ผลการศึกษาล่าสุดจากสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ Agora Energiewende นำเสนอแนวทางลดการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติและเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ลดความเสี่ยงเชิงระบบสำหรับอนาคตพลังงานของประเทศไทย
กรุงเทพฯ, 18 สิงหาคม 2568 - ประเทศไทยอยู่ในช่วงปรับปรุงยุทธศาสตร์พลังงานระยะยาว การตัดสินใจปรับแผนพลังงานในช่วงนี้จะเป็นตัวกำหนดทิศทางสู่การบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี พ.ศ. 2593 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี พ.ศ. 2608 แม้ปัจจุบันแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) และแผนพัฒนาก๊าซธรรมชาติยังอยู่ระหว่างการปรับปรุง แต่ในช่วงปีที่แล้วได้มีการรับฟังความเห็นแผนดังกล่าว ซึ่งแผนมีกรอบระยะเวลาครอบคลุมถึงปี พ.ศ. 2580 และเผยให้เห็นว่าแผนยังคงวางบทบาทก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าหลัก ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนถึงร้อยละ 57 ของการผลิตไฟฟ้ารวม ภายใต้ร่างแผน PDP มีเป้าหมายให้สัดส่วนดังกล่าวลดลงเหลือร้อยละ 41 ภายในปี พ.ศ. 2580 อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาดูการศึกษาอื่นๆ ด้านแบบจำลองฉากทัศน์ความเป็นกลางทางคาร์บอนของไทยแล้วนั้น สัดส่วนก๊าซควรลดลงเหลือต่ำกว่าร้อยละ 20 ภายในปี พ.ศ. 2593
รายงานฉบับใหม่ "Thailand's Natural Gas Crossroads: Strategic Risk Mitigation for a Carbon-Neutral Era" จัดทำโดยสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ อโกรา เอเนอร์กีเวนเดอ (Agora Energiewende) ภายใต้โครงการพลังงานสะอาด เข้าถึงได้ และมั่นคงสำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นำเสนอการวิเคราะห์เพื่อสนับสนุนการปรับแผนพลังงานระยะกลางให้สอดคล้องกับเป้าหมายระยะยาวของประเทศ จากการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติเป็นหลักต่อเนื่อง เช่น ความมั่นคงด้านอุปทาน ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจจากตลาดก๊าซธรรมชาติเหลว (Liquefied Natural Gas - LNG) ระดับโลก ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและความพร้อมของเทคโนโลยีการศึกษานี้ได้เจาะลึกถึงความเสี่ยงสำคัญต่าง ๆ หากประเทศไทยยังคงพึ่งพาก๊าซธรรมชาติต่อไปในระยะยาวไม่ว่าจะเป็นความมั่นคงด้านการจัดหาก๊าซธรรมชาติเนื่องจากประเทศไทยมีแนวโน้มต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (Liquefied Natural Gas - LNG) เพิ่มขึ้น ความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจเนื่องจากราคาพลังงานของไทยจะผันผวนตามตลาด LNG โลก ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และความไม่แน่นอนของเทคโนโลยีใหม่ ๆ ต่อการลดการปล่อยคาร์บอนในอนาคต
"รายงานฉบับนี้นำเสนอมาตรการแบบองค์รวมเพื่อลดการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติของประเทศไทย สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรมและทันเวลา พร้อมกรอบการประเมินความเสี่ยงจากการใช้ก๊าซธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง และแนวทางลดความเสี่ยงเพื่อบรรลุเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจในระยะยาว" ดร.วีรินทร์ หวังจิรนิรันดร์ นักวิจัยอาวุโส สถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าว
ทบทวนบทบาทก๊าซธรรมชาติเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงคาร์บอนล็อคอิน (carbon lock-in) และเพิ่มความยืดหยุ่นของระบบไฟฟ้า
โครงสร้างพื้นฐานการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติของไทย ซึ่งผูกพันกับสัญญาระยะยาวและการลงทุนที่ได้รับการอนุมัติแล้ว สร้างข้อจำกัดในการบูรณาการแหล่งพลังงานสะอาดเข้าระบบและเพิ่มความเสี่ยงต่อความผันผวนของราคาก๊าซ LNG รายงานชี้ว่าการชะลอการเพิ่มโรงไฟฟ้าก๊าซแห่งใหม่ ควบคู่กับการปรับเงื่อนไขความยืดหยุ่นในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) และสัญญาซื้อขายก๊าซ จะช่วยให้ผนวกพลังงานหมุนเวียนเข้าระบบได้มากขึ้น ขณะเดียวกันยังระบุถึงศักยภาพการปรับใช้โครงสร้างพื้นฐานเดิม เช่น โรงไฟฟ้าก๊าซและท่อก๊าซ สำหรับการขนส่งไฮโดรเจนหรือการรักษาระบบส่งจ่ายไฟฟ้าให้มีเสถียรภาพสมดุลในอนาคต
"การลดสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติฉบับใหม่ และเพิ่มเงื่อนไขเพื่อเสริมความยืดหยุ่นให้ระบบไฟฟ้าในสัญญา PPA และสัญญาซื้อขายก๊าซ จะช่วยให้การเพิ่มพลังงานหมุนเวียนสอดคล้องกับระบบ ลดต้นทุนการจัดหาก๊าซธรรมชาติ และเพิ่มความคล่องตัวของระบบ การจัดหา LNG ที่มีความมั่นคงและหลากหลายผ่านการบริหารสัญญาเชิงกลยุทธ์ในการนำเข้า LNG เป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญในการรักษาความมั่นคงทางพลังงาน" ดร. ศุภวรรณ แซ่ลิ้ม หัวหน้าโครงการ นโยบายพลังงานเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Agora Energiewende กล่าว
เสริมความเข้มแข็งด้านการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนและความพร้อมของเทคโนโลยี
เทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น การดักจับ ใช้ประโยชน์ และกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CCUS) ไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำ และไบโอมีเทน อาจมีส่วนช่วยในการลดก๊าซคาร์บอน อย่างไรก็ตาม รายงานระบุว่าปัจจุบันเทคโนโลยีเหล่านี้ยังอยู่ในระยะเริ่มต้น และยังมีข้อจำกัดด้านต้นทุนและการขยายขนาด มาตรการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนอย่างต่อเนื่องและเริ่มตั้งแต่ตอนนี้ เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพพลังงานและเร่งขยายพลังงานหมุนเวียน จะช่วยลดการพึ่งพาเทคโนโลยีเหล่านี้ในอนาคต
"การพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใหม่ตลอดห่วงโซ่อุปทานก๊าซธรรมชาติมีความสำคัญ รวมถึง CCUS ไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำ และไบโอมีเทน การจัดทำแผนที่ชัดเจนสำหรับ CCUS ที่มีการสนับสนุนทางนโยบาย แรงจูงใจทางการเงิน และกฎระเบียบที่เอื้อต่อการลงทุน พร้อมด้วยความร่วมมือระหว่างประเทศ จะเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านพลังงานของไทย" ดร.วีรินทร์ เสริม
ขับเคลื่อนพลังงานหมุนเวียนด้วยการผลิตไฟฟ้าแบบกระจายศูนย์และการพัฒนาระบบโครงข่ายไฟฟ้าให้มีความทันสมัย
แม้การเติบโตของพลังงานหมุนเวียนจะเผชิญข้อจำกัดด้านการเชื่อมต่อโครงข่ายและความมั่นคงทางพลังงาน แต่นี่ถือเป็นโอกาสในการเร่งปรับปรุงระบบ รายงานฉบับนี้เน้นย้ำว่า การเพิ่มความยืดหยุ่นของระบบไฟฟ้าผ่านการผลิตไฟฟ้าแบบกระจายศูนย์และการจัดการความต้องการใช้ไฟฟ้า ควบคู่กับการปรับปรุงโครงข่ายไฟฟ้าให้ทันสมัย มีความจำเป็นอย่างยิ่ง มาตรการต่างๆ เช่น การขยายสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโดยตรง (Direct Power Purchase Agreement - DPPA) และการปรับปรุงโครงการอัตราค่าไฟฟ้าสีเขียว (Utility Green Tariff - UGT) จะช่วยตอบสนองความต้องการไฟฟ้าสะอาดที่เพิ่มขึ้นจากภาคธุรกิจและภาคประชาชน
"ผู้กำหนดนโยบายควรให้ความสำคัญกับการส่งเสริมโครงการผลิตไฟฟ้าแบบกระจายศูนย์ ควบคู่กับการวางแผนโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ เพื่อรองรับความต้องการไฟฟ้าสะอาดที่เพิ่มขึ้น และเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับระบบไฟฟ้า ทั้งนี้ การขยายสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโดงตรง หรือ DPPAs ให้ครอบคลุมลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ จะเปิดช่องทางให้ผู้บริโภคสามารถจัดหาพลังงานไฟฟ้าสะอาดได้มากขึ้น" ดร. ศุภวรรณ ระบุ
สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านก๊าซธรรมชาติที่เป็นธรรมและเสมอภาค
รายงานชี้ให้เห็นโอกาสที่ไทยจะเสริมความแข็งแกร่งให้การเปลี่ยนผ่านพลังงาน ด้วยการจัดทำโรดแมปการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรมสำหรับก๊าซธรรมชาติ เดินหน้ายุทธศาสตร์การเปิดเสรีตลาดก๊าซอย่างเต็มรูปแบบ และกำหนดกรอบราคาก๊าซและไฟฟ้าที่เป็นธรรมและเท่าเทียม การจัดทำแผนแม่บทการเปลี่ยนผ่านด้านก๊าซที่ครอบคลุม โดยคำนึงถึงความเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน จะมีความสำคัญอย่างยิ่งในการสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ แรงงาน และผู้บริโภคในช่วงการเปลี่ยนผ่าน ขณะที่กลไกตลาดที่โปร่งใสและโครงสร้างราคาที่เหมาะสมจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการส่งเสริมการลงทุนในทางเลือกที่สะอาดขึ้น โดยไม่กระทบต่อราคาพลังงาน
การบูรณาการปัจจัยเหล่านี้เข้าไปในการวางแผนพลังงานและการพัฒนากฎระเบียบ จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถขับเคลื่อนเปลี่ยนผ่านพลังงานได้อย่างมั่นคง ยั่งยืน และคุ้มค่า พร้อมรักษาความมั่นคงทางพลังงานและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ไปพร้อมกัน
สามารถดาวน์โหลดรายงานฉบับเต็มได้ที่: https://caseforsea.org/post_knowledge/thailands-natural-gas-crossroads-strategic-risk-mitigation-for-a-carbon-neutral-era/