กรุงเทพฯ--27 ต.ค.--ฟรอสต์ แอนด์ ซัลลิแวน
ผลกระทบจากวิกฤตน้ำท่วมกรุงเทพมหานครครั้งประวัติศาสตร์ในปีนี้ ส่งผลให้น้ำทะลักเข้าสนามบินดอนเมืองซึ่งส่งผลกระทบกับสายการบินต้นทุนต่ำสองสายนั่นคือ สายการบินนกแอร์ และสายการบินโอเรียนท์ไทย ถึงแม้ว่าสายการบินโอเรียนท์ไทยได้ออกมาประกาศย้ายการลงเครื่องจากสนามบินดอนเมืองไปยังสนามบินสุวรรณภูมิ และนกแอร์ได้มีการจัดการเปลี่ยนเส้นทางการบินที่เกี่ยวข้องแล้วก็ตาม แต่ความสามารถในการรองรับผู้โดยสารภายในประเทศของไทยโดยภาพรวมก็คาดว่าจะลดลงอย่างน้อย ร้อยละ 10 หรือประมาณ 250 ล้านบาทต่อสัปดาห์ โดยตัวเลขดังกล่วไม่รวมผลกระทบจากปริมาณผู้โดยสารที่ลดลง ซึ่งคาดว่าจะลดลงถึง หนึ่งในสาม ของผู้โดยสารภายในประเทศทั้งหมด และหากวิกฤตน้ำท่วมยังคงอยู่ไปจนถึงเดือนหน้า จะทำให้สูญเงินถึง 2000 ล้านบาท เนื่องจากเป็นช่วงฤดูแห่งการท่องเที่ยว
ดร. มนธ์สินี กีรติไกรนนท์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท ฟรอสต์ แอนด์ ซัลลิแวน องค์กรให้คำปรึกษาและวิจัยระดับโลกได้ให้ความเห็นว่า รัฐบาลควรมีมาตรฐการในการให้การสนนับสนุนภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเนื่องจากขณะนี้ นักท่องเที่ยวทั้งในและต่างงประเทศเชื่อว่าประเทศไทยส่วนใหญ่ได้จมน้ำไปแล้ว ซึ่งไม่เป็นความจริงเลย ตัวอย่างเช่น หากต้องการไปเที่ยวจ. ภูเก็ต ก็สามารถนั่งเครื่องไปลงที่จ.ภูเก็ตได้โดยไม่ต้องผ่านสนามบินในกรุงเทพฯ ดังนั้น รัฐบาลควรช่วยสนับสนุนและอำนวยความสะดวกในเรื่องของการจัดการจราจรทางอากาศเพื่อช่วยรักษาภาคการท่องเที่ยวไว้ให้ได้
ในส่วนของภาคอุตสาหกรรมซึ่งคิดเป็นประมาณร้อยละ 45 ของจีดีพี (GDP) ของทั้งประเทศนั้นได้รับผลกระทบจากวิกฤตน้ำท่วมในครั้งนี้แล้วอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นรัฐบาลควรทำให้ดีที่สุดเพื่อให้กลับคืนมาเหมือนเดิม ขณะเดียวกันก็ต้องรักษาธุรกิจภาคการให้บริการ ซึ่งมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 43 เช่นกัน
“การจะส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมนั้นจะต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง ดังนั้น สิ่งที่รัฐบาลควรจะทำควบคู่กันไปกับการฟื้นฟูภาคอุตสาหกรรมคือ การส่งเสริมภาคการบริการ เพื่อรักษาประเทศไทยไว้และลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับภาคส่วนอื่นๆ” ดร. มนธ์สินี กล่าว