
บลจ.กสิกรไทย มองแนวโน้มเศรษฐกิจไทยเติบโตชะลอลง คาด GDP ไทยในอีก 10-15 ปีข้างหน้าเฉลี่ยที่ 2%ขณะที่ Valuation หุ้นไทยอยู่ระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต ประกอบกับการผ่อนคลายทางการคลังผ่านการเร่งเบิกจ่ายของภาครัฐ และการผ่อนคลายทางการเงินผ่านการลดดอกเบี้ย จังหวะนี้จึงเหมาะเข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทยจากปัจจัยเชิงบวกในระยะสั้นผ่านกองทุนหุ้นปันผลสูงอย่าง "K-VALUE"
นางสาวภารดี มุณีสิทธิ์ CFA, Chief Investment Officer (รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในระยะถัดไปมีแนวโน้มเติบโตชะลอลง โดยบทวิจัย KAsset Capital Market Assumptions (KCMA) ที่บลจ.กสิกรไทย จัดทำร่วมกับ J.P. Morgan Asset Management คาดการณ์ว่า GDP ไทยในช่วง 10-15 ปีข้างหน้าจะเติบโตเฉลี่ยเพียง 2% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยก่อนช่วง COVID-19 ที่อยู่ที่ประมาณ 3.6% การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอลงเช่นนี้ ส่งผลให้บริษัทขนาดกลางและเล็กเผชิญกับปัญหาด้านการเติบโตและสภาพคล่องที่หดตัว ในขณะที่บริษัทขนาดใหญ่ที่มีฐานรายได้มั่นคง กระแสเงินสดแข็งแรง และมีกำไรสม่ำเสมอ กลับสามารถรับมือกับความผันผวนได้ดีกว่า ซึ่งบริษัทเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มหุ้นปันผลสูง ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย จึงแนะนำ กองทุนเปิดเค หุ้นปันผล หรือ K-VALUE เน้นลงทุนในหุ้นไทยที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง ผลการดำเนินงานมั่นคง และเป็นหุ้นที่จ่ายเงินปันผลสูงอย่างต่อเนื่อง โดยมีให้เลือกลงทุน 2 รูปแบบ ได้แก่ K-VALUE-A(D) ชนิดจ่ายเงินปันผล และ K-VALUE-A(A) ชนิดสะสมมูลค่า
นางสาวภารดีกล่าวต่อไปว่า กองทุน K-VALUE ได้มีการปรับเปลี่ยนดัชนีชี้วัด (Benchmark) จากดัชนี SET มาเป็นดัชนี SET High Dividend 30 (SETHD) ตั้งแต่ปี 2023 เพื่อสะท้อนกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นปันผลสูงอย่างแท้จริง โดยความน่าสนใจของหุ้นปันผลสูงอยู่ที่ 1) หุ้นปันผลสูงมักเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีฐานธุรกิจและรายได้มั่นคงส่งผลให้ราคาหุ้นมีความผันผวนต่ำกว่า โดยอ้างอิงจากดัชนี SET ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีค่าความผันผวน 15.5% ขณะที่ SET High Dividend (SET HD) มีค่าความผันผวน 14.3% 2) หุ้นปันผลสูงมักเป็นบริษัทมีกำไรที่ดีต่อเนื่อง สามารถจ่ายปันผลได้สูงกว่าตลาดหุ้นไทยในภาพรวมอย่างสม่ำเสมอ โดยคาดการณ์ปันผลของหุ้นกลุ่มปันผลสูงในปี 2026 ที่ 7.1% เทียบกับ SET ที่ 4.6% 3) หุ้นปันผลสูงให้ผลตอบแทนในรูปแบบเงินปันผลที่แน่นอนกว่าการหวังกำไรจากส่วนต่างราคา (Capital Gain) จากราคาหุ้นที่อาจไม่เติบโตมากในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว 4) หุ้นปันผลสูงช่วยลดความเสี่ยงจากวัฏจักรเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับหุ้นกลุ่ม Growth หรือ Mid-Small Cap ที่มักมีราคาผันผวนตามวัฏจักรเศรษฐกิจ และ 5) หุ้นปันผลสูงมักเป็นบริษัทที่มีโอกาสเติบโตอย่างยั่งยืน
"สภาพัฒน์ปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจปีนี้ขึ้นเป็น 2% จากเดิมที่ 1.8% ภายหลังการบรรลุข้อตกลงภาษีการค้ากับสหรัฐฯ และ GDP ไตรมาส 2 ที่ออกมาดีกว่าคาด เติบโต 2.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังคาดว่าจะชะลอตัวกว่าครึ่งปีแรก จากการส่งออกที่หดตัวลง การบริโภคและการลงทุนที่ยังอ่อนแรง รวมถึงนักท่องเที่ยวที่ต่ำกว่าคาด อย่างไรก็ตาม ปัจจัยบวกที่ช่วยประคองการเติบโตทางเศรษฐกิจนับจากนี้ได้แก่ การผ่อนคลายทางการคลังผ่านการเร่งเบิกจ่ายของภาครัฐภายหลังงบประมาณผ่านสภาฯ และการผ่อนคลายทางการเงินผ่านการลดดอกเบี้ย โดยปัจจุบันคาดการณ์การเติบโตของ EPS ในปีนี้ที่ 17.6% ประกอบกับระดับมูลค่าหุ้น (Valuation) ตลาดยังอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต โดย SET Index ที่ 1248 จุด คิดเป็น Forward P/E ที่ 13.7 เท่า ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนปัจจัยเชิงบวกต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยในระยะสั้น" นางสาวภารดีกล่าว
นางสาวภารดีกล่าวเพิ่มเติมว่า กองทุน K-VALUE เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการแสวงหาโอกาสจากการลงทุนในหุ้นไทยจากกลุ่มหุ้นปันผลสูง โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตชะลอลง ผู้ลงทุนสามารถเริ่มต้นลงทุนได้เพียง 500 บาท ซื้อง่ายอย่างปลอดภัยด้วย App K PLUS และ K-My Funds หรือ ธนาคารกสิกรไทย และ ผู้แทนสนับสนุนการขาย ทั้งนี้ ผู้ลงทุนสามารถติดต่อขอรับหนังสือชี้ชวนได้ทุกช่องทางของกสิกรไทย หรือ ผู้แทนสนับสนุนการขาย สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ KAsset Contact Center 0 2673 3888 และศึกษาข้อมูลด้วยตัวเองได้ที่ www.kasikornasset.com