MILL เพิ่มทุนที่ 3 บาท/หุ้น เตรียมเทคโอเวอร์ TSSI ต่อยอดธุรกิจ วางเป้าปีหน้ากำลังผลิตแตะ 1.35 ล้านตัน-ผลประกอบการก้าวกระโดด

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday October 12, 2011 15:20 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--12 ต.ค.--IR network บมจ.มิลล์คอนสตีลอินดัสทรีส์ หรือ MILL ไม่เคยหยุดแผนขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างมั่นคง ควักเงินซื้อหุ้นเพิ่มทุนเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ร้อยละ 99.54 ใน “โอเชี่ยน โพรฟิท” ซึ่งจะใช้เป็นตัวแทนในการเข้าเทคโอเวอร์ บมจ. อุตสาหกรรมเหล็กกล้าไทย (TSSI) โดยจะซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง และเครื่องจักรทั้งหมด เพื่อใช้ในการผลิตเหล็กลวด (wire rod) ซึ่งเป็นสินค้าที่สามารถต่อยอดให้กับโครงการ Green mill Project ได้ “สิทธิชัย ลีสวัสดิ์ตระกูล” เผยช่วยทำให้ธุรกิจเหล็กของกลุ่มมิลล์คอนฯ ดำเนินงานได้อย่างครบวงจรพร้อมเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้มากขึ้น เหตุจะก้าวขึ้นแท่นผู้ผลิตเหล็กลวดคุณภาพพิเศษเพียงไม่กี่รายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่สามารถผลิตวัตถุดิบได้ด้วยตนเอง เผยเป้าหมายปี 2555 มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 1.35 ล้านตัน จากเดิมที่มี 8.5 แสนตัน พร้อมหวังผลประกอบการเติบโตก้าวกระโดดตามกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น นายสิทธิชัย ลีสวัสดิ์ตระกูล ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท มิลล์คอนสตีลอินดัสทรีส์ จำกัด (มหาชน) (MILL) เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 9/2554 เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2554 มีมติมติอนุมัติการเข้าลงทุนในหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ บริษัท โอเชี่ยน โพรฟิท จำกัด(OP) จำนวน 1,500 ล้านบาท โดย OP จะเพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 10 ล้านบาท เป็น 1,510 ล้านบาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 15 ล้านหุ้น ในราคาตามมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท ทั้งนี้ บริษัทแปซิฟิค เอเชีย (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท อินดัสเตรียลเบเทลิกุง (เอเซีย) จำกัด ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นส่วนที่เหลือทั้งหมดของ OP ในสัดส่วนร้อยละ 60 และร้อยละ 10 ของทุนชำระแล้ว 10 ล้านบาท ตามลำดับ ได้แสดงความจำนงที่จะสละสิทธิการเข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุนดังกล่าว และ MILL จะเข้าทำการซื้อหุ้นเพิ่มทุนดังกล่าวทั้งหมด ซึ่งภายหลังการเข้าลงทุนดังกล่าว MILL จะมีสัดส่วนการถือหุ้นเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 99.54 ของทุนชำระแล้ว (จากเดิมที่มีสัดส่วนถือหุ้นใน OP ร้อยละ 30) ซึ่งจะทำให้ OP มีสถานะเป็นบริษัทย่อยของบริษัท พร้อมกันนี้ได้มีมติให้ OP เข้าซื้อทรัพย์สินของ บริษัท อุตสาหกรรมเหล็กกล้าไทย จำกัด (TSSI) โดยจะเข้าซื้อที่ดินทั้งหมดพร้อมสิ่งปลูกสร้างและเครื่องจักรทั้งหมด เพื่อใช้ในการผลิตเหล็กลวด (wire rod) รวมไปถึงการปรับปรุงประสิทธิภาพของเครื่องจักร โดยจำนวนเงินลงทุนนี้ คิดเป็นมูลค่าไม่เกิน 3,065 ล้านบาท “เงินที่จะนำมาใช้ในการลงทุนครั้งนี้ มาจากการที่ MILL จะเสนอขายหุ้นกู้แปลงสภาพ ให้แก่บุคคลในวงจำกัดโดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนรองรับจำนวน 603 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 3บาท รวมจำนวน 1,809 ล้านบาท จากนั้น MILL จะนำเงินที่ได้ไปลงทุนในหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ OP และให้ OP นำเงินเพิ่มทุนที่ได้จำนวน 1,500 ล้านบาท บวกกับเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินจำนวน 1,565 ล้านบาท รวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 3,065 ล้านบาท ไปชำระค่าทรัพย์สินของ TSSI” นายสิทธิชัย กล่าว สำหรับประโยชน์ที่จะได้รับจากการซื้อสินทรัพย์จาก TSSI เป็นการสร้างโอกาสในการขยายธุรกิจและเกื้อหนุนต่อการดำเนินงานของกลุ่มมิลล์คอน ซึ่งกลุ่มบริษัทสามารถนำผลิตภัณฑ์จากโครงการ Green mill Project ได้แก่ เหล็กแท่งทรงยาวคุณภาพพิเศษเพื่อนำมาใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับการผลิตเหล็กลวดคุณภาพพิเศษ ซึ่งคาดว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการกำไร รวมทั้งสามารถตอบสนองความต้องการให้แก่ลูกค้าได้มากขึ้น พร้อมเพิ่มอัตราการผลิตเหล็กแท่งทรงยาวคุณภาพพิเศษของกลุ่มบริษัท และจะช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขันให้มากขึ้นโดยกลุ่มบริษัทจะเป็นผู้ผลิตเหล็กลวดคุณภาพพิเศษเพียงไม่กี่รายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่สามารถผลิตวัตถุดิบได้ด้วยตนเอง อีกทั้ง การเข้าลงทุนใน TSSI ถือเป็นทางเลือกในการลงทุนที่มีความเหมาะสมและมีต้นทุนที่ต่ำกว่าการลงทุนสร้างโรงงานใหม่โดยเป็นการลงทุนในสินทรัพย์ที่พร้อมต่อการดำเนินงาน โดยอาศัยการปรับปรุงอีกเพียงเล็กน้อยเพื่อผลิตเหล็กลวดคุณภาพพิเศษทำให้กลุ่มบริษัทสามารถรับรู้ผลการดำเนินงานได้รวดเร็ว ที่สำคัญคือการลงทุนในครั้งนี้จะส่งผลให้กลุ่มบริษัทมีความได้เปรียบเทียบทางด้านต้นทุนของเหล็กลวดคุณภาพพิเศษมากกว่าผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ซึ่งถือเป็นการทดแทนการนำเข้า โดยปริมาณการนำเข้าเหล็กลวดในปี 2553 มีประมาณ 750,000 ตัน โดย MILL คาดว่าจะสามารถผลิตและจำหน่ายสินค้าดังกล่าว เข้าสู่ตลาดได้ปีละ 500,000 ตัน ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะผลักดันให้ผลประกอบการของ MILL ในปี 2555 มีอัตราการเติบโตที่ก้าวกระโดดและน่าจับตาเป็นอย่างยิ่ง ส่วนกำลังการผลิตเหล็กของกลุ่มมิลล์คอนฯ จากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิต 8.5 แสนตัน คาดว่าจะขยับขึ้นเป็น 1.35 ล้านตันในอนาคต พร้อมกันนี้ยังเป็นการช่วยลดความเสี่ยงต่อผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทในภาพรวม เนื่องจากโดยปกติเหล็กลวดจะมีความผันผวนน้อยกว่าเหล็กเส้น ซึ่งถือเป็นสินค้าที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มและเป็นการขยายฐานการตลาดสู่อุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมเครื่องจักร เป็นต้น ทั้งนี้ MILL ได้กำหนดวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2554 ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2554 และกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิในการเข้าร่วมประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2554 (Record Date) ในวันที่ 25 ตุลาคม 2554 และให้รวบรวมรายชื่อผู้ถือหุ้นตามมาตรา 225 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 (ตามที่ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติม)โดยวิธีปิดสมุดทะเบียนในวันที่ 26 ตุลาคม 2554

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ