
โลกของการค้นหาออนไลน์มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และหัวใจของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้คือปัญญาประดิษฐ์ (AI) นั่นเอง ซึ่ง Google ผู้เป็นยักษ์ใหญ่ด้านการค้นหา ก็ได้นำ AI เข้ามามีบทบาทสำคัญในการประมวลผลและแสดงผลการค้นหามากขึ้นเรื่อย ๆ นำมาสู่แนวคิดที่หลายคนเริ่มพูดถึง นั่นคือ "Google AI Mode"
การทำความเข้าใจว่า Google AI Mode คืออะไร และจะส่งผลกระทบต่อ SEO อย่างไร จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกธุรกิจ เพราะแม้กระทั่งบริษัทเอเจนซี่ SEO มืออาชีพที่ได้รับความไว้วางใจจากธุรกิจชั้นนำกว่า 300 ธุรกิจ ทั้งในไทยและต่างประเทศอย่าง Search Studio ก็ยังต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ด้วยความรวดเร็วเพื่อให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของ Google AI เพื่อส่งมอบผลลัพธ์ที่ยั่งยืนให้กับลูกค้า
ในบทความนี้ เราจะมาเจาะลึกถึงประเด็นสำคัญที่ทุกคนควรรู้เกี่ยวกับการทำ SEO เพื่อความอยู่รอดและเติบโตในยุคที่ AI เป็นหัวใจของการค้นหา
1. Google AI Mode คืออะไร?หลายคนอาจเข้าใจผิดว่า Google AI Mode คือฟีเจอร์ใหม่ที่เราสามารถเปิดปิดได้เหมือนสวิตช์ แต่จริง ๆ แล้ว "AI Mode" หมายถึงการที่ Google ใช้ AI และ Machine Learning ในการจัดการกับการค้นหาทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเข้าใจว่าผู้ใช้ต้องการอะไร ไปจนถึงการนำเสนอผลลัพธ์ที่ตรงใจที่สุด โดยระบบนี้ทำงานโดยการแยกคำถามหลักออกเป็นคำถามย่อยหลายข้อ แล้วค้นหาข้อมูลจากหลายแหล่งพร้อมกัน เพื่อรวบรวมข้อมูลที่ครบถ้วนและสร้างคำตอบที่มีความลึกซึ้งมากกว่าการค้นหาปกติ ผู้ใช้งานสามารถถามคำถามต่อเนื่องได้ เหมือนการสนทนาจริง
เรามาดูตัวอย่างง่าย ๆ กัน เมื่อคุณพิมพ์ "ร้านอาหารใกล้ฉัน" Google ไม่ได้แค่มองหาเว็บไซต์ที่มีคำว่า "ร้านอาหาร" เท่านั้น แต่จะเข้าใจว่าคุณต้องการหาที่กิน ต้องการดูรีวิว เบอร์โทรศัพท์ เวลาเปิด-ปิด และเส้นทางในการเดินทาง ซึ่งเป็นผลมาจากระบบ AI อย่าง Google Hummingbird, RankBrain, BERT และ MUM ที่ช่วยให้ Google เข้าใจเจตนาในการค้นหาของเราได้ดีขึ้น หรือที่เรียกกันว่า User Intent นั่นเอง
2. หัวใจสำคัญของ Google AI Mode คือ ความเข้าใจในภาษาธรรมชาติสิ่งที่ทำให้ Google AI Mode แตกต่างจากการค้นหาแบบเก่าคือความสามารถในการเข้าใจภาษาธรรมชาติ หรือที่เรียกว่า Natural Language Understanding (NLU) ในอดีต การค้นหาจะต้องใช้คำสำคัญที่เฉพาะเจาะจง เช่น "ซื้อ โทรศัพท์ iPhone 15" แต่ตอนนี้เราสามารถพิมพ์ "หาโทรศัพท์ดี ๆ ราคาไม่แพงมาก สำหรับถ่ายรูปให้สวย" และ Google ก็เข้าใจได้ว่าเราต้องการอะไร
การพัฒนานี้ทำให้ผู้คนเปลี่ยนวิธีการค้นหา เริ่มใช้ประโยคสมบูรณ์มากขึ้น ถามคำถามแบบสนทนา และคาดหวังคำตอบที่ตรงประเด็นทันที นี่คือเหตุผลว่าทำไมการค้นหาด้วยเสียง (Voice Search) จึงได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะเราสามารถพูดคุยกับ Google ได้เหมือนการสนทนาจริง ๆ
นอกจากนี้ ระบบยังสามารถประมวลผลข้อมูลหลายรูปแบบได้ในเวลาเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นข้อความ รูปภาพ หรือวิดีโอ ทำให้คำตอบที่ได้มีความสมบูรณ์และน่าเชื่อถือมากขึ้น
3. ผลกระทบต่อการเข้าชมเว็บไซต์และการคลิกข้อมูลจากประเทศอิตาลีที่ได้เริ่มใช้ระบบ AI Overviews (รูปแบบก่อนหน้าของ AI Mode) ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2025 แสดงผลกระทบที่ชัดเจน เว็บไซต์ที่มีเนื้อหาทั่วไปมีผู้เข้าชมลดลง 30-40% ในขณะที่เว็บไซต์ที่มีเนื้อหาเฉพาะทางและเจาะลึกกลับมีผู้เข้าชมเพิ่มขึ้น 15-45%
การศึกษาพบว่า AI Overviews ทำให้อัตราการคลิก (Click-through Rate) ลดลงเฉลี่ย 34.5% สำหรับคำค้นหาที่ต้องการข้อมูล เนื่องจากผู้ใช้ได้รับคำตอบที่ต้องการแล้วโดยไม่ต้องคลิกเข้าไปในเว็บไซต์
อย่างไรก็ตาม บริษัทหลายแห่งรายงานว่าแม้จำนวนผู้เข้าชมจะลดลง แต่รายได้กลับเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้เข้าชมที่เหลือมีคุณภาพสูงกว่า มีความสนใจจริงในสินค้าหรือบริการ และมีโอกาสซื้อสูงกว่า
4. การเปลี่ยนแปลงของปัจจัยในการจัดอันดับในยุคของ AI Mode ปัจจัยที่ Google ใช้ในการจัดอันดับเว็บไซต์มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก จากเดิมที่เน้นการใส่ Keywords และ Backlinks คุณภาพสูง ตอนนี้กลายเป็นการประเมินคุณภาพคอนเทนต์และความเชี่ยวชาญของเว็บไซต์แทน
Google ให้ความสำคัญกับ E-E-A-T มากขึ้น ซึ่งย่อมาจาก Experience (ประสบการณ์), Expertise (ความเชี่ยวชาญ), Authoritativeness (ความน่าเชื่อถือ) และ Trustworthiness (ความไว้วางใจ) เว็บไซต์ที่มีเนื้อหาโดยผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์จริง มีข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำ มีแหล่งอ้างอิงที่น่าเชื่อถือ และสามารถตอบคำถามผู้ใช้ได้จริงจะได้รับการจัดอันดับที่ดีมากกว่าเนื่องจาก Google AI สามารถแยกแยะได้ว่าคอนเทนต์ไหนเขียนมาเพื่อหวังผล SEO อย่างเดียว กับคอนเทนต์ไหนที่จริงใจต้องการช่วยเหลือผู้อ่าน การลงทุนในคอนเทนต์ที่มีคุณค่าจริงจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
5. กลยุทธ์ Answer Engine Optimization (AEO)AEO เป็นแนวทางใหม่ในการทำ SEO ที่เน้นการเพิ่มประสิทธิภาพคอนเทนต์ให้ถูกอ้างอิงใน AI responses การศึกษาพบว่าแพลตฟอร์มต่าง ๆ มีแหล่งข้อมูลที่ชอบอ้างอิงแตกต่างกัน เช่น ChatGPT มักอ้างอิง Wikipedia, Perplexity นิยมอ้างอิง Reddit และ YouTube ส่วน Google AI มักอ้างอิงเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือสูง
และเพื่อให้คอนเทนต์ของคุณถูกเลือกโดย AI ก็ควรต้องมีเนื้อหาครอบคลุมและตอบคำถามได้อย่างครบถ้วน, มีการจัดโครงสร้างที่ชัดเจนและอ่านง่าย, มีข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือ, และสามารถตอบคำถามที่ซับซ้อนได้
การเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับคำค้นหาแบบสนทนาและคำถามยาว ๆ กลายเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจาก AI Mode รองรับการค้นหาแบบซับซ้อนได้ดีกว่าระบบเดิม
6. การปรับปรุงด้านเทคนิคสำหรับ AI Modeการเตรียมเว็บไซต์ให้พร้อมสำหรับ AI Mode ต้องให้ความสำคัญกับการใช้ Structured Data หรือการจัดโครงสร้างข้อมูลให้ AI เข้าใจได้ง่าย การใช้ Schema Markup จะช่วยให้ AI สามารถเข้าใจเนื้อหาของคุณได้ดีขึ้น
ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ (Page Speed) ก็ยังคงมีความสำคัญ เนื่องจาก AI ให้ค่าน้ำหนักกับประสบการณ์ของผู้ใช้ในการประเมินคุณภาพเว็บไซต์ การทำให้เว็บไซต์โหลดเร็วและใช้งานง่ายบนมือถือจึงเป็นพื้นฐานที่จำเป็น
นอกจากนี้ การจัดโครงสร้างเนื้อหาให้เป็นระเบียบ เช่น การใช้หัวข้อย่อยที่ชัดเจน, การเขียน alt text สำหรับรูปภาพ และการใช้ URL ที่มีความหมาย จะช่วยให้ AI สามารถเข้าใจและเลือกใช้คอนเทนต์ของคุณได้ดีขึ้น
บทสรุป : อนาคตของ SEO กับ Google AIอนาคตของ SEO จะแยกไม่ออกจาก Google AI อย่างแน่นอน เราจะเห็นการพัฒนาของ AI ที่ฉลาดขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งจะทำให้การค้นหามีความแม่นยำมากขึ้น การปรับตัวและเรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกับ AI ของ Google จึงเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ใช่แค่การพยายาม "เอาชนะ" AI แต่เป็นการ "ทำความเข้าใจ" ว่า AI ทำงานอย่างไร และสร้างคอนเทนต์ที่สอดคล้องกับเป้าหมายของ AI นั่นคือการมอบประสบการณ์การค้นหาที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้งาน ธุรกิจที่สามารถปรับตัวได้เร็วและมีประสิทธิภาพจะมีโอกาสประสบความสำเร็จในยุคใหม่ของการค้นหาที่ขับเคลื่อนด้วย AI มากกว่าผู้ที่ยังคงใช้วิธีเดิม