
Krungthai CIO ประเมินแนวโน้มการลงทุนครึ่งหลังปี 2025 ยังเผชิญความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้าโลก กดดันเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในหลายประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่แม้มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแต่ยังมีข้อจำกัดด้านการคลัง แนะนักลงทุนวางแผนกระจายพอร์ต เพื่อรับมือความเสี่ยง พร้อมมองหาโอกาสจากหุ้นเทคโนโลยี ในตลาดจีน ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ รวมถึงการลงทุนในตราสารหนี้
ทีมกลยุทธ์การลงทุน ธนาคารกรุงไทย (Krungthai Chief Investment Office หรือ Krungthai CIO) คาดการณ์ว่า GDP ของสหรัฐฯ ในปี 2025 จะขยายตัวเพียง 1.6% ลดลงจากที่เคยประเมินไว้ที่ 2.3% เมื่อต้นปี แม้ว่าจะมีมาตรการกระตุ้นผ่านร่างกฎหมายงบประมาณ หรือ 'Big, Beautiful Bill' ที่ออกแบบมา เพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและสนับสนุนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน แต่ยังมีข้อจำกัดด้านวินัยการคลัง และหนี้สาธารณะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 3-4 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วง 10 ปีข้างหน้า
ทางด้าน ฝั่งยุโรป คาด GDP ขยายตัวประมาณ 1.0% และได้รับแรงหนุนจากนโยบายการคลังเชิงรุกของเยอรมนี โดยเฉพาะการจัดตั้งกองทุนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 5 แสนล้านยูโร รวมถึงการที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 8 ครั้งติดต่อกัน แต่คาดว่า วัฏจักรการลดดอกเบี้ยนี้กำลังเข้าสู่ช่วงสิ้นสุด
ด้านเอเชีย เศรษฐกิจญี่ปุ่นมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป คาด GDP ขยายตัวราว 1.2% จากแรงขับเคลื่อนหลักจากการบริโภคภายในประเทศ อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจยังคงเผชิญแรงกดดันจากค่าครองชีพที่สูงขึ้นและค่าจ้างแท้จริง (Real wage) ที่ยังคงติดลบ และ เศรษฐกิจจีน คาดขยายตัวได้ใกล้เคียงเป้าหมายที่ 5% แม้จะเผชิญกับความท้าทายจากสงครามการค้าและแรงกดดันด้านเงินฝืด โดยมองว่า ทางการจีนพร้อมที่จะใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งในด้านนโยบายการเงินและการคลังเพื่อสนับสนุนการเติบโต
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน Krungthai CIO แนะปรับน้ำหนักการลงทุนในหุ้นลงมาอยู่ที่ระดับ "Neutral" จากเดิมที่ "Slightly Overweight" ในช่วงต้นปี เนื่องจากตลาดหุ้นโลกได้ปรับตัวขึ้น ทำจุดสูงสุดใหม่ และสะท้อนปัจจัยบวกไปพอสมควรแล้ว ขณะที่ความไม่แน่นอนด้านนโยบายยังคงมีอยู่ในระดับสูง
ทั้งนี้ แนะนำให้นักลงทุนให้ความสำคัญกับการกระจายพอร์ต (Diversification) เพื่อบริหารความเสี่ยง พร้อมมองเห็นโอกาสการลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่น จีน และเกาหลี รวมถึงหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่มีแนวโน้มเติบโตแข็งแกร่งจากกระแสการลงทุนด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งจะยังหนุนผลประกอบการในระยะยาว
ทางด้านของตราสารหนี้ มองว่า อัตราผลตอบแทนตั้งต้นที่ระดับสูง เป็นจังหวะที่ดีในการล็อกผลตอบแทนระยะยาว ก่อนที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะทยอยลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงปลายปี
สำหรับกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ คาดว่า ราคาน้ำมันจะเคลื่อนไหวในกรอบ 65-80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยได้แรงหนุนจากอุปสงค์โลกที่ทยอยฟื้นตัว ส่วนการลงทุนในทองคำ มีมุมมองระมัดระวังมากขึ้น เนื่องจากราคาที่ปรับขึ้นมาพอสมควรแล้วในช่วงครึ่งปีแรกและความไม่แน่นอนเชิงนโยบายที่เริ่มคลี่คลายลง
Krungthai CIO แนะนำให้นักลงทุนวางแผนกลยุทธ์ลงทุนอย่างรอบคอบ กระจายพอร์ตให้เหมาะสมกับภาวะตลาด เพื่อสร้างสมดุลระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทนในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 อย่างยั่งยืน