีจิตใจไม่เติบโต ติดการพึ่งพา สมองไม่คิดหาทางแก้ปัญหา หวังจะให้คนรอบข้างมาช่วยแก้ปัญหาแทน เรียกว่าโตแต่ตัวแต่จิตใจยังเป็นเด็กเล็ก งอแง ความอดทนต่ำ จะฝึกฝนให้อ่าน เขียน คิดเลขได้ยากเย็นเพราะเด็กมักไม่ค่อยเชื่อฟัง ถึงแม้ว่าพื้นฐานเดิมจะฉลาดแต่ก็ขาดลักษณะของนักเรียนรู้ ขาดวินัย สุดท้ายก็จะเรียนด้วยความยากลำบากในอนาคต เด็กมักเรียนรู้ผ่านการเล่น จำเป็นที่พ่อแม่ที่ส่งเสริมให้เด็กเล่นอย่างมีคุณภาพ คือ เล่นแล้วมีความสามารถเพิ่มขึ้น เล่นได้หลายอย่าง เล่นรวมกลุ่มกับเพื่อนได้ และเล่นไปตามกติกาที่กำหนด รู้แพ้รู้ชนะ แต่การที่พ่อแม่ปล่อยให้เด็กเล่นโดยไม่ชี้นำ ไม่ฝึกฝน ปล่อยให้โกง เอาเปรียบ หรือเล่นโดยไม่รับผิดชอบในเรื่องเวลา หน้าที่หรือเล่นแล้วไม่เก็บของ ซึ่งจะส่งผลเสียต่อการพัฒนาบุคลิกภาพโดยรวมและส่งผลต่อการเรียนในที่สุด ในกลุ่มเด็กผู้ชายที่พ่อแม่ส่งเสริมหรือปล่อยให้เล่นมากเกินไป จนติดเกมคอมพิวเตอร์ ติดทีวี ไม่รับผิดชอบจนทำให้มีปัญหาการเรียนตามมาในที่สุด ปัจจุบันจึงพบว่า ผลการเรียนของเด็กผู้หญิงเริ่มแซงหน้าผู้ชายในเกือบทุกสาขาวิชาชีพ ทั้งที่จุดเริ่มต้นก็ฉลาดเท่ากัน ในวงการแพทย์ สัดส่วนนักศึกษาแพทย์ก็เป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ในสถานที่ทำงานก็มีสัดส่วนของผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย นอกเหนือจากบ้านแล้ว โรงเรียนจึงเป็นสถานที่ที่สำคัญถัดมา เด็กที่มาจากครอบครัวที่มีปัญหาแต่พบครูที่ดี ก็สามารถพัฒนาเด็กไปได้ดีระดับหนึ่ง ดังนั้น การคัดกรองเด็กกลุ่มเสี่ยงในระดับวัยอนุบาลจึงมีความสำคัญในการให้ความช่วยเหลือและจัดระบบการฝึกฝน การเรียนการสอนที่เน้นการฝึกฝนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กที่พูดช้า อ่านหนังสือลำบาก ซนมากผิดปกติ หรือ จ๋อยเงียบจนน่าสงสาร ซึ่งอาจมีปัญหาด้านอารมณ์ซ่อนอยู่ หรือกลุ่มที่พ่อแม่ตามใจจนจะทำให้เกิดปัญหาตามมาในอนาคตก็ควรได้รับความช่วยเหลือด้วย นอกจากนี้สิ่งที่น่าเป็นห่วง ก็คือ ระบบการเรียนการสอนที่เน้นเฉพาะเด็กเก่ง สอนเข้มข้น อัดวิชาให้กับเด็กมากเกินไป เร่งให้ความรู้แก่เด็กมาตั้งแต่อนุบาล จนถึงประถมศึกษา ซึ่งเด็กอาจจะรับได้ในระยะแรก ๆ โดยเฉพาะในระบบการเรียนการสอนแบบท่องจำ แต่ พอถึงจุดหนึ่งเด็กจะเบื่อและไม่สนใจเรียน ซึ่งถ้าอยู่ในภาวะนี้ การจะดึงเด็กกลับมาไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่งจะกลายเป็น ม้าตีนต้นแต่ตายตอนจบ ดังนั้น การฝึกฝน สั่งสอน จึงต้องคงไว้ซึ่งสมดุล พัฒนาเด็กรอบด้านจะส่งผลดีต่อทั้งตัวเด็กและพ่อแม่ เพราะความรู้มีมากมายเกินกว่าที่จะจดจำและเมื่อเด็กสนุก รักที่จะเรียนรู้ สามารถนำความรู้ที่ได้รับไปช่วยเหลือตนเองและผู้อื่นได้ สามารถค้นหาข้อมูลและคิดวิเคราะห์ เลือกข้อมูลที่เหมาะสมมาใช้เป็นประโยชน์ได้ เด็กจึงจะเรียนไปได้ยาวนานตลอดชีวิต ในต่างประเทศจึงไม่มีการคุยโอ้อวดในเรื่องเข้าโรงเรียนเร็ว แต่มีการคุยเรื่องการเรียนรู้ที่ยาวนาน และขณะนี้มีการผลักดันให้เกิดทีมสหวิชาชีพในระบบโรงเรียนเพื่อช่วยเหลือคุณครู เด็กและพ่อแม่ ให้ความรู้ พัฒนาทักษะ คัดกรองเด็กและให้ความช่วยเหลือกลุ่มเด็กเสี่ยงที่มีปัญหาด้านการเรียนตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อให้เกิดการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของเด็กแบบยั่งยืน " แพทย์หญิงวินัดดา กล่าวในที่สุด รองประธานฯ ได้กล่าวเชิญชวนให้คุณครูทั่วประเทศได้ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้และสะท้อนปัญหาต่าง ๆ ที่พบ เพื่อหาทางออกร่วมกัน ในงาน EDUCA 2011ที่จะมีขึ้นในวันที่ 12-14 ตุลาคม 2554 ณ ศูนย์ฯไบเทคบางนา ซึ่งองค์ความรู้ต่างๆ รวมทั้งปัญหา และแนวทางแก้ไขข้างต้นนี้ จะจัดเป็นการประชุมเชิงปฏิบัติการและสัมมนากลุ่มย่อย โดยคุณหมอจะร่วมจัดประชุมฯ ในวันที่ 12 ต.ค. ภาคเช้าหัวข้อเรื่อง แนวทางส่งเสริมการเรียนรู้ของนักเรียนระดับประถมฯ แบบยั่งยืน และภาคบ่ายหัวข้อเรื่อง ปัญหาทางการเรียนของเด็กประถมฯ ที่พบบ่อยและแนวทางการช่วยเหลือ สามารถสมัครเข้าร่วมประชุมฯ ได้แล้ววันนี้ทาง www.EducaThai.com และโทร. 02-748-7007 ต่อ 134

แท็ก ข้อมูล  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ