
ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี จัดเต็มทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน เปิดเวทีสัมมนา "ttb Investment Outlook 2/2025" ภายใต้ธีม "ความผันผวนยังคงอยู่แต่เราสู้ได้ด้วย Stay Invest" เพื่ออัปเดต Market Outlook ในครึ่งแรกของปี 2025 พร้อมวิเคราะห์ความผันผวนของตลาด เปิดมุมมองและทิศทางการลงทุนที่น่าสนใจในครึ่งหลังปี 2025 เพื่อสร้างโอกาสการลงทุนให้ตอบโจทย์ทุกเป้าหมายการเงิน ให้ลูกค้า Wealth สามารถนำไปประกอบการพิจารณาลงทุนในกองทุนต่าง ๆ และได้รับผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุน เพื่อนำไปสู่การมีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นทั้งในวันนี้และอนาคต
นายนาวิน อินทรสมบัติ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หัวหน้าบริหารการลงทุน ทีเอ็มบีธนชาต กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นโลกปรับตัวขึ้นได้ดีติดต่อกันเป็นปีที่ 3 ตามที่ ttb Investment Office ได้ให้มุมมองไว้ในงานสัมมนาเมื่อต้นปี 2025 แม้ในช่วงเดือนมีนาคมถึงเมษายน ตลาดหุ้นทั่วโลกจะเผชิญกับความผันผวนอย่างรุนแรงไม่แพ้ช่วงวิกฤตโควิด-19 อันเนื่องมาจากการประกาศขึ้นภาษีตอบโต้อันแข็งกร้าวของ โดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้นักลงทุนเกิดความกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ด้วยการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับประเทศคู่ค้าที่สำคัญโดยเฉพาะจีนได้เกิดขึ้นและเป็นไปได้ด้วยดีตามที่เราคาดการณ์ ประกอบกับผลประกอบการของบริษัทที่สำคัญในสหรัฐฯ ยังออกมาแข็งแกร่ง ไม่เสื่อมคลาย ได้จุดประกายให้ดัชนีตลาดหุ้นโลกกลับมาฟื้นตัวและปรับขึ้นทำ New High ได้อย่างงดงาม สำหรับครึ่งหลังของปี ttb Investment Office คาดการณ์ว่าความผันผวนในตลาดการเงินโลกนั้น "ยังคงอยู่" แต่ไม่ได้บ่งชี้ว่า "บรรยากาศการลงทุนนั้นจะไม่ดี" ดังนั้น เราจึงต้อง "มีการลงทุน" อยู่อย่างสม่ำเสมอ แล้วเราควรจะลงทุนอย่างไร ผลิตภัณฑ์ใดตอบโจทย์การลงทุนในครึ่งหลังของปี ทุกท่านจะได้รับคำตอบจากงานสัมมนา "ttb Investment Outlook H2 2025" นอกจากนี้ ทีทีบี ได้มีการผนึกกำลังกับบริษัทหลักทรัพย์ธนชาต เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในด้านการให้บริการทางการเงินอย่างครบวงจรในรูปแบบ Total Wealth Solution เพื่อให้ลูกค้าสามารถยกระดับชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นอย่างแท้จริงและยั่งยืน
"ทำไมต้อง Stay Invest แล้วจะ Invest อย่างไร"
นายอภิวัฒน์ น้าประทานสุข ผู้บริหารกลยุทธ์การลงทุน ทีเอ็มบีธนชาต กล่าวว่า ภาพรวมตลาดหุ้นในครึ่งแรกของปี 2025 แม้จะเผชิญกับความผันผวนที่สูงกว่าปกติ แต่ตลาดหุ้นส่วนใหญ่ยังคงปรับขึ้นได้ดีทั้งในฝั่งของ Developed Market และ Emerging Market สำหรับครึ่งหลังของปี 2025 คาดการณ์ว่าบรรยากาศการลงทุนยังดีและดัชนีตลาดหุ้นโลกมีแนวโน้มปรับขึ้นต่อได้แม้ความผันผวนของตลาดยังคงสูงกว่าปกติอยู่ก็ตาม อันเนื่องมาจากปัจจัยบวกทั้ง 5 ประการ ได้แก่ ท่าทีของ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ผ่อนคลายมากขึ้น สะท้อนจากการเลื่อนขึ้นภาษีตอบโต้ออกไปต่อเนื่องเพื่อเปิดทางให้คู่ค้าต่าง ๆ เข้ามาเจรจา และเรามองว่าการเจรจากับประเทศคู่ค้าสำคัญโดยเฉพาะจีนจะบรรลุผล นำไปสู่ปัจจัยบวกที่สอง คือ อัตราภาษีนำเข้าไม่ขึ้นอย่างรุนแรง ส่งผลให้เงินเฟ้อสหรัฐฯ ไม่พุ่งขึ้นเร็วตามที่นักลงทุนกังวล นอกจากนี้ ราคาน้ำมันที่ปรับลงมาอยู่ในระดับต่ำ ยังช่วยให้เงินเฟ้อสหรัฐฯ ไม่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เกิดปัจจัยบวกที่สามตามมา คือ Fed มีโอกาสลดดอกเบี้ยได้ในครึ่งหลังของปีนี้ ส่วนปัจจัยบวกที่สี่ คือ มาตรการลดภาษีของทรัมป์ จะช่วยหนุนให้ผลกำไรของบริษัทโดยเฉพาะในสหรัฐฯ ดีขึ้น และนำไปสู่ปัจจัยบวกสุดท้ายคือ ภาวะเศรษฐกิจโลกและสหรัฐฯ ยังขยายตัวต่อไปได้ ไม่ถดถอย ส่งผลดีต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นนั่นเอง จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราต้อง "ลงทุนต่อเนื่อง (Stay Invest)" แทนที่การ "จับจังหวะลงทุน (Timing)" ในช่วงที่ตลาดยังมีความผันผวน เพราะการลงทุนที่ "ผิดจังหวะ" เพียงไม่กี่ครั้งอาจทำให้มูลค่าพอร์ตการลงทุนของเรานิ่ง ไม่เติบโตได้
คำถามถัดมาคือ "เราจะลงทุนอย่างไรดี?" ซึ่งการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนสูงสุดนั้นอาจไม่ใช่การลงทุนที่ดีที่สุด เพราะอาจตามมาด้วยความผันผวนของผลตอบแทนในระดับสูงจนทำให้ท่านเกิดความกังวลใจได้ ดังนั้น เราแนะนำ "ลงทุนให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์และระดับความเสี่ยงที่ท่านรับได้" เช่น หากท่านรับความเสี่ยงได้ต่ำ เน้นการลงทุนแบบมุ่งรักษาเงินต้น รับผลขาดทุนได้บ้าง แนะนำลงทุนในกองทุนรวมตลาดเงิน หรือ กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น เช่น ES-IPLUS เป็นต้น แต่หากรับความเสี่ยงได้ปานกลางถึงสูง มีวัตถุประสงค์ เช่น ต้องการสร้างความมั่งคั่งเพื่อให้มีเงินใช้เพียงพอในยามเกษียณ อาจพิจารณาลงทุนในกองทุนรวม Highlight ของเรา ได้แก่ ES-ULTIMATE GA Series ซึ่งเหมาะกับท่านที่รับความเสี่ยงได้แต่ไม่มีเวลาติดตามตลาดมากนัก หากท่านคุ้นเคยกับการลงทุนและมีเวลาติดตามตลาด อาจพิจารณาลงทุนเพิ่มเติมในกองทุนรวม ES-USBLUECHIP, ES-GER และ KF-HSHARE-INDX รวมทั้งผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างกองทุน UPINFRA-UI-N ที่ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานนอกตลาด เพื่อโอกาสในการเพิ่มผลตอบแทนให้กับพอร์ตการลงทุนในระยะยาว
นายพงศ์สรร ยอดเมืองเจริญ ผู้อำนวยการส่วนพัฒนาผลิตภัณฑ์ บลจ.อีสท์สปริง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ทางบริษัทได้ร่วมมือกับทีทีบี และ Amundi Asset Management พัฒนา Eastspring Ultimate Global Allocation Series ซึ่งเป็นกองทุนรวมแบบมัลติแอสเซตที่มีการกระจายการลงทุนหลากหลายสินทรัพย์ทั่วโลกโดยมีการปรับสัดส่วนการลงทุนและการบริหารความเสี่ยงให้สอดคล้องกับสภาวะตลาด ณ เวลานั้น ๆ เพื่อสร้างโอกาสให้ได้รับผลตอบแทนที่ยั่งยืนในระยะยาว โดยกองทุนชุดนี้มีให้เลือก 3 รุ่นได้แก่ ES-ULTIMATE GA1, ES-ULTIMATE GA2 และ ES-ULTIMATE GA3 ซึ่งมุ่งหวังให้ผลการดำเนินงานสูงกว่าอัตราผลตอบแทนขั้นต่ำ (Hurdle Rate) ที่แตกต่างกัน โดยมีช่วงระยะเวลาการลงทุนแนะนำ 3 ปีขึ้นไป
"เลือกลงทุนกับผู้ชนะ ท่ามกลางความผันผวนในครึ่งปีหลัง"
นายกัมปนาท โอมฤก นักกลยุทธ์การลงทุน ทีเอ็มบีธนชาต กล่าวว่า แม้หุ้นสหรัฐฯ จะถูกมองว่ามีระดับราคาสูง แต่ก็ยังเป็นตลาดที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากบริษัทขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี ยังคงมีพื้นฐานแข็งแกร่งและสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีในระยะยาว จากข้อมูลย้อนหลัง นับตั้งแต่ช่วงหลังโควิด-19 (2020-2024) ดัชนี S&P 500 ยังคงทำผลตอบแทนได้ดีกว่าดัชนี Russell 2000 อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งกำไรต่อหุ้น (EPS) ของบริษัทในกลุ่ม S&P 500 ยังคงทำจุดสูงสุดใหม่อย่างสม่ำเสมอ สะท้อนศักยภาพในการเติบโตที่ยังแข็งแกร่ง ขณะที่ดัชนี Russell 2000 ยังคงทรงตัวในระดับเดิม ด้วยเหตุนี้ กองทุน Eastspring US Blue Chip Equity Fund (ES-USBLUECHIP) ซึ่งเน้นลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ ที่มีความแข็งแกร่งในแง่ปัจจัยพื้นฐานที่ดี หุ้นมีคุณภาพ และสอดคล้องกับ Mega Trend ในระยะข้างหน้า จึงยังคงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนที่มองหาผลตอบแทนระยะยาวภายใต้ความเสี่ยงที่สมดุล
ในมุมของตลาดยุโรป เศรษฐกิจยุโรปเริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัว โดยเฉพาะเศรษฐกิจของ "เยอรมนี" ซึ่งเป็นพี่ใหญ่ในเศรษฐกิจยุโรป โดยมีมูลค่าทางเศรษฐกิจ คิดเป็นกว่า 24-25% ของขนาดเศรษฐกิจยุโรป โดยเยอรมนีได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ ที่มีเป้าหมายมูลค่ากว่า 500,000 ล้านยูโร ภายในระยะเวลา 12 ปี ในการส่งเสริมการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และเร่งการฟื้นตัวของจีดีพี (GDP) อย่างต่อเนื่อง การกระตุ้นเศรษฐกิจของเยอรมนีจะช่วยหยุดวงจรเศรษฐกิจที่เคยผันผวน และสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดในวงกว้าง โดยเฉพาะในดัชนีสำคัญอย่าง DAX และ STOXX 600 ซึ่งกำไรของบริษัทจดทะเบียนมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจยุโรป กล่าวคือหากเศรษฐกิจยุโรปฟื้นตัวได้ดี กำไรบริษัทจดทะเบียนก็มีแนวโน้มเติบโตได้ตาม และส่งผลบวกต่อ sentiment การลงทุนในยุโรป ดังนั้น กองทุน Eastspring German Equity Fund (ES-GER) จึงถูกเสนอเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ โดยมีนโยบายลงทุนเฉพาะในดัชนี DAX ผ่านกองทุน db x-trackers DAX UCITS ETF (DR) อย่างน้อย 80% ของ NAV
นายบดินทร์ พุทธอินทร์ ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บลจ.อีสท์สปริง (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ในภาวะที่ความไม่แน่นอนยังคงเป็นปัจจัยหลัก นักลงทุนควรมองหาหุ้นกลุ่มผู้นำตลาดโลกที่มีศักยภาพในการปรับตัวและเติบโตอย่างยั่งยืน เพราะกลุ่มนี้คือรากฐานที่มั่นคงสำหรับพอร์ตลงทุนระยะยาว หนึ่งในทางเลือกที่ตอบโจทย์คือ EASTSPRING US Blue Chip Equity Fund (ES-USBLUECHIP) ซึ่งเน้นลงทุนในหุ้นชั้นนำของสหรัฐฯ ที่โดดเด่นทั้งในด้านนวัตกรรม ความแข็งแกร่งของแบรนด์ และคุณภาพกิจการสูง โดยแม้จะเป็นหุ้นขนาดใหญ่ แต่ยังมีศักยภาพในการเติบโตที่ดี และสร้างผลตอบแทนต่อความเสี่ยงได้อย่างน่าพอใจในระยะยาว โดย ES-USBLUECHIP ได้รับการบริหารจัดการโดยผู้จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์กว่า 18 ปี และใช้กระบวนการคัดเลือกที่เน้นคุณภาพกิจการเป็นหลัก ช่วยเสริมโอกาสสร้างผลตอบแทนอย่างยั่งยืนในทุกสภาวะตลาด นอกจากนี้ สำหรับผู้ที่มองหาโอกาสในยุโรปโดยเฉพาะเยอรมนี ซึ่งเป็นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาค และกำลังได้รับแรงสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นภาครัฐ กองทุน EASTSPRING German Equity Fund (ES-GER) ก็ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ กองทุน ES-GER มีนโยบายเน้นลงทุนในกองทุนหลัก db x-trackers DAX UCITS ETF (DR) โดยเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) ในรอบปีบัญชี ทั้งนี้ กองทุนหลักลงทุนในหุ้นทั้งหมดที่เป็นส่วนประกอบของดัชนี DAX ซึ่งครอบคลุมบริษัทขนาดใหญ่ที่เป็นผู้นำเศรษฐกิจของเยอรมนี
จากความผันผวน สู่โอกาสลงทุน หุ้นจีน ในยุคสงครามการค้า
นายภูริพัฒน์ ละเอียดธนะกิจ นักกลยุทธ์การลงทุนอาวุโส ทีเอ็มบีธนชาต กล่าวว่า ในปีนี้ตลาดหุ้นในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets: EM) แม้จะเผชิญแรงกดดันจากนโยบายภาษีการค้าสหรัฐฯ แต่ตลาดหุ้นใน EM ยังสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ดี นำโดยตลาดหุ้นจีน H-Shares ซึ่งเมื่อมองต่อไปในครึ่งปีหลัง เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มที่จะเติบโตในอัตราที่ชะลอลง จากภาคอสังหาริมทรัพย์จีนที่อ่อนแอ กดดันต่อเนื่องไปยังความเชื่อมั่นในการบริโภค ขณะที่ภาคการผลิตและการส่งออก ก็มีแนวโน้มที่จะถูกกดดันจากนโยบายภาษีการค้าสหรัฐฯ ทำให้รัฐบาลจีนมีแนวโน้มที่จะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนการลงทุนในตลาดหุ้นจีน โดยเฉพาะการลงทุนในดัชนี H-Shares ที่ส่วนหนึ่งได้อานิสงค์จากการเติบโตของหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีด้วย ขณะที่ตลาดหุ้นใน EM ที่น่าสนใจในช่วงครึ่งปีหลังหนีไม่พ้นตลาดหุ้นอินเดีย ที่มีแรงสนับสนุนจากพื้นฐานการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง เสริมด้วยแนวโน้มการลดอัตราดอกเบี้ยต่อในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งจะช่วยทำให้การบริโภคภายในประเทศอินเดียเติบโตขึ้น ขณะที่ภาคการส่งออก แม้อาจได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีการค้าสหรัฐฯ แต่หากอินเดียได้รับข้อตกลงทางการค้าที่ดีกับสหรัฐฯ ก็จะช่วยให้ผลกระทบที่เกิดขึ้นจำกัดได้ ส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ยังมีแนวโน้มถูกกดดันจากโอกาสการเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่อยู่ในระดับต่ำ หากนักลงทุนต้องการลงทุนในหุ้นไทย ควรเน้นการลงทุนไปที่หุ้นกลุ่มปันผล ที่พิสูจน์มาแล้วว่ามีผลตอบแทนชนะดัชนี SET ได้อย่างโดดเด่นในช่วงครึ่งปีแรก
นายเกียรติศักดิ์ ปรีชาอนุสรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนทางเลือก บลจ.กรุงศรี จำกัด กล่าวว่า แม้จีนจะเผชิญแรงกดดันจากสงครามการค้า แต่ก็ถือเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนที่มองหาโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่และนวัตกรรมที่จีนพยายามผลักดัน โอกาสลงทุนในจีนช่วงตลาดผันผวน กองทุน Krungsri China H Shares Equity Index Fund (KF-HSHARE-INDX) เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนในบริษัทจีนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง โดยมีนโยบายการลงทุนที่มุ่งเน้นสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนี Hang Seng China Enterprises Index (HSCEI Index) ซึ่งเป็นดัชนีที่ประกอบไปด้วย 50 หลักทรัพย์สำคัญของบริษัทจีน ซึ่งกองทุน KF-HSHARE-INDX มีแนวโน้มที่จะเป็นโอกาสการลงทุนในระยะยาวสำหรับผู้ที่เชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจาก Valuation ที่น่าสนใจของดัชนี HSCEI การกระจายตัวของการส่งออก และสัดส่วนการถือครองหุ้นจีนที่ยังต่ำของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งผู้สนใจควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน กองทุนป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน จึงมีความเสี่ยงซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
"ก้าวข้ามกรอบเดิม สู่โลกการลงทุนที่กว้างกว่า"
นางสาวชญานุตม์ เหมือนเดช ผู้บริหารกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์การลงทุน ทีเอ็มบีธนชาต กล่าวว่า ในภาวะที่โลกเผชิญกับความผันผวนอย่างต่อเนื่อง และเศรษฐกิจยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน นักลงทุนจึงต้องกล้าปรับมุมมอง ไม่ยึดติดกับกรอบเดิม ทั้งในด้านภูมิภาค สินทรัพย์ หรือผลิตภัณฑ์การลงทุนแบบที่คุ้นเคย ttb Investment Office นำเสนอแนวทาง "More Choices, Better Tools" ที่มุ่งเน้นการเพิ่มทางเลือกการลงทุนที่หลากหลายและยืดหยุ่น เพื่อรับมือกับทุกสภาวะตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ในรูปสกุลเงินต่างประเทศ ที่ช่วยกระจายความเสี่ยงจากเงินบาท โดยเริ่มจาก Term Fund สกุล USD ซึ่งสามารถล็อกผลตอบแทนในช่วงที่ดอกเบี้ยสหรัฐฯ ยังอยู่ในระดับสูง นอกจากนี้ ยังมีสินทรัพย์ทางเลือกอย่างกองทุนสินทรัพย์นอกตลาด (Private Assets) ที่ลงทุนในธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานชั้นนำ ซึ่งมีความทนทานและมีความสัมพันธ์กับตลาดต่ำ ช่วยลดความผันผวนและเสริมความมั่นคงให้กับพอร์ตการลงทุน ด้วยเครื่องมือและผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับพอร์ต นักลงทุนจึงมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่มั่นคง พร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของโลกได้อย่างมั่นใจ
นายกุลฉัตร จันทวิมล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานพัฒนาธุรกิจ บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า กองทุน UPINFRA-UI โดย UOB Asset Management เน้นลงทุนในธุรกิจที่เป็น "สิ่งจำเป็นและมีโอกาสเติบโตนอกตลาด" ซึ่งมักจะมีฐานสินทรัพย์ที่แข็งแกร่งและธุรกิจที่ค่อนข้างมั่นคง พร้อมทั้งมีศักยภาพในการสร้างมูลค่าเพิ่มในระยะยาว โดยนำเสนอโอกาสการเข้าถึงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานนอกตลาดที่มีศักยภาพการเติบโตสูงและมีความยืดหยุ่น ซึ่งมีจุดเด่นด้านผลตอบแทน การป้องกันความเสี่ยง และโอกาสจากเมกะเทรนด์โลก รวมถึงประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของ EQT ในการบริหารจัดการ อย่างไรก็ตาม กองทุนรวมนี้เป็นกองทุนรวมสำหรับผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษเท่านั้น ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย
สำหรับผู้สนใจด้านการลงทุน สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ทีทีบีทุกสาขา หรือ ttb investment line โทร.1428 กด #4 ทุกวันจันทร์ - วันศุกร์ ตั้งแต่เวลา 9:00 - 17:30 น. (ยกเว้นวันหยุดธนาคาร)