
CH เผยผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2/2568 มีรายได้รวม 437.94 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 12.04 ล้านบาท ขณะที่ผลประกอบการครึ่งปีแรก 2568 รายได้รวม 883.42 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 25.12 ล้านบาท รุกขยายตลาดต่างประเทศ ปรับกลยุทธ์รับมือนโยบายภาษีสหรัฐฯ ออกสินค้าใหม่ทดแทน ขยายฐานลูกค้าใหม่ ด้านขนมเพื่อสุขภาพเติบโตกว่า 300% พร้อมปรับเป้าหมายรายได้ปี 68 ให้สอดคล้องสถานการณ์ปัจจุบัน ย้ำโรงงานที่กัมพูชาส่งออกได้ตามปกติ
นายศักดา ศรีแสงนาม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจริญอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ CH ผู้ผลิตและจำหน่ายผลไม้และอาหารแปรรูป ได้แก่ ผลไม้อบแห้ง ปลากระป๋อง และขนมเพื่อสุขภาพ เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2/2568 บริษัทมีรายได้รวม 437.94 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 12.04 ล้านบาท ขณะที่ผลประกอบการครึ่งปีแรก 2568 รายได้รวม 883.42 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 25.12 ล้านบาท ปรับตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งมีรายได้รวม 1,159.61 ล้านบาท

เป็นผลจากในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา นโยบายการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศของลูกค้าปลายทางในประเทศสหรัฐอเมริกายังไม่มีความชัดเจน บริษัทจึงเจรจากับคู่ค้าเพื่อแบ่งจ่ายภาษีร่วมกัน รวมถึงอัตราแลกเปลี่ยนที่มีความผันผวน เป็นสาเหตุให้รายได้รวมชะลอตัวลง
อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ปรับกลยุทธ์การดำเนินงานเพื่อรับมือกับนโยบายด้านภาษีของประเทศสหรัฐอเมริกา โดยนำเสนอสินค้าใหม่ที่มีคุณภาพใกล้เคียงแต่ต้นทุนถูกกว่าให้แก่คู่ค้าเพื่อมาทดแทนสินค้าเก่า ควบคู่กับการเร่งขยายฐานลูกค้าใหม่ในยุโรปและเอเชีย เพื่อสร้างการเติบโตให้แก่บริษัทต่อไป
สำหรับขนมเพื่อสุขภาพมียอดขายเติบโตขึ้นกว่า 300% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ภายใต้แบรนด์ Bangkok Tasty และแบรนด์ Eros (อีโรส) ที่ได้รับกระแสตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่องจากผู้บริโภค รวมถึงการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายที่ครอบคลุมจากเดิมมากยิ่งขึ้น อาทิ บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์, 7-Eleven, เทสโก้ โลตัส, Gourmet Market และแพลตฟอร์ม E-commerce อาทิ Shopee และช่องทาง Social Media อาทิ Facebook, TikTok Shop, LINE ซึ่งช่วยให้กลุ่มลูกค้าในประเทศสามารถเข้าถึงและหาซื้อผลิตภัณฑ์ของทั้งสองแบรนด์ได้ง่ายมากขึ้น
"ภาพรวมในไตรมาสที่ 2 แม้จะเผชิญกับความผันผวนจากปัจจัยด้านต้นทุนวัตถุดิบ ราคาขนส่ง อัตราแลกเปลี่ยน และนโยบายภาษีของประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจการส่งออกของไทยโดยตรง แต่บริษัทยังคงสามารถทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของพื้นฐานธุรกิจและความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยจะยังคงเดินหน้าปรับกลยุทธ์เชิงรุก ทั้งในด้านการบริหารต้นทุน และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อรองรับความไม่แน่นอนในครึ่งปีหลัง รวมถึงเสริมสร้างความยั่งยืนในระยะยาวให้กับธุรกิจของ CH" นายศักดา กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทได้ปรับเป้าหมายการดำเนินงานของปี 2568 อยู่ที่ 1,600 ล้านบาท จาก 2,000 ล้านบาท เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจโลก และผลกระทบจากนโยบายภาษีของประเทศสหรัฐอเมริกาในช่วงครึ่งปีแรก แต่บริษัทยังคงเดินหน้าในการรักษาฐานลูกค้าเดิมให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น พร้อมทั้งมีแผนเปิดตลาดใหม่ในภูมิภาคที่มีศักยภาพในการเติบโตต่อไป
ขณะที่ โรงงานผลิตที่ประเทศกัมพูชาแม้อยู่ในช่วงหยุดการผลิต แต่ยังคงสามารถแพ็คสินค้าเพื่อส่งออกไปยังกลุ่มลูกค้าในโซนยุโรปได้ตามปกติ โดยโรงงานจะกลับมาผลิตอีกครั้งประมาณเดือนตุลาคมของปีนี้ซึ่งเป็นฤดูของมะม่วงในประเทศกัมพูชา เพื่อรองรับวัตถุดิบที่จะมีเข้ามามากในช่วงฤดูดังกล่าว