
- เปิดสูตรไม่ลับการยกระดับนวัตกรรมอาหารจากโลคัลสู่การสร้างอิมแพกต์ระดับโกลบัลผ่าน ผปก.นวัตกรรม "กะทิธัญพืช - นมป้องกันฟันผุ" พร้อมกลุ่มบิกเมนเทอร์และนักลงทุน
ครัวไทยไม่ใช่แค่เรื่องของรสชาติ แต่คือพลังเศรษฐกิจระดับโลก! โดยในปี 2567 มูลค่าการส่งออกอาหารไทยพุ่งทะยานแตะ 1.63 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.3 ซึ่งเป็นการทุบสถิติสูงสุดครั้งใหม่ การเติบโตนี้ยังช่วยดันประเทศไทยก้าวสู่ท็อป 12 ของผู้ส่งออกอาหารของโลก โดยมีตัวอย่างสำคัญ เช่น ข้าวไทยขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 25.9 อาหารพร้อมรับประทานขยายตัวเพิ่มร้อยละ 15.5 และซอสปรุงรสขยายตัวสูงถึงร้อยละ 10.5 โดยกลุ่มสินค้าเหล่านี้ต่างเป็นดาวเด่นครองใจตลาด ส่งผลให้ไทยกลายเป็นหนึ่งในศูนย์กลางด้านอาหารของเอเชียที่ทั่วโลกจับตามอง อย่างไรก็ตาม ในปี 2568 คาดว่าตัวเลขจะยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยมีมูลค่าแตะ 1.75 ล้านล้านบาท ซึ่งตัวเลขที่น่าสนใจนี้เป็นการตอกย้ำศักยภาพที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะการใช้นวัตกรรมส่งเสริมศักยภาพ เพื่อตอกย้ำการยอมรับ "ครัวชั้นเลิศของโลก"

ประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจหากไทยต้องการผลักดันอุตสาหกรรมอาหารให้เติบโตสู่เวทีสากล และเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้มากขึ้น คือ การพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารให้ตอบโจทย์พฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับ "สุขภาพ" และ "ความยั่งยืน" ซึ่งการตอบสนองเทรนด์การบริโภคที่เปลี่ยนไปนั้นไม่ใช่เพียงการพัฒนาเมนูใหม่ แต่ต้องอาศัย "นวัตกรรม" เข้ามายกระดับคุณค่าอาหาร สร้างความแตกต่าง และเพิ่มความยั่งยืนให้กับธุรกิจในระยะยาว สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA เล็งเห็นถึงโอกาสนี้ จึงมุ่งสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอี สตาร์ตอัป และธุรกิจเพื่อสังคม ในการพัฒนาศักยภาพและสร้างมูลค่าให้กับธุรกิจอาหารไทย พร้อมผลักดันสู่การแข่งขันในระดับสากลอย่างยั่งยืน
บทบาทของ NIA ในการเสริมศักยภาพอุตสาหกรรมอาหารไทยสู่สากลด้วยนวัตกรรม
ดร. กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ ระบุว่า "Thai Kitchen 2025 Crafted FoodTech Accelerator Program" ถือเป็นเวทีแห่งโอกาสที่จะช่วยเตรียมความพร้อมและพัฒนาผู้ประกอบการเอสเอ็มอี สตาร์ตอัป และธุรกิจเพื่อสังคม ที่มีแนวคิดและต้องการขับเคลื่อนธุรกิจอาหารด้วยนวัตกรรม โดยเข้าร่วมอบรมเพิ่มพูนองค์ความรู้ควบคู่การลงมือปฏิบัติจริง และการจับคู่ธุรกิจเชิงกลยุทธ์กับผู้เชี่ยวชาญชั้นนำ ผ่านกลไกสนับสนุนธุรกิจนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีอาหารที่ครบวงจรจาก NIA ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การบ่มเพาะเพื่อเพิ่มจำนวนผู้ประกอบการ การให้ทุนสนับสนุนเพื่อพัฒนานวัตกรรม การสร้างองค์ความรู้และกลยุทธ์ธุรกิจที่ตรงกับความต้องการของตลาด ไปจนถึงการขยายโอกาสสู่ตลาดต่างประเทศ เพื่อเร่งให้ธุรกิจนวัตกรรมเกิดการเติบโตแบบก้าวกระโดด สามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของตลาดที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วได้ ซึ่งสอดคล้องกับศักยภาพของประเทศไทยในการก้าวเป็น "ครัวของโลก"
"ในปีนี้ NIA ตั้งเป้าพัฒนาผู้ประกอบการนวัตกรรมด้านอาหารที่มีรายได้และพร้อมต่อยอดการเติบโตสู่ตลาดที่ใหญ่ขึ้นทั้งในและต่างประเทศ จำนวน 10 ราย ใน 3 สาขา ได้แก่ 1. อาหารพื้นถิ่นมูลค่าสูง (Modern Heirloom) เป็นการนำภูมิปัญญาและวัตถุดิบท้องถิ่นมาเพิ่มมูลค่าผ่านเทคโนโลยีและการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ 2. อาหารและผลไม้ไทยมูลค่าสูง (High-Value Thai Food & Fruits) ยกระดับสินค้าเกษตรและอาหารแปรรูปของไทยให้เป็นผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียมที่มีจุดขายชัดเจนทั้งด้านสุขภาพและวัฒนธรรม และ 3. อาหารแห่งอนาคต (Future Food) เช่น โปรตีนทางเลือก อาหารจากพืช อาหารเพื่อสุขภาพ รวมถึงอาหารที่ตอบโจทย์ด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน โดยผู้เข้าร่วมจะได้รับการสนับสนุนและคำปรึกษาเชิงลึกแบบเฉพาะเจาะจงจากผู้เชี่ยวชาญในหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีอาหาร การผลิต การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การตลาด การส่งออก ตลอดจนการเข้าถึงแหล่งเงินทุน พร้อมโอกาสรับทุนสนับสนุนสูงสุดถึง 5 ล้านบาท ดังนั้น โครงการ "Thai Kitchen 2025" ที่แม้จะขับเคลื่อนเป็นปีแรก จึงไม่ใช่แค่เวทีส่งเสริมผู้ประกอบการรายใหม่ แต่ยังเป็นกลไกสำคัญในการยกระดับอุตสาหกรรมอาหารไทยทั้งระบบให้มีความแข็งแกร่ง สามารถเติบโตอย่างก้าวกระโดดแบบเฉพาะเจาะจง เพื่อส่งต่อความภาคภูมิใจในรสชาติ วัฒนธรรม และคุณค่าความเป็นไทยสู่ผู้บริโภคทั่วโลก พร้อมทั้งสร้างมูลค่าใหม่ให้กับฟูดเทคไทย เพื่อขับเคลื่อน "ผลิตภัณฑ์อาหารไทยสู่เวทีโลก" ให้กลายเป็นพลังเศรษฐกิจที่ยั่งยืนของประเทศไปด้วยกัน"
สร้างธุรกิจให้ยั่งยืนด้วยนวัตกรรม ความสำเร็จจากผู้ประกอบการฐานนวัตกรรมไทยที่ได้รับการสนับสนุน
จาก NIA
นางสาวภิรมณ ชูประภาวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟอร์แคร์ จำกัด ผู้นำด้านธุรกิจอาหารเพื่อสุขภาพ เล่าว่า ฟอร์แคร์เริ่มต้นจากความตั้งใจในการพัฒนานวัตกรรมอาหารเพื่อแก้ปัญหาเล็ก ๆ แต่มีผลกระทบเชิงบวกสูง นั่นคือการสร้างผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพและตอบโจทย์เฉพาะกลุ่ม เช่น ผู้บริโภคที่มีข้อจำกัดด้านสุขภาพหรือมีความต้องการเฉพาะด้านโภชนาการ จึงได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ "กะทิธัญพืช" ให้กลายเป็นอาหารทางเลือกที่มีคุณภาพ ปลอดภัย และเติบโตจนสามารถสร้างรายได้ระดับ 800 ล้านบาท จากจุดเด่นของฟอร์แคร์ที่ใช้ "ข้อมูลการวิจัยและนวัตกรรม" มาเป็นแกนหลักในการสร้างผลิตภัณฑ์ที่เข้าใจความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาสินค้าในยุคใหม่ โดยเฉพาะในบริบทที่ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ จึงทำให้ความต้องการสินค้าเฉพาะกลุ่มเพิ่มมากขึ้น ผู้ประกอบการที่เข้าใจและปรับตัวได้เร็วจะมีโอกาสเข้าถึงตลาดได้ก่อนคู่แข่งนั่นเอง
นายพฤฒิ เกิดชูชื่น กรรมการผู้จัดการ บริษัท แดรี่โฮม จำกัด กล่าวว่า แดรี่โฮมเริ่มต้นจากการเป็นฟาร์มเลี้ยงวัวในระบบอุตสาหกรรมทั่วไป แต่เมื่อเห็นความเปลี่ยนแปลงของโลกและพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาใส่ใจสุขภาพและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น จึงตัดสินใจเปลี่ยนทิศทางธุรกิจหันมาใช้ระบบเกษตรอินทรีย์เต็มรูปแบบและให้ความสำคัญกับคุณภาพในทุกขั้นตอนของการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ และนำ "นวัตกรรม" เข้ามายกระดับมาตรฐานสินค้าให้โดดเด่นและน่าเชื่อถือในระดับประเทศ โดยหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากแนวคิดนี้คือ "ฟ.ฟัน-นมป้องกันฟันผุ" เป็นผลิตภัณฑ์นมออร์แกนิกที่ไม่เพียงดีต่อสุขภาพ แต่ถูกออกแบบให้ตอบโจทย์เฉพาะกลุ่ม และผ่านการรับรองโดยกรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ถือเป็นตัวอย่างของการใช้เทคโนโลยีและความเข้าใจตลาดมาสร้างความแตกต่าง เพราะการขับเคลื่อนธุรกิจในยุคนี้ต้องอิงกับ"ความต้องการลูกค้าและเมกะเทรนด์" ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ซึ่งถือเป็นเข็มทิศสำคัญที่ช่วยกำหนดทิศทางการพัฒนาในระยะยาว องค์กรต้องรู้จักปรับตัวและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงได้อย่างทันท่วงที ถึงจะสามารถยืนหยัดและเติบโตได้อย่างยั่งยืนในตลาดที่มีการแข่งขันสูง
เสียงจากเมนเทอร์ เข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้ง จุดเริ่มต้นของขยายธุรกิจอาหารได้อย่างรวดเร็วที่ยั่งยืน
นายสุรศักดิ์ จินตนานฤมิตร ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เสถียรสเตนเลสสตีล จำกัด (มหาชน) อดีตผู้บริหารระดับสูงบริษัทอาหารชั้นนำของประเทศ เปิดเผยว่า การเข้าใจลูกค้าคือจุดเริ่มต้นสำคัญในการสร้างธุรกิจยุคปัจจุบันเพราะผู้บริโภคแต่ละประเทศมีความต้องการและข้อจำกัดต่างกัน เช่น รสนิยม วัตถุดิบที่ใช้ได้ ความเชื่อทางศาสนา หรือแม้แต่ลักษณะของแพคเกจจิ้ง สินค้าไทยหลายอย่างมีศักยภาพแต่ขาดโมเดลธุรกิจที่ชัดเจนว่าจะขายใครผ่านช่องทางไหน และตอบโจทย์ลูกค้าอย่างไร สิ่งเหล่านี้ต้องคิดก่อนผลิตไม่ใช่แค่ผลิตแล้วค่อยหาตลาด เพราะการส่งออกอาหารไทยในยุคใหม่ต้องไม่ใช่การทำตามความรู้สึกของผู้ผลิต แต่ต้องเริ่มจากข้อมูลของผู้บริโภค ซึ่งการจะผลักดันอาหารไทยเข้าสู่ตลาดโลกได้นั้น ไม่ใช่เพียงแค่การนำเสนอรสชาติที่อร่อย แต่ต้องเข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้ง และมีโมเดลธุรกิจที่ชัดเจน
นางอรสา โตสว่าง ผู้บริหารสำนักการวิเคราะห์ข้อมูลสนับสนุนการตลาดและการขาย บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ, กรรมการผู้จัดการบริษัท สารพัดสรรพศิลป์ (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จำกัด และนักออกแบบ บ้านอาจ้อ ภูเก็ต เปิดเผยว่า ในยุคที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและความสวยงามของบรรจุภัณฑ์ ผู้บริโภคร้อยละ 95 ถ่ายรูปอาหารก่อนกินเพราะฉะนั้นอาหารต้องดูดีตั้งแต่หน้าซอง ไม่ใช่แค่รสชาติดี แพ็กเกจจิงจึงกลายเป็นสิ่งแรกที่ลูกค้าตัดสินว่าอาหารนั้นน่ากินหรือไม่ ดังนั้น ผู้ประกอบการควรพิจารณาและให้ความสำคัญกับการสร้างภาพลักษณ์สินค้าให้ดูน่าสนใจ หรือใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น วัสดุรีไซเคิลหรือย่อยสลายได้และออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้ดึงดูดสายตา การออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่ดีไม่เพียงแค่ช่วยรักษาคุณภาพของอาหาร แต่ยังสามารถลดปริมาณขยะและส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของแบรนด์ไทยในสายตาผู้บริโภคในตลาดไทยและทั่วโลกได้เช่นกัน