
โดย นางสาวกนกกมล เลาหบูรณะกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟูจิตสึ (ประเทศไทย) จำกัด และ นายจุน ฮาชิโมโต รองประธาน และหัวหน้าทีมฝ่ายขาย กลุ่มธุรกิจญี่ปุ่น บริษัท ฟูจิตสึ (ประเทศไทย) จำกัด
ในฐานะกลุ่มนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ด้วยมูลค่าการลงทุนสูงถึง 121,000 ล้านบาทในปี 2567 (ตามรายงานจากกระทรวงพาณิชย์) ธุรกิจญี่ปุ่น โดยเฉพาะภาคการผลิตยังคงเป็นหัวใจสำคัญของพอร์ตการลงทุนในประเทศ อย่างไรก็ตาม การที่ไทยกำลังก้าวสู่ยุค Thailand 4.0 ซึ่งเน้นนวัตกรรมและการสร้างมูลค่าเพิ่ม ได้สร้างความท้าทายครั้งใหญ่ให้กับบริษัทญี่ปุ่น
ความท้าทายดังกล่าว คือ การเร่งกระบวนการตัดสินใจของผู้บริหารให้รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น พร้อมกับการยกระดับความเป็นเลิศในการประเมินความเสี่ยง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์การทำงานสไตล์ญี่ปุ่น ขณะที่โอกาสในการเปลี่ยนผ่านกำลังลดน้อยลง บริษัทที่ปรับตัวช้าจะเผชิญความเสี่ยงในการเสียเปรียบทางการแข่งขันอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น การนำแนวคิด Modernization และ Data & AI มาใช้ จึงไม่ใช่เพียงแค่ทางเลือก แต่เป็นกลยุทธ์สำคัญ ที่ออกแบบมาเพื่อเสริมจุดแข็งด้านคุณภาพและความรอบคอบของบริษัทญี่ปุ่น ควบคู่ไปกับการสร้างความเร็วในการดำเนินงาน ซึ่งเป็นปัจจัยที่จำเป็นอย่างยิ่งในการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในอนาคต
ความเร็ว คือ ปัจจัยชี้ขาดสู่ความสำเร็จในตลาดยุคปัจจุบัน
ความท้าทายหลักของบริษัทญี่ปุ่นในประเทศไทย คือ การรักษาสมดุลระหว่างการตัดสินใจของผู้บริหารที่รวดเร็วและแม่นยำ ควบคู่ไปกับการรักษาคุณค่าทางวัฒนธรรมองค์กร ท่ามกลางตลาดที่มีความผันผวนสูง ความเร็ว จึงกลายเป็นตัวแปรชี้ขาดความสำเร็จในปัจจุบัน บริษัทญี่ปุ่นหลายแห่งที่สร้างรากฐานการผลิตในไทยมานานหลายทศวรรษ กำลังเผชิญกับโครงสร้างพื้นฐานด้าน IT ที่ล้าสมัย ซึ่งนับเป็นโอกาสอันดีในการยกระดับองค์กรครั้งใหญ่
ความท้าทายนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับบริษัทญี่ปุ่นในประเทศไทย โดยเฉพาะภายใต้วิสัยทัศน์ Thailand 4.0 ที่เน้นนวัตกรรมที่รวดเร็ว ซึ่งอาจขัดแย้งกับแนวทางปฏิบัติแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม นอกจากนี้ อัตราการหมุนเวียนของแรงงานไทยที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยภูมิภาคอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้การเก็บเกี่ยวองค์ความรู้เป็นระบบผ่าน Data & AI กลายเป็นสิ่งที่จำเป็นเร่งด่วน
นางสาวกนกกมล เลาหบูรณะกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟูจิตสึ (ประเทศไทย) จำกัด อธิบายว่า "ความท้าทายไม่ใช่เพียงแค่ 'ความเร็ว' แต่เป็นการรักษาสมดุลระหว่าง 'ความเร็ว' กับ 'คุณภาพการตัดสินใจ' ซึ่งเป็นจุดแข็งของบริษัทญี่ปุ่น ท่ามกลางตลาดที่ผันผวนรุนแรงจากปัจจัยภายนอก" นี่เป็นจุดที่ Modernization และ Data & AI จะเข้ามาเป็นตัวขับเคลื่อนเชิงกลยุทธ์"
การเปลี่ยนผ่านจากโครงสร้างเดิมสู่ความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์
บริษัทญี่ปุ่นชั้นนำกำลังใช้ Modernization และ Data & AI เป็นตัวเร่งยกระดับโครงสร้างพื้นฐานเดิม สู่ระบบที่สนับสนุนการตัดสินใจของผู้บริหารให้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ฟูจิตสึ ประเทศไทย ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างความเป็นเลิศทางธุรกิจแบบญี่ปุ่นกับการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องของตลาดไทย โดยได้ประเมินและพัฒนาเครื่องมือ เพื่อการเปลี่ยนผ่าน ช่วยให้องค์กรเปลี่ยนจาก การบำรุงรักษาเชิงรับ สู่ปฏิบัติการเชิงรุก ยิ่งไปกว่านั้น โมเดล Modernization และ Data & AI ของฟูจิตสึในประเทศไทย กำลังกลายเป็นมาตรฐานสากล ซึ่งนวัตกรรมเหล่านี้ อาจมีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้ไทยก้าวสู่การเป็น ศูนย์กลางการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้
ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม: AI ที่มุ่งเน้นเพื่อมนุษย์และสังคม
ความกลัวว่า AI จะเข้ามาแทนที่แรงงานมนุษย์ มักทำให้บริษัทญี่ปุ่นเกิดอาการลังเลในการตัดสินใจ และยังคงใช้กระบวนการแบบ Manual ในขณะที่คู่แข่งก้าวล้ำไปแล้วด้วยความเร็วและประสิทธิภาพ ฟูจิตสึจึงเสนอแนวคิด "Human Sovereignty AI" โดยกำหนดให้ AI เป็น 'เพื่อนคู่คิด' ของมนุษย์ในการตัดสินใจ ด้วยหลักการสำคัญ 3 ข้อ ได้แก่ AI ที่ลูกค้าสามารถควบคุมได้ ความสมดุลระหว่างต้นทุน ความแม่นยำ และความปลอดภัย รวมถึงการสร้างมูลค่าที่เน้นธุรกิจเป็นหลัก
นายจุน ฮาชิโมโต รองประธาน และหัวหน้าทีมฝ่ายขาย กลุ่มธุรกิจญี่ปุ่น บริษัท ฟูจิตสึ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า "การสนับสนุนบริษัทญี่ปุ่นให้ก้าวข้ามความลังเลด้านเทคโนโลยี พร้อมกับการพัฒนาบุคลากร ถือเป็นการสนับสนุนเป้าหมายทางสังคมและเศรษฐกิจของประเทศไทย" เรากำหนดให้ AI เป็น 'เพื่อนคู่คิด' ในการตัดสินใจของมนุษย์ ไม่ใช่สิ่งทดแทน แนวทางนี้ช่วยให้บริษัทญี่ปุ่นรักษาค่านิยมองค์กร พร้อมสร้างความได้เปรียบด้านความเร็วที่จำเป็นสำหรับการแข่งขันอย่างมีประสิทธิภาพ"
กรณีศึกษาทางธุรกิจที่น่าสนใจ คือ บริษัทผู้ผลิตแห่งหนึ่งที่บริหารจัดการชิ้นส่วน 2 ล้านชิ้น จาก 3,000 ซัพพลายเออร์ ประสบความสำเร็จภายในเวลาเพียง 2 เดือน ด้วยโมเดลการพยากรณ์ที่ครอบคลุมชิ้นส่วน 1.5 ล้านชิ้น ด้วยความแม่นยำถึง 90% ซึ่งสามารถลดสินค้าคงคลังได้ถึง 2 พันล้านเยนต่อปี และกระจายองค์ความรู้จากผู้เชี่ยวชาญทั่วทั้งองค์กร
นายฮาชิโมโต อธิบายเพิ่มเติมว่า "การปรับเปลี่ยนนี้แสดงให้เห็นว่า Modernization และ Data & AI สามารถแปลงความรู้ในตัวบุคคล ให้เป็นสินทรัพย์องค์กร ที่ทุกคนเข้าถึงได้" ในสภาพแวดล้อมที่มีอัตราการหมุนเวียนสูงอย่างในประเทศไทย การกระจายความรู้ดังกล่าวจึงกลายเป็นความได้เปรียบในการแข่งขันที่สำคัญ และยังช่วยสนับสนุนเป้าหมายด้านทุนมนุษย์ของ Thailand 4.0 อย่างยิ่งอีกด้วย"
ประโยชน์เชิงกลยุทธ์และแนวปฏิบัติที่ดีที่สุด
จากการทำงานร่วมกับบริษัทญี่ปุ่นในประเทศไทย การนำ Modernization และ Data & AI มาใช้ ส่งผลสำคัญ 2 ประการ คือ การเร่งการตัดสินใจ สามารถตัดสินใจได้อย่างรวดดเร็ว แต่ยังคงความรอบคอบ พร้อมเข้าถึงข้อมูลวิเคราะห์ได้ทันที และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สามารถเก็บเกี่ยวองค์ความรู้ขององค์กรในสภาพแวดล้อมที่พนักงานหมุนเวียนสูงในประเทศไทย เพื่อความต่อเนื่องทางธุรกิจ
อัตราการหมุนเวียนแรงงานที่สูงในไทย ทำให้การถ่ายทอดความรู้แบบญี่ปุ่นดั้งเดิมไม่เพียงพออีกต่อไป การเก็บเกี่ยวองค์ความรู้เป็นระบบผ่าน Data & AI ขั้นสูง จึงเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วน
จากประสบการณ์ในการช่วยบริษัทญี่ปุ่นเปลี่ยนผ่าน ฟูจิตสึ ประเทศไทย แนะนำให้เริ่มต้นจากความเป็นเลิศแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่ความสมบูรณ์แบบ เน้นการรวมระบบมากกว่าการเปลี่ยนระบบทั้งหมด และการลงทุนในบุคลากรควบคู่กับเทคโนโลยี เพื่อให้คงไว้ซึ่งค่านิยมญี่ปุ่น และพร้อมสร้างขีดความสามารถใหม่
ความได้เปรียบในแบบฉบับของฟูจิตสึ: สะพานเชื่อมสองโลก
ด้วยประสบการณ์ 90 ปี ทั่วโลกและ 35 ปีในประเทศไทย ฟูจิตสึผสานความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีขั้นสูงเข้ากับความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในวัฒนธรรมญี่ปุ่นและการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาของตลาดไทย เพื่อช่วยลูกค้าทุกอุตสาหกรรมเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน
นายฮาชิโมโต อธิบายว่า "บทบาทของเราไม่ใช่แค่ติดตั้งเทคโนโลยี แต่เรา คือ "นักแปลวัฒนธรรม" ที่ช่วยให้บริษัทญี่ปุ่นใช้ประโยชน์จากจุดแข็งเดิม พร้อมปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาของตลาดไทย" การสร้างฉันทามติและการมองการณ์ไกลแบบญี่ปุ่นสามารถเสริมการใช้ AI และเป้าหมายการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลที่มั่นคงได้อย่างดีเยี่ยม ความเชี่ยวชาญสองด้านนี้ทำให้เราเป็นพันธมิตรที่แท้จริง ด้วยโซลูชันที่ครอบคลุมของฟูจิตสึ ทั้ง SAP, ServiceNow, Cloudและ Data & AI"
ความได้เปรียบของการลงมือทำ: แข่งกับเวลาในประเทศไทย
เมื่อประเทศไทยเร่งบรรลุเป้าหมาย Thailand 4.0 ภายในปี 2573 การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลจึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ไม่สามารถมองข้ามได้ บริษัทที่ชะลอการปรับตัว เสี่ยงสูญเสียความได้เปรียบทางการแข่งขันอย่างถาวร ในสภาพแวดล้อมธุรกิจไทยที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ความเสี่ยงสูงสุดไม่ใช่การทำที่ไม่สมบูรณ์แบบ แต่เป็นการล่าช้า จนคู่แข่งก้าวไปไกลเกินเอื้อม บริษัทที่กล้าเปลี่ยนผ่านในวันนี้ จะเป็นผู้นำการพัฒนาธุรกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีส่วนร่วมในวาระดิจิทัลระดับชาติของไทยอีกด้วย
นางสาวกนกกมล กล่าวสรุปว่า "อนาคตเป็นของบริษัทที่ผสานปรัชญาธุรกิจญี่ปุ่นเข้ากับความเร็ว และข้อมูลเชิงลึกจาก Modernization และ Data & AI ฟูจิตสึ ประเทศไทย มุ่งมั่นช่วยทุกบริษัทสร้างความสมดุลนี้ พร้อมสนับสนุนประเทศไทยสู่ศูนย์กลางนวัตกรรมของภูมิภาค สำหรับบริษัทญี่ปุ่นในประเทศไทย คำถามไม่ใช่ว่า "Modernization และ Data & AI จะเปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรมหรือไม่" แต่คือ "ท่านจะเป็นผู้นำการเปลี่ยนผ่านหรือต้องวิ่งไล่ตามคู่แข่ง"