โรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน "ฆาตกรเงียบ" ที่คร่าชีวิตโดยไม่มีสัญญาณเตือน รู้ทันก่อนสายเกินไป

ข่าวทั่วไป Wednesday June 11, 2025 17:10 —ThaiPR.net

โรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน

"โรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน" หรือ Coronary Artery Disease คือโรคที่ถูกขนานนามว่า "ฆาตกรเงียบ" เพราะสามารถพรากชีวิตคนคนหนึ่งไปได้อย่างไม่ทันตั้งตัว แม้ผู้ป่วยจะเคยผ่านการรักษาอย่างจริงจังมาแล้วในอดีตก็ตาม โดยข้อมูลจากสถาบันโรคทรวงอก กรมการแพทย์ ระบุว่า คนไทยเสียชีวิตจากโรคหัวใจเฉลี่ยปีละกว่า 20,000 ราย หรือคิดเป็น 2 รายต่อชั่วโมง ขณะที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า โรคหัวใจและหลอดเลือดคือสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของโลก และในประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคหัวใจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เฉลี่ยปีละ 4-5 แสนราย

โรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน

"โรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน" จึงไม่ใช่เพียงเรื่องของการรักษาเพียงครั้งเดียว แต่คือการดูแลตัวเองอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต เพื่อป้องกันไม่ให้มันย้อนกลับมาทำร้ายเราอีกครั้ง โดยเฉพาะในวันที่เราคิดว่าทุกอย่างปลอดภัยดีแล้ว

นพ.วิสุทธิ์ เกตุแก้ว อายุรแพทย์ด้านโรคหัวใจ โรงพยาบาลพระรามเก้า ให้ข้อมูลว่า โรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน (Coronary Artery Disease) เกิดจากการสะสมของไขมันและคราบหินปูนในผนังหลอดเลือดหัวใจ ทำให้หลอดเลือดตีบแคบลง ส่งผลให้เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้ไม่เพียงพอ หากปล่อยไว้อาจนำไปสู่ภาวะหัวใจขาดเลือด หรือรุนแรงจนหัวใจวายเฉียบพลันถึงขั้นเสียชีวิตได้ สำหรับกลุ่มผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงจะเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจสามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มหลัก ๆ คือ

  • กลุ่มที่ยังไม่เคยมีอาการ หรือไม่เคยเป็นโรคหัวใจมาก่อน เช่น คนวัยทำงาน หรือคนรุ่นใหม่ที่ดูแข็งแรง ไม่มีประวัติเจ็บป่วย แต่อาจจะมีปัจจัยเสี่ยงโดยไม่รู้ตัว หรือรู้แต่ไม่ได้ควบคุมปัจจัยเสี่ยงนั้น
  • กลุ่มผู้ที่เคยมีประวัติเป็นโรคหัวใจมาก่อน แม้จะได้รับการรักษาไปแล้ว เช่น เคยทำบอลลูนหัวใจ หรือผ่าตัดบายพาสหลอดเลือดหัวใจ ผู้ป่วยกลุ่มนี้นับว่ามีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคหัวใจสูงกว่ากลุ่มแรก หากไม่ควบคุมพฤติกรรมและโรคร่วมอย่างจริงจัง

ที่น่ากังวลคือ แนวโน้มผู้ป่วยอายุน้อยมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยมักมีปัจจัยเสี่ยงแอบแฝง เช่น การสูบบุหรี่ (รวมถึงบุหรี่ไฟฟ้า) การใช้สารเสพติด (โดยเฉพาะกัญชา ยาบ้า แอมเฟตามีน) การทำงานหนัก พักผ่อนน้อย ความเครียดเรื้อรัง และการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง โดยเฉพาะในสังคมเมือง นอกจากนี้ มลภาวะ PM 2.5 ยังถูกระบุว่าเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่เร่งให้เกิดภาวะหลอดเลือดหัวใจอุดตันได้มากขึ้น

นพ.วิสุทธิ์ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า อาการของโรคหลอดเลือดหัวใจแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะ คือ แบบเฉียบพลันและแบบเรื้อรัง ในรายที่เกิดแบบเฉียบพลัน (Acute Myocardial Infarction) ผู้ป่วยอาจจะไม่มีอาการเตือนล่วงหน้า อาจรู้สึกแน่นกลางหน้าอกเหมือนถูกกดทับ เหงื่อแตก ตัวเย็น หน้ามืด หรือปวดร้าวไปที่แขนซ้ายหรือกราม ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ทั้งในขณะที่กำลังพักผ่อน หรือหลังการออกแรง หากไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที หัวใจอาจหยุดเต้นและเสียชีวิตได้ทันที

ส่วนในกรณีแบบเรื้อรัง (Chronic Coronary Syndrome) ผู้ป่วยมักจะเริ่มมีอาการเหนื่อยง่ายขึ้นเมื่อออกแรง เช่น การเดินขึ้นบันได ยกของหนัก หรือออกกำลังกาย โดยอาจจะมีความรู้สึกแน่นหน้าอก หรือจุกบริเวณลิ้นปี่ร่วมด้วย ซึ่งผู้ป่วยบางรายมักมองข้าม คิดว่าเป็นแค่อาการเหนื่อยปกติ จนปล่อยให้โรคดำเนินไปอย่างช้า ๆ

สำหรับแนวทางการรักษาในปัจจุบันขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค ตั้งแต่การรับประทานยาเพื่อควบคุมอาการ ไปจนถึงการทำบอลลูนใส่ขดลวด (Coronary Stent) เพื่อขยายหลอดเลือด และในบางรายอาจต้องผ่าตัดบายพาส (Coronary Artery Bypass Graft Surgery) เพื่อเชื่อมทางเดินเลือดใหม่โดยใช้หลอดเลือดจากส่วนอื่นของร่างกาย อย่างไรก็ตาม แม้จะทำการรักษาแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าจะหายขาดได้ตลอดชีวิต หากไม่ควบคุมโรคร่วม เช่น เบาหวาน ความดัน หรือไขมันในเลือด ก็มีโอกาสที่โรคหัวใจจะกลับมาเป็นใหม่ได้

นพ.วิสุทธิ์ กล่าวปิดท้ายว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือ "การป้องกัน" และการรู้เท่าทันกลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะผู้ที่อายุ 40 ปีขึ้นไป ควรได้รับการตรวจคัดกรองสุขภาพหัวใจอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะหากมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคหัวใจตั้งแต่อายุน้อย ควรเริ่มตรวจตั้งแต่อายุ 30 ปี และหากตรวจพบความเสี่ยงตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็สามารถวางแผนควบคุมปัจจัยเสี่ยงหรือรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดโอกาสเกิดเหตุการณ์เฉียบพลันได้อย่างมาก

สำหรับการตรวจคัดกรองหัวใจที่สามารถช่วยให้พบความผิดปกติได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ โดยแพทย์จะเริ่มจากการประเมินความเสี่ยงรายบุคคล (Heart Risk Assessment) เช่น การเจาะเลือดเพื่อหาปัจจัยเสี่ยง หรือตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์เพื่อวัดปริมาณแคลเซียมในหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Artery Calcium Score) รวมถึงการตรวจสมรรถภาพหัวใจขณะออกกำลังกายบนสายพาน (Exercise Stress Test) หากพบความผิดปกติ แพทย์จะพิจารณาตรวจเพิ่มเติม เช่น การฉีดสีหลอดเลือดหัวใจด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CTA Coronary Artery) หรือการสวนหัวใจฉีดสี (Coronary Angiogram) เพื่อประเมินความรุนแรงและวางแผนรักษาอย่างเหมาะสมโดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และหากตรวจพบความเสี่ยงตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็สามารถวางแผนควบคุมหรือรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดโอกาสเกิดเหตุการณ์เฉียบพลันได้อย่างมาก

"โรคหลอดเลือดหัวใจ" จึงไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป เพราะสามารถเกิดได้กับคนทุกวัย แม้แต่คนที่ดูสุขภาพแข็งแรงก็ตาม ทุกคนจึงควรหันมาใส่ใจดูแลหัวใจของตัวเองตั้งแต่วันนี้ ด้วยการออกกำลังกายสม่ำเสมอ (Moderate-intensity Aerobic Exercise) อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ ดูแลตัวเองในด้านโภชนาการทางอาหาร เน้นทานผัก ผลไม้ ธัญพืช ลดอาหารที่มีปริมาณคอเลสตอรอลและโซเดียม หลีกเลี่ยงอาหารไขมันทรานส์ อาหารแปรรูป และของหวานจัด หยุดสูบบุหรี่ และเลี่ยงสารเสพติด รวมถึงตรวจสุขภาพเป็นประจำ โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคร่วมอย่างเบาหวาน, ไขมันในเลือดสูง หรือความดันโลหิตสูง ก็เป็นหนึ่งในการลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด

สำหรับผู้ที่พบว่าตัวเองมีความเสี่ยง สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ "โรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน" ได้ที่ โทร. 1270 หรือ Line: https://lhco.li/3YR7rhZ และ Facebook: Praram9 Hospital โรงพยาบาลพระรามเก้าHEALTHCARE YOU CAN TRUST เรื่องสุขภาพไว้ใจเรา #Praram9Hospital


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ