
"บมจ.เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์" หรือ SJWD ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2568 แข็งแกร่ง กำไรสุทธิทำสถิติสูงสุดรายไตรมาสที่ 365.5 ล้านบาท จากการลดลงของค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร และต้นทุนทางการเงิน รวมถึงรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนเพิ่มขึ้น เผยได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อยจากมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ เนื่องจากมีสัดส่วนรายได้จากการขนส่งสินค้าไปยังสหรัฐฯ เพียง 1% ชูจุดแข็งมีฐานธุรกิจครอบคลุมภูมิภาคอาเซียนสามารถตอบสนองความต้องการและการปรับแผนส่งออกของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ดร.เอกพงษ์ ตั้งศรีสงวน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SJWD ผู้ให้บริการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนแบบครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในอาเซียน เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2568 ที่แข็งแกร่ง โดยมีกำไรสุทธิ 365.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 122.7% และ 97.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้าตามลำดับ นับเป็นสถิติสูงสุดรายไตรมาส หากไม่รวมกำไรสุทธิในไตรมาส 4 ปี 2561 ก่อนรวมกิจการกับ บริษัท เอสซีจี โลจิสติกส์ แมเนจเม้นท์ จำกัด ที่มีกำไรสุทธิ 465.8 ล้านบาท เนื่องจากมีกำไรพิเศษจากการขายทรัพย์สินแก่กองทรัสต์
กำไรสุทธิไตรมาสแรกที่โดดเด่นมาจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ (1) ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ไตรมาส 1/2568 ลดลงเหลือ 517.9 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าอยู่ที่ 593.8 ล้านบาท จากการควบคุมและลดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่ทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ (2) ต้นทุนทางการเงินลดลงเหลือ 170.1 ล้านบาท เทียบกับไตรมาสก่อนหน้าอยู่ที่ 182.0 ล้านบาท เนื่องจากได้ชำระคืนหุ้นกู้มูลค่า 500 ล้านบาท และมีค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยลดลงจากการเจรจากับสถาบันการเงิน และ (3) รับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนเพิ่มขึ้น ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพการลงทุนและร่วมมือกันวางกลยุทธ์ธุรกิจ เช่น การลงทุนใน PPSEZ ผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมรายใหญ่ในกัมพูชา, Transimex ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ครบวงจรชั้นนำในเวียดนาม, ESCO ผู้ประกอบการท่าเรือคอนเทนเนอร์รายใหญ่ในท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี เป็นต้น รวมถึง ANI ผู้นำธุรกิจตัวแทนขายระวางสินค้าสายการบินที่จดทะเบียในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและ SWIFT ผู้ดำเนินธุรกิจ Integrated Logistics ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มาเลเซีย มีส่วนแบ่งกำไรในระดับที่ดี นอกจากนี้ บริษัทฯ มีกำไรพิเศษจากการขายเงินลงทุนใน CSLF ผู้ให้บริการด้านอาหารครบวงจรในไต้หวัน
ขณะที่รายได้รวมไตรมาส 1/2568 อยู่ที่ 6,440.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนและสูงกว่าไตรมาสก่อนหน้า แม้ไม่มีการรับรู้รายได้จาก CSLF ที่ได้ขายเงินลงทุนตั้งแต่แต่เดือนกุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ธุรกิจหลายส่วนมีรายได้เพิ่มขึ้นเป็นที่น่าพอใจ ได้แก่ (1) ธุรกิจคลังสินค้าทั่วไป มีรายได้ 308.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (2) ธุรกิจคลังสินค้าอันตรายและเคมีภัณฑ์ มีรายได้ 142.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (3) ธุรกิจรับฝากและบริหารยานยนต์ มีรายได้ 295.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (4) ธุรกิจขนส่งสินค้าหลากหลายรูปแบบ (Multimodal) มีรายได้ 238.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน รวมถึงธุรกิจขนส่งสินค้าข้ามแดนและห้องเก็บของส่วนตัวให้เช่าที่มีรายได้เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน SJWD กล่าวอีกว่า รายได้หลักของบริษัทฯ ในปัจจุบันมาจากการให้บริการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน ขณะที่รายได้จากการขนส่งสินค้าโดยตรงไปสหรัฐอเมริกามีสัดส่วนเพียง 1% เท่านั้น จึงได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อยจากการประกาศมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐอเมริกาที่อยู่ระหว่างเลื่อนการขึ้นภาษีออกไป 90 วัน ส่วนลูกค้าที่มีรายได้หลักจากการส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ มีจำนวนไม่มาก ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ได้รับผลเชิงบวกจากความต้องการเช่าพื้นที่เก็บสินค้าเป็นระยะเวลาเพิ่มขึ้นจากความไม่แน่นอนของการประกาศมาตรการภาษีตอบโต้ในช่วงก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ จากนโยบายบริษัทฯ ที่มุ่งขยายการลงทุนครอบคลุมทั่วภูมิภาคอาเซียน โดยปัจจุบันมีฐานธุรกิจอยู่ใน 9 ประเทศ รวมถึงจีนตอนใต้ จึงมั่นใจจะสามารถตอบสนองความต้องการด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชนแก่ลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถผสานความร่วมมือในกลุ่มบริษัทฯ เพื่อให้บริการแก่ลูกค้า หากเกิดความต้องการเคลื่อนย้ายฐานการส่งออกสินค้าไปยังประเทศอื่นในอาเซียนเพื่อลดผลกระทบจากมาตรการภาษีตอบโต้ นอกจากนี้ ฐานะทางการเงินและกระแสเงินสดของบริษัทฯ ยังคงแข็งแกร่ง จึงมั่นใจว่าบริษัทฯ จะก้าวข้ามความท้าทายครั้งนี้ได้