กลุ่มดุสิตธานี เผยแผน 9 ปีเข้าสู่ช่วง "ปลดล็อคมูลค่า"

ข่าวทั่วไป Friday June 13, 2025 16:35 —ThaiPR.net

กลุ่มดุสิตธานี เผยแผน 9 ปีเข้าสู่ช่วง

เตรียมเก็บเกี่ยวผลตอบแทนจากการลงทุน-รอรับรู้รายได้เรสซิเด้นท์ที่ขายไปแล้วถึง 90%

กลุ่มดุสิตธานีเผยความสำเร็จแผน 9 ปี หลังจากเดินทางสู่ช่วงปลายของแผนระยะที่ 3 ช่วง Unlock Value ที่พร้อมเก็บเกี่ยวการเติบโตจากการลงทุนและการขยายธุรกิจในช่วงก่อนหน้านี้ พร้อมตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้จากธุรกิจหลักในปีนี้ไว้ที่ 20-25% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา (ไม่รวมรายได้จากรายการพิเศษ) โดยปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากการรอรับรู้รายได้การโอนโครงการที่พักอาศัย Dusit Residences และ Dusit Parkside ที่ขายไปแล้วประมาณ 90% ของโครงการทั้งหมด (ประมาณการมูลค่ารายได้ 16,000 ล้านบาท เมื่อมีการโอน) ระบุไทม์ไลน์สำคัญจะเกิดขึ้นในช่วงปลายปีนี้เป็นต้นไป ย้ำหลังการโอน ภาระดอกเบี้ยจ่ายจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ธุรกิจโรงแรมนำโดยโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ เรือธงที่สำคัญ จะสามารถรับรู้รายได้เต็มปีในปีนี้เป็นปีแรก รวมถึงธุรกิจอาหารที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง เผยเตรียมนำธุรกิจอาหารเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อเวลาเหมาะสม เพื่อเดินหน้าสร้างการเติบโตให้กลุ่มดุสิตธานีอย่างยั่งยืน

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT เปิดเผยว่า หลังจากกลุ่มดุสิตธานีวางแผนกลยุทธ์ 9 ปี (2559-2568) โดยแบ่งออกเป็น 3 ช่วง ช่วงเวลาละ 3 ปี ได้แก่ ช่วงที่ 1 ช่วงสร้างฐาน (2559-2561) ช่วงที่ 2 ช่วงขยายการเติบโต Take Off (2562-2565) และช่วงที่ 3 ช่วงเก็บเกี่ยวการเติบโต Unlock Value (2566-2568) ขณะนี้กลุ่มดุสิตธานีได้เดินหน้ามาถึงช่วงปลายของระยะที่ 3 แล้ว จึงถือเป็นโอกาสที่ดีที่บริษัทฯ จะได้สรุปสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น รวมถึงแผนงานในอนาคต โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปีนี้

แผน 9 ปีเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้

ช่วงที่ 1 ช่วงสร้างฐาน (2559-2561) เป็นช่วง 3 ปีแรกของการเข้ามาบริหารงานกลุ่มดุสิตธานี โดยเป้าหมายที่วางไว้จะโฟกัสที่การสร้างคน ทั้งวัฒนธรรมองค์กร ทัศนคติ การพัฒนาทักษะพนักงาน พัฒนากระบวนการทำงาน เตรียมความพร้อมด้านเทคโนโลยี สร้างศักยภาพของสินทรัพย์กลุ่มดุสิตธานี และยกระดับศักยภาพของแบรนด์ดุสิตธานีให้ตอบโจทย์ทุกเซกเมนต์ หรือเซกเมนต์ที่มีศักยภาพสูง รวมถึงเตรียมพร้อมด้านโครงสร้างการเงินเพื่อรองรับแผนระยะยาว เพื่อให้กลุ่มดุสิตธานีเตรียมพร้อมที่จะนำเสน่ห์แบบไทยและความเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ไทยไปให้คนทั่วโลกได้รู้จัก

ช่วงที่ 2 ช่วง Take Off (2562-2565) เป็นช่วงขยายการเติบโตให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด ทั้งการขยายธุรกิจโรงแรม ควบคู่ไปกับการขยายบริการที่หลากหลายรูปแบบ ขยายธุรกิจการศึกษา พร้อมๆ กับการขยายสู่ธุรกิจอาหาร ด้วยการจัดตั้งบริษัท ดุสิต ฟู้ดส์ จำกัด รวมถึงการเดินหน้าขยายโครงการ "ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค" ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบผสมผสาน (Mixed-Use) ที่มีมูลค่ากว่า 46,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงที่กลุ่มดุสิตธานี ต้องรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้บริษัทฯ ต้องปรับกลยุทธ์ โดยเน้นการสำรองเงิน เพื่อให้มีกระแสเงินสดที่เพียงพอ ด้วยการตัดสินใจขายทรัพย์สินบางส่วนออกไปเพื่อปรับโมเดลทางการเงินใหม่ ด้วยวัตถุประสงค์หลักในการรักษาองค์กรให้เดินต่อไปได้ และโครงการสำคัญยังคงเดินหน้าโดยไม่ลดทอนคุณภาพ

ช่วงที่ 3 ช่วง Unlock Value (2566-2568) เป็นช่วงเก็บเกี่ยวการเติบโต จากการที่กลุ่มดุสิตธานีลงทุนไปก่อนหน้านี้ เพื่อสร้างผลประกอบการที่เติบโตอย่างยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นการขยายโรงแรม จากที่เคยมีโรงแรม 27 แห่งใน 8 ประเทศ ปัจจุบัน ณ ไตรมาสแรกปี 2568 กลุ่มดุสิตธานีมีโรงแรมและวิลล่าภายใต้การบริหารจัดการรวม 294 แห่ง จำนวนห้องพักรวม 12,909 ห้อง ใน 18 ประเทศ เป็นโรงแรม 55 แห่งและวิลล่าหรู 239 แห่ง และในปี 2568 จะรับรู้รายได้จากโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ เต็มปี หลังจากเปิดให้บริการเมื่อวันที่27 กันยายน 2567

นอกจากนี้ กลุ่มดุสิตธานียังขยายการลงทุนในธุรกิจอาหาร ผ่านบริษัท ดุสิต ฟู้ดส์ จำกัด ซึ่งปัจจุบัน มีการลงทุนใน บริษัท เอ็บเพอคิวร์ เคเทอริ่ง จำกัด ผู้นำธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มที่ให้บริการกับโรงเรียนนานาชาติในไทย บริษัท เดอะ เคเทอเรอร์ส จอยท์ สต็อก จำกัด (The Caterers Joint Stock) หรือ เดอะ เคเทอเรอร์ส (The Caterers) ผู้ให้บริการด้านการจัดเลี้ยงสำหรับโรงเรียน และงานเลี้ยงรับรองนอกสถานที่ในประเทศเวียดนาม บริษัท บองชู เบเกอรี่ เอเชีย จำกัด เป็นเจ้าของแฟรนไชส์ขนมเบเกอรี่ "บองชู" (BONJOUR) มีสาขารวมทั้งสิ้น 99 แห่ง ครอบคลุมในประเทศไทย จีน และเวียดนาม และมีโรงงานผลิตเบเกอรี่ที่นิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด จังหวัดระยอง และขณะนี้ บริษัทกำลังอยู่ในขั้นตอนการเตรียมตัวสำหรับการนำธุรกิจอาหารเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

"ในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา แม้กลุ่มดุสิตธานีจะเผชิญกับปัจจัยท้าทายและความยากลำบาก ทั้งจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ วิกฤติการแพร่ระบาดของโควิด-19 รวมถึงการตัดสินใจยุติการให้บริการโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ แห่งเดิม เพื่อสร้างโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ แห่งใหม่ แต่ตลอดเส้นทางที่เราต้องเผชิญนั้น คณะกรรมการ ฝ่ายบริหาร รวมถึงพนักงานทุกคนของกลุ่มดุสิตธานี ก็ได้ร่วมแรงร่วมใจกัน ผลักดันให้แผนกลยุทธ์ 9 ปีที่วางไว้ สามารถเป็นไปตามเป้าหมายได้อย่างน่าพอใจ" ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ.ดุสิตธานี กล่าว

แจงผลขาดทุนเกิดจากภาระดอกเบี้ยจ่าย

ในปี 2567 บริษัทฯ มีรายได้รวมสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ที่ 11,204 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2566 คิดเป็น 74.8% โดยมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) 1,650 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 91.4% (YoY)

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากบริษัทฯ มีภาระดอกเบี้ยจ่ายหุ้นกู้ที่ออกและเสนอขายเพื่อรองรับสภาพคล่องทางการเงินในช่วงโควิด-19 และดอกเบี้ยเงินกู้ยืม ประมาณ 281 ล้านบาท รวมถึงดอกเบี้ยของหนี้สินจากสัญญาเช่าตามมาตรฐานการรายงานการเงินฉบับที่ 16 (TFRS 16) ประมาณ 297 ล้านบาท รวมเป็นต้นทุนทางการเงินประมาณ 578 ล้านบาท จึงทำให้มีตัวเลขขาดทุนสุทธิในปี 2567 อยู่ที่ 237 ล้านบาท

"จะเห็นได้ว่า หากเราไม่รวมต้นทุนดอกเบี้ยจ่าย ธุรกิจของเราก็ยังมีกำไรจากการดำเนินงาน แต่ที่เราต้องออกหุ้นกู้และกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน เนื่องจากที่ผ่านมา กลุ่มดุสิตธานีมีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ใน "ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค" ที่มีมูลค่าประมาณ 46,000 ล้านบาท หรือเผชิญวิกฤตครั้งใหญ่อย่างการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 กว่า 3 ปี ในขณะที่ทุนจดทะเบียนของบริษัทยังคงอยู่ที่ 850 ล้านบาทไม่มีการเปลี่ยนแปลง" นางศุภจีกล่าวและเสริมว่า ภาระดอกเบี้ยจ่ายนี้จะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ หลังจากการโอนโครงการที่พักอาศัยเกิดขึ้นในช่วงปลายปีนี้ ต่อเนื่องถึงปี 2569 และช่วงเวลานั้น จะเป็นช่วงที่กลุ่มดุสิตธานีจะกลับมามีกำไรสุทธิอีกครั้งอย่างแน่นอน

ครึ่งหลังปี 2568 เริ่มทยอยรับรู้รายได้ธุรกิจเรสซิเดนซ์ที่ขายไปแล้ว 90%

สำหรับช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ซึ่งเป็นช่วงสุดท้ายของแผนกลยุทธ์ 9 ปี มั่นใจว่ากลุ่มดุสิตธานีจะสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งจากธุรกิจโรงแรมที่สถานการณ์การเดินทางกลับเข้าสู่ภาวะปกติและมีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการขยายโรงแรมไปยังจุดหมายปลายทางสำคัญทั่วโลกของกลุ่มดุสิตธานี ที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจ ขณะเดียวกัน การขยายเข้าสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ผ่านโครงการที่พักอาศัย ได้แก่ โครงการ Dusit Residences และ Dusit Parkside ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ "ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค" ปัจจุบันมียอดขายอยู่ที่ประมาณ 90% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 16,000 ล้านบาท โดยมีแผนจะเริ่มทยอยโอนในช่วงปลายปี 2568 และจะมีการโอนอย่างมีนัยสำคัญในปี 2569 จะเป็นปัจจัยที่ทำให้ช่วง Unlock Value ของกลุ่มดุสิตธานีเป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบด้วยการเติบโตอย่างก้าวกระโดดจากรายได้ที่รอการรับรู้ดังกล่าว

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ.ดุสิตธานี กล่าวว่า ในปีหน้า หลังจากการรับรู้รายได้จากการโอนโครงการที่พักอาศัยดังกล่าว กลุ่มดุสิตธานีจะสามารถลดภาระหนี้สิน ทำให้ต้นทุนการเงินลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ธุรกิจอาหาร ซึ่งในปี 2567 ที่ผ่านมามีรายได้ 1,470 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 18.6% และธุรกิจการศึกษา ที่มีรายได้ 427 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.8% จะเป็นแรงสนับสนุนที่สำคัญในการสร้างการเติบโตนอกเหนือไปจากธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

"จากภาวะเศรษฐกิจ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และสถานการณ์ทางด้านการท่องเที่ยวในประเทศไทยในปัจจุบัน บริษัทได้ปรับประมาณการณ์การเติบโตโดยรวมของกลุ่มดุสิตธานีในปี 2568 คาดว่า อัตราการเติบโตของรายได้รวมจากธุรกิจหลักจะเติบโตประมาณ 20-25% เมื่อเทียบกับปี 2567 (ไม่รวมรายได้จากการส่งมอบงานโครงสร้างพื้นที่อาคารค้าปลีกของโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค - "Bare Shell") โดยเป็นการเติบโตของธุรกิจโรงแรม 20-25% ธุรกิจอาหาร 10-15% ธุรกิจการศึกษา 10-12% และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มากกว่า 100% (ไม่รวม Bare Shell) ซึ่งเรามั่นใจว่าด้วยเครื่องยนต์ทุกเครื่องของธุรกิจที่เราวางฐานไว้ และค่อยๆ สร้างการเติบโต จะสะสมพลังให้ภาพรวมของกลุ่มดุสิตธานีกลับมาเติบโตและสร้างกำไรได้อย่างยั่งยืนในอนาคตอันใกล้นี้อย่างแน่นอน" นางศุภจีกล่าว

สรุปประเด็นเกี่ยวกับหุ้น DUSIT และงบการเงิน

ภายหลังจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2568 มีมติไม่อนุมัติงบการเงินประจำปี 2567 และยังไม่ได้ประชุมในวาระการแต่งตั้งผู้สอบบัญชี ประจำปี 2568 จนอาจนำไปสู่ปัญหาการนำส่งงบการเงินไตรมาส 1 ประจำปี 2568 ในวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 นั้น คณะกรรมการและคณะผู้บริหารของบริษัทฯ ก็ได้พยายามแก้ไขปัญหาอย่างเต็มที่ โดยได้หารือกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหลายครั้ง จนกระทั่งสามารถนำส่งงบการเงินไตรมาส 1/2568 ที่ผ่านการสอบทานแล้วได้ทันตามกำหนดเวลา ทำให้หุ้น DUSIT ไม่ถูกขึ้นเครื่องหมาย SP หยุดการซื้อขาย และต่อมาในการประชุมผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา ผู้ถือหุ้นก็ได้อนุมัติการแต่งตั้งผู้สอบบัญชีรับอนุญาตของปี 2568 เป็นที่เรียบร้อย

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ดุสิตธานี กล่าวว่า การจัดทำและอนุมัติงบการเงินของดุสิตธานี มีความถูกต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน ผู้สอบบัญชีจึงลงนามรับรองอย่างไม่มีเงื่อนไข และการนำส่งงบการเงินได้ทันตามกำหนดเวลา อีกทั้งสามารถแต่งตั้งผู้สอบบัญชีปี 2568 ได้ ส่งผลให้บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้ประกาศยกเลิก "เครดิตพินิจ" แนวโน้ม "Negative" หรือ "ลบ" ที่ให้ไว้แก่อันดับเครดิตองค์กรและตราสารหนี้ของบริษัทฯ พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัทฯ ไว้ที่ระดับ "BBB-" รวมทั้งคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน (DUSIT22PA) ของบริษัทฯ ไว้ที่ระดับ "BB" ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่"

"ตลอด 9 ปีที่ผ่านมา กลุ่มดุสิตธานีผ่านความท้าทายหลากหลายรูปแบบ แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดขึ้น ไม่ว่าในอดีตหรือปัจจุบัน เราได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เราสามารถที่จะผ่านมาได้เสมอ ด้วยความมุ่งมั่นในหน้าที่และเป้าหมายที่เราตั้งใจไว้ โดยเราจะยังคงเดินหน้าตามแผนต่อไปด้วยคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกคน และเรายังเชื่อมั่นในเจตนารมย์ของท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย ท่านผู้ก่อตั้ง ที่จะนำความเป็นไทยไปสู่สายตาโลก ทุกโครงการ ทุกการลงทุน ทุกการขยายโอกาสทางธุรกิจของกลุ่มดุสิตธานีตลอดหลายปีที่ผ่านมา ก็เพื่อเชื่อมโยงความเป็นหนึ่งเดียวของแบรนด์ไทยที่มีเอกลักษณ์ความเป็นไทย ด้วยบริการอันอบอุ่นแบบไทยภายใต้มาตรฐานของดุสิตธานี ให้ทั่วโลกได้ประจักษ์ถึงแบรนด์ "ดุสิตธานี" ที่เป็นตัวแทนของประเทศไทย ที่พร้อมจะกลับมาสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนหลังจากนี้" ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ.ดุสิตธานีกล่าว


แท็ก ดุสิตธานี  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ