นายอนุชา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การส่งเสริมสุขภาพหญิงตั้งครรภ์เป็นสิ่งสำคัญ เพราะส่งผลต่อสุขภาพทั้งหญิงตั้งครรภ์และทารกในครรภ์ให้มีสุขภาพที่ดี คลอดและเติบโต้ได้อย่างปลอดภัย จากนโยบายของกระทรวงสาธารณสุข ที่ได้มอบหมายให้กรมอนามัยเร่งดำเนินการในปี 2569 คือ การส่งเสริมสุขภาพเชิงรุกให้ครอบคลุมทุกกลุ่มวัย ซึ่งหญิงตั้งครรภ์ถือเป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก เพราะถือเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่ที่จะลืมตามมาดูโลก จึงเน้นย้ำคำแนะนำให้หญิงไทยทุกคนที่ต้องการตั้งครรภ์ดูแลสุขภาพตนเองทั้งก่อนการตั้งครรภ์ และระหว่างการตั้งครรภ์ ซึ่งล่าสุดกระทรวงสาธารณสุข ได้ประกาศใช้มาตรฐานการเพิ่มน้ำหนักขณะครรภ์ของประเทศไทย (ชุดใหม่) โดย กรมอนามัย เพื่อใช้เป็นเครื่องมือสำหรับบุคลากรทางการแพทย์และหญิงตั้งครรภ์ ในการติดตามและประเมินการเพิ่มน้ำหนักขณะตั้งครรภ์อย่างเหมาะสม เพื่อลดความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนที่จะเกิดขึ้นระหว่างการตั้งครรภ์ ระยะคลอด และหลังคลอดของหญิงตั้งครรภ์และทารก
"ทั้งนี้ มาตรฐานการเพิ่มน้ำหนักขณะครรภ์ของประเทศไทย (ชุดใหม่) จะแบ่งเป็น 4 ภาวะโภชนาการก่อนตั้งครรภ์ ซึ่งใช้เกณฑ์ค่าดัชนีมวลกายก่อนตั้งครรภ์ ได้แก่ ผอม น้ำหนักปกติ น้ำหนักเกิน และอ้วน ช่วยให้หญิงตั้งครรภ์ทราบถึงแนวทางการกินอาหารและการดูแลสุขภาพของตนเองได้อย่างเหมาะสม เพราะการเพิ่มน้ำหนักที่เหมาะสมระหว่างตั้งครรภ์เป็นปัจจัยสำคัญต่อสุขภาพของทั้งมารดาและทารก การที่หญิงตั้งครรภ์มีน้ำหนักเพิ่มมากหรือน้อยเกินไป อาจก่อให้เกิดผลกระทบและภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ การคลอดบุตร และภาวะสุขภาพของเด็กในครรภ์ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ การคลอดก่อนกำหนด การเสียชีวิตของแม่และเด็ก ภาวะเด็กแรกเกิดน้ำหนักน้อย หรือ ตัวโตผิดปกติ รวมทั้งความเสี่ยงต่อโรค NCDs ในอนาคต และการเจริญเติบโตของทารก ให้มีการเจริญเติบโตสมบูรณ์ แข็งแรง และมีน้ำหนักแรกเกิดมากกว่า 2,500 กรัม" รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าว
ด้าน แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า กรมอนามัยนำมาตรฐานการเพิ่มน้ำหนักขณะครรภ์ของประเทศไทย (ชุดใหม่) ไปใช้ในการติดตามและประเมินการเพิ่มน้ำหนัก ในหญิงตั้งครรภ์ให้สถานบริการสาธารณสุขทั่วประเทศ และยังมีข้อแนะนำสำหรับหญิงไทยในการดูแลตนเองและเตรียมความพร้อมในการตั้งครรภ์ 9 ข้อ ดังนี้ 1) ตรวจสุขภาพก่อนตั้งครรภ์ เพื่อประเมินความพร้อมของร่างกายและตรวจหาความผิดปกติที่อาจส่งผลต่อการตั้งครรภ์ 2) ฉีดวัคซีนป้องกันโรคต่างๆ เช่น โรคหัดเยอรมัน (Rubella) และโรคอื่นๆ ที่อาจเป็นอันตรายต่อการตั้งครรภ์ 3) กินอาหารมีประโยชน์และหลากหลายให้ครบ 5 หมู่ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่เพียงพอต่อการตั้งครรภ์ เสริมธาตุเหล็กและกรดโฟลิก โดยเฉพาะในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด และเครื่องดื่มที่เป็นอันตราย เช่น แอลกอฮอล์ และงดสูบบุหรี่ 4) ดูแลสุขภาพช่องปาก โดยพบทันตแพทย์ เพื่อตรวจสุขภาพช่องปาก และทำความสะอาดฟัน 5) ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เสริมสร้างความแข็งแรงของร่างกายและช่วยควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม 6) พักผ่อนให้เพียงพอ 7) หาวิธีจัดการกับความเครียดอย่างเหมาะสม ป้องกันการส่งผลกระทบ ต่อการตั้งครรภ์ได้ 8) นับลูกดิ้น สังเกตและจดบันทึกการเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์ เพื่อประเมินสุขภาพและความแข็งแรงของทารก เริ่มนับลูกดิ้นได้ตั้งแต่อายุครรภ์ 28 สัปดาห์ขึ้นไป โดยสังเกตจำนวนครั้งที่ทารกดิ้นในแต่ละวัน หากลูกดิ้นน้อยลงหรือไม่ดิ้นเลย อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์ทันที และ 9) ปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำในการเตรียมตัวก่อนตั้งครรภ์ และ พบแพทย์ตามนัดระหว่างตั้งครรภ์อย่างครบถ้วน