
กรมประมง...ส่งเสริมการเพาะเลี้ยง "ปูทะเล" ในบ่อกุ้งร้าง หวังฟื้นแหล่งผลิตสัตว์น้ำเศรษฐกิจให้กลับมามีศักยภาพอีกครั้ง หนุนสร้างอาชีพ สร้างรายได้ใหม่ให้กับเกษตรกรที่ประสบปัญหาในการเพาะเลี้ยงกุ้งทะเล ตามนโยบายของนายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนการพัฒนาอาชีพเพื่อสร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับพี่น้องเกษตรกรในพื้นที่เขตชายฝั่งทะเลผ่านการส่งเสริมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเศรษฐกิจที่สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่
นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมาอุตสาหกรรมการเลี้ยงกุ้งทะเลของไทยต้องเผชิญกับปัญหาหลายด้าน ทั้งโรคระบาด ราคาตกต่ำ และต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้เกษตรกรจำนวนหนึ่งจำเป็นต้องยุติการเลี้ยง และปล่อยบ่อกุ้งทิ้งร้างอย่างไร้ประโยชน์ เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงได้ผลักดันแนวทางการฟื้นฟูบ่อกุ้งร้าง โดยส่งเสริมให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนอาชีพ มุ่งสู่การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเศรษฐกิจชนิดอื่นที่มีศักยภาพสูงและเหมาะสมกับพื้นที่เดิม ซึ่งหนึ่งในสัตว์น้ำทางเลือกที่ได้รับการส่งเสริมอย่างต่อเนื่องคือ "ปูทะเล" ซึ่งถือเป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจที่เลี้ยงง่าย โตเร็ว ทนทานต่อสภาพแวดล้อม และจำหน่ายได้ราคาดี มีความต้องการสูงทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่สำคัญสามารถนำมาเลี้ยงในบ่อเดิมที่เคยเลี้ยงกุ้งทะเลได้โดยไม่ต้องลงทุนปรับปรุงมากนัก โดยแนวทางนี้ไม่เพียงช่วยเพิ่มโอกาสสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรในพื้นที่ชายฝั่ง แต่ยังเป็นการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ช่วยลดพื้นที่รกร้าง และส่งเสริมอาชีพประมงให้กลับมาเข้มแข็งและยั่งยืนอีกครั้ง
นายวิรัตน สนิทมัจโร ประมงจังหวัดสมุทรสงคราม กล่าวว่า จังหวัดสมุทรสงครามเป็นหนึ่งในพื้นที่เป้าหมายที่กรมประมงส่งเสริมให้เกษตรกรเลี้ยงปูทะเลในบ่อกุ้งร้าง ซึ่งยังมีบ่อที่ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์กว่า 1,000 ไร่ เพื่อปรับเปลี่ยนมาใช้ประโยชน์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยใช้ต้นทุนที่น้อยลง แต่ได้ผลตอบแทนหรือรายได้ที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับทางจังหวัดมีแหล่งน้ำธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ มีสภาพแวดล้อมที่ดี เกษตรกรจึงสามารถดึงน้ำจากธรรมชาติมาเลี้ยงสัตว์น้ำเศรษฐกิจอย่างเช่นปูทะเลได้ทั้งในรูปแบบธรรมชาติ กึ่งธรรมชาติ และเชิงพาณิชย์ โดยในปัจจุบันมีเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง จำนวน 1,873 ราย พื้นที่มากกว่า 45,700 ไร่ จากจำนวนพื้นที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทั้งหมดที่มีกว่า 50,100 ไร่ เกษตรกรส่วนใหญ่นิยมการเลี้ยงแบบกึ่งธรรมชาติ ซึ่งสามารถบริหารจัดการได้ง่าย ใช้แรงงานน้อย ต้นทุนต่ำ ซึ่งสำนักงานประมงจังหวัดได้ให้คำแนะนำ คำปรึกษา ในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การพิจารณาสัตว์น้ำ การปรับเปลี่ยนพื้นที่ การจัดหาสัตว์น้ำ การเพาะเลี้ยง การตลาด รวมถึงนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่กรมประมงได้วิจัยและพัฒนา มาส่งเสริมปรับใช้ให้เหมาะสมกับพื้นที่และบริบทของเกษตรกร
ในจังหวัดสมุทรสงคราม ทั้งนี้ ปัจจุบันจังหวัดสมุทรสงครามมีเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเพาะเลี้ยงปูทะเลแล้วกว่า 234 ราย ครอบคลุมพื้นที่มากกว่า 9,780 ไร่
นายชัยวุฒิ สุดทองคง ผู้เชี่ยวชาญด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง กรมประมง ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า สำหรับพันธุ์ปูทะเลที่เกษตรกรใช้เลี้ยง ส่วนหนึ่งสามารถรวบรวมได้จากธรรมชาติ และยังสามารถซื้อได้จากหน่วยผลิตพันธุ์สัตว์น้ำของกรมประมง โดยปูทะเลซึ่งเป็นชนิดปูขาวจากกรมประมง จัดเป็นลูกพันธุ์ที่มีความแข็งแรง โตเร็ว สามารถเลี้ยงในสภาพแวดล้อมที่มีความเปลี่ยนแปลงได้ดี จึงมีความเหมาะสมที่เกษตรกรสามารถนำมาใช้สำหรับการเลี้ยงในนากุ้งร้าง เพื่อเสริมสร้างอาชีพให้กับเกษตรกรมีความมั่นคงในอาชีพ และมีรายได้ที่มั่นคงยั่งยืน นอกจากนี้ ทางกรมฯ ยังได้สนับสนุนเทคโนโลยีในการฟื้นฟูบ่อ เช่น การใช้จุลินทรีย์ ปม.1 ปม.2 และจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง เพื่อปรับสภาพดินพื้นบ่อและคุณภาพน้ำให้เหมาะสม รวมถึงช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดโรค อีกทั้งยังส่งเสริมการเลี้ยงปูทะเลร่วมกับปลานวลจันทร์ทะเล เพื่อลดโอกาสที่พื้นบ่อจะเน่าเสียจากการสะสมของขี้แดดบริเวณพื้นบ่อ ตลอดจนช่วยปรับสมดุลของระบบนิเวศในบ่อเลี้ยงให้เหมาะสมอีกด้วย
นายธนธรณ์ ลิ้มสกุล หนึ่งในเกษตรกรต้นแบบด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำกร่อยของจังหวัดสมุทรสงคราม ได้เล่าถึงความสำเร็จในการเปลี่ยนบ่อกุ้งร้างมาเลี้ยงปูทะเล ว่า ได้เริ่มต้นจากการทดลองเลี้ยงด้วยตนเองแต่ยังประสบปัญหาในเรื่องของต้นทุน จึงได้ขอรับคำปรึกษาจากเจ้าหน้าที่กรมประมงในการนำอาหารธรรมชาติมาใช้ในการเลี้ยง จนทำให้มีผลผลิตและรายได้เป็นที่น่าพอใจ เนื่องจากใช้ต้นทุนในการเลี้ยงน้อย ไม่ต้องพึ่งสารเคมี ซึ่งอาหารที่ใช้เลี้ยง ได้แก่ หอยกะพัง และปลาหมอคางดำจากแหล่งน้ำธรรมชาติซึ่งมีความสดใหม่ ทำให้ปูทะเลที่เลี้ยงไม่เป็นโรค เจริญเติบโตได้ดี หลังเลี้ยงครบ 6 เดือน ปูตัวผู้ขายเป็นปูเนื้อกิโลกรัมละ 350 บาท ส่วนตัวเมียขายเป็นปูไข่กิโลกรัมละ 500 บาท ส่งผลให้มีกำไร มีเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบอาชีพเลี้ยงครอบครัวได้อย่างต่อเนื่อง
อธิบดีกล่าวทิ้งท้ายว่า การส่งเสริมการประกอบอาชีพของกรมประมง ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มรายได้ที่มั่นคงให้แก่เกษตรกร แต่ยังช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต ให้เกษตรกรมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ตามแนวคิด "เกษตรกรต้องอยู่ดี สินค้าเกษตรมูลค่าสูง ทรัพยากรเกษตรยั่งยืน" ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
สำหรับผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเพาะเลี้ยงปูทะเลในบ่อกุ้งร้าง ได้ที่ กองวิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง กรมประมง โทร. 0 2579 2422 ในวันและเวลาราชการ