
เศรษฐกิจโลกยังเผชิญความไม่แน่นอน นักลงทุนจำนวนมากเริ่มให้ความสำคัญกับการลงทุนใน "Recession-Proof Businesses" หรือธุรกิจที่สามารถรักษาเสถียรภาพและสร้างการเติบโตได้แม้ในภาวะเศรษฐกิจถดถอย CPAXT (บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน)) เจ้าของธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง Makro และ Lotus's เป็นหนึ่งในตัวอย่างของหุ้นที่นักลงทุนให้ความสนใจ เพราะมีคุณลักษณะครบถ้วนตามเกณฑ์ของธุรกิจที่ "ทนทานต่อวิกฤตเศรษฐกิจ" ด้วย 3 จุดแข็งสำคัญ
- Essential Goods - เป็นธุรกิจที่เกี่ยวกับสินค้าจำเป็นในชีวิตประจำวัน Makro และ Lotus's จำหน่ายสินค้าอาหาร
ทั้งอุปโภคบริโภค ของใช้จำเป็น ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มสินค้าที่ "ผู้บริโภคขาดไม่ได้" ไม่ว่าจะเศรษฐกิจดีหรือไม่ ความต้องการยังคงมีอย่างต่อเนื่อง - Affordability - ความคุ้มค่า ตอบโจทย์ยุคประหยัด ทั้ง Makro และ Lotus's เน้นราคาประหยัดสำหรับลูกค้ารายใหญ่ (B2B) และรายย่อย (B2C) สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคเศรษฐกิจฝืด ที่มองหาความคุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์
- Adaptability - ความสามารถในการปรับตัว CPAXT เดินหน้าปรับตัวเข้าสู่ Omni-channel เพิ่มศักยภาพด้านโลจิสติกส์ และพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัล ผสานความแข็งแกร่งของสินค้าหลากหลาย ราคาคุ้มค่า ที่เป็นฐานเดิม ทำให้สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคได้แม้พฤติกรรมเปลี่ยน บวกกับข้อได้เปรียบจากฐานลูกค้าที่หลากหลายทั้ง B2B และ B2C และสินค้าตราห้าง (Private label) ที่ดึงดูดให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ แถมทำกำไรดี

ฐานลูกค้าทั้งรายย่อยและผู้ประกอบการร้านอาหาร โรงแรม และค้าปลีกทั่วประเทศ (B2B & B2C) เป็นอีกจุดแข็งที่ช่วยกระจายความเสี่ยง พร้อมกับการมีสินค้าprivate label และสินค้าที่ขายเฉพาะที่Makro-Lotus's ที่ทั้งB2C และB2C ยอมรับในคุณภาพและความคุ้มค่า จึงเพิ่มโอกาสทำรายได้และกำไรที่มั่นคงได้เรื่อยๆ แม้ในภาวะเศรษฐกิจจะชะลอตัว
นักลงทุนที่มองหา "หุ้นเชิงรับ" (Defensive Stock) ที่มีความยั่งยืนสูงในทุกสภาวะเศรษฐกิจ CPAXT น่าจะเป็นหนึ่งคำตอบ ด้วยโครงสร้างธุรกิจที่แข็งแกร่ง ยืดหยุ่น และขับเคลื่อนด้วยวิสัยทัศน์ระยะยาว
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อ CPAXT จากแนวโน้มกำไรที่เติบโตต่อเนื่อง และผลประกอบการ
ไตรมาส 1 ที่แข็งแกร่ง โดย บล.บัวหลวง แนะนำ "ซื้อ" อิงจากแนวโน้มการเติบโตของกำไรที่คาดว่าจะยังคงแข็งแกร่งในปี 2568 โดยปัจจุบัน หุ้นดังกล่าวซื้อขายที่ PER ปี 2568 ที่ 21.8 เท่า ซึ่งถือว่าน่าสนใจเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราการเติบโตเฉลี่ยของกำไร (CAGR) ช่วงปี 2568-2570 ที่ประมาณ 14%