ฟิทช์ให้อันดับเครดิตภายในประเทศที่ระดับ 'AA+(tha)' แก่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)

ข่าวทั่วไป Tuesday November 4, 2003 11:56 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--4 พ.ย.--ฟิทช์ เรทติ้งส์
บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ให้อันดับเครดิตภายในประเทศ (National Rating) บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท. ระยะยาวที่ระดับ "AA+(tha)" และระยะสั้นที่ระดับ "F1+(tha)" แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ
อันดับเครดิตสะท้อนถึงความเป็นผู้นำอันโดดเด่นของ ปตท. ในธุรกิจก๊าซธรรมชาติและน้ำมันในประเทศไทย ความสำคัญของ ปตท. ที่เกี่ยวข้องในการสนองนโยบายของรัฐบาลที่เกี่ยวกับความมั่นคงทางด้านพลังงานในประเทศไทย รวมถึงการกำหนดทิศทางการพัฒนากิจการพลังงานของประเทศ อันดับเครดิตยังพิจารณารวมถึงโครงสร้างผู้ถือหุ้นที่แข็งแกร่งโดยมีกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ การสนับสนุนจากรัฐบาล และคณะผู้บริหารที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจเป็นอย่างดี ปตท. ได้รับประโยชน์จากการเป็นผู้ดำเนินการระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ การจัดหาและการจัดจำหน่ายก๊าซธรรมชาติเพียงรายเดียวในประเทศไทย เนื่องจาก ปตท. มีเครือข่ายระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติที่ครอบคลุมพื้นที่การใช้ก๊าซธรรมชาติเพียงรายเดียวในประเทศ และมีสัญญาการจัดจำหน่ายก๊าซธรรมชาติระยะยาวกับผู้ใช้ก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ทุกรายในประเทศ นอกจากนี้การลงทุนที่สูงในการก่อสร้างระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติได้มีส่วนช่วยจำกัดผู้ลงทุนรายใหม่อีกด้วย ปตท. ยังเป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำในธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในประเทศไทยโดยผ่านการเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ใน บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (ปตท. สผ.) ปตท. สผ. ประกอบธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยมีปริมาณสำรองปิโตรเลียมมากที่สุด และมีปริมาณการผลิตปิโตรเลียมสูงเป็นอันดับที่สองในประเทศไทย
ปตท. เป็นผู้จัดหาและจัดจำหน่ายก๊าซธรรมชาติที่ใช้ในประเทศไทยเกือบทั้งหมด และยังเป็นผู้จัดจำหน่ายรายใหญ่ในธุรกิจก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) และธุรกิจน้ำมัน โดยมีส่วนแบ่งการตลาดที่ระดับ 40% และ 30% ตามลำดับ ธุรกิจก๊าซธรรมชาติเป็นธุรกิจที่สำคัญในการสร้างกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ให้กับ ปตท. โดยมีสัดส่วนมากกว่า 85% ของ EBITDA ของบริษัท อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดของบริษัทที่แข็งแกร่ง ซึ่งโดยเปรียบเทียบแล้วกระแสเงินสดจากการดำเนินธุรกิจก๊าซธรรมชาติค่อนข้างจะคงที่ เนื่องจาก การที่ ปตท. มีสัญญาการจัดหาและจัดจำหน่ายก๊าซธรรมชาติระยะยาวที่มีการกำหนดปริมาณขั้นต่ำที่จะต้องชำระถึงแม้ว่าไม่ได้รับก๊าซธรรมชาติไปก็ตาม (Take-or-Pay) โครงสร้างราคาซื้อขายก๊าซธรรมชาติที่ ปตท. สามารถส่งผ่านต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ ปตท. รับซื้อไปให้กับผู้ซื้อได้ และราคาก๊าซธรรมชาติที่ค่อนข้างจะคงที่เมื่อเปรียบเทียบกับราคาน้ำมัน นอกจากนี้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศและความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติของประเทศที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ยังเป็นปัจจัยสนับสนุนการดำเนินงานของ ปตท. อีกด้วย
EBITDA ของ ปตท. เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดยเพิ่มขึ้นจาก 2.71 หมื่นล้านบาทในปี 2542 เป็น 5.41 หมื่นล้านบาทในปี 2545 สถานะทางการเงินของ ปตท. มีการปรับตัวดีขึ้นอย่างมากหลังจากวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 โดยอัตราส่วนหนี้สินต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (Total Debt/EBITDA) ลดลงจาก 5.1 เท่าในปี 2541 เหลือเพียง 2 เท่า ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2546 ในขณะที่อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่าย (EBITDA/Interest Expense) เพิ่มขึ้นจาก 2.7 เท่าในปี 2541 เป็น 7.5 เท่าในช่วงครึ่งปี 2546
อันดับเครดิตยังพิจารณารวมถึงแผนการลงทุนในอนาคตของ ปตท. ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจของบริษัทต่อความผันผวนของราคาน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และอัตราแลกเปลี่ยน และความเสี่ยงในการเปลี่ยนแปลงทางด้านกฎระเบียบและข้อบังคับ รวมถึงความเสี่ยงทางการเมืองที่อาจจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของ ปตท. ได้ ปตท. วางแผนที่จะลงทุนในโครงการต่างๆซึ่งรวมถึงการลงทุนในบริษัทร่วมทุนและโครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติเส้นที่ 3 ระยะที่ 2 ด้วยเงินลงทุนรวมประมาณ 1.42 แสนล้านบาทในช่วงปี 2546 ถึง 2551 ซึ่งเป็นปริมาณที่สูงเมื่อเปรียบเทียบกับเงินลงทุนในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาที่ระดับ 3.35 หมื่นล้านบาท ปตท. คาดว่าแหล่งที่มาของเงินลงทุนส่วนใหญ่จะมาจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ดังนั้นสถานะทางการเงินของ ปตท. น่าที่จะยังคงแข็งแกร่งอยู่ ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญต่อแนวโน้มอันดับเครดิตของ ปตท. คือการปรับตัวลงของราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติไปอยู่ในระดับที่ต่ำและมีระดับราคาที่ต่ำอย่างต่อเนื่องซึ่งจะทำให้ความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดของ ปตท. ลดลง หรือการที่ ปตท. มีการลงทุนมากกว่าแผนที่วางเอาไว้
ในปี 2544 ปตท. ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และรัฐบาลได้ขายหุ้นของ ปตท. ออกไปบางส่วน อย่างไรก็ตาม รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ ปตท. โดยมีสัดส่วนการถือหุ้นที่ระดับ 64.1% และเป็นที่คาดการณ์ว่ารัฐบาลจะยังคงรักษาความเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ ปตท. ต่อไป นอกจากนี้ ปตท. ยังถือหุ้น 63.6% ใน ปตท. สผ. อีกด้วย
สำหรับรายงานฉบับสมบูรณ์ของ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หาได้จาก www.fitchresearch.com หรือ ติดต่อ
เลิศชัย กอเจริญรัตนกุล, ผู้ช่วยกรรมการ, Corporates +662 655 4760
วสันต์ ผลเจริญ, นักวิเคราะห์, Corporates +662 655 4763
ภิมลภา สิมะโรจน์, ผู้ช่วยกรรมการ, Corporates +662 655 4761
Vincent Milton, กรรมการผู้จัดการ +662 655 4759
หมายเหตุ : การจัดอันดับเครดิตภายในประเทศ (National Ratings) ใช้วัดความน่าเชื่อถือของบริษัทในประเทศที่อันดับเครดิตของประเทศนั้นอยู่ในระดับต่ำกว่าอันดับเครดิตระดับเพื่อการลงทุน หรือมีอันดับเครดิตอยู่ในระดับต่ำแม้จะอยู่ในระดับเพื่อการลงทุน อันดับเครดิตของบริษัทที่ดีที่สุดของประเทศจะอยู่ที่ระดับ "AAA" และการจัดอันดับเครดิตอื่นในประเทศ จะเป็นการเปรียบเทียบความเสี่ยงกับบริษัทที่ดีที่สุดนี้เท่านั้น อันดับเครดิตภายในประเทศนั้นถูกออกแบบมาเพื่อนักลงทุนภายในประเทศในแต่ละประเทศนั้นๆ และมีสัญลักษณ์ที่กำหนดไว้ต่อท้ายจากอันดับเครดิตสำหรับแต่ละประเทศ เช่น "AAA(tha)" ในกรณีของประเทศไทย อันดับเครดิตภายในประเทศนั้นไม่สามารถนำไปใช้เปรียบเทียบระหว่างประเทศได้--จบ--
-นห-

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ