
กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ร่วมมือกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาฯ จัดพิธีปิดและเผยแพร่ความสำเร็จของกิจกรรมพัฒนาผลิตภาพสำหรับธุรกิจเกษตรแปรรูปเป้าหมาย (แผนธุรกิจและการตลาด) โครงการยกระดับสินค้าเกษตรสู่เกษตรอุตสาหกรรม ประจำปี 2568 เมื่อเร็ว ๆ นี้ ณ จามจุรีสแควร์ โดยมี รศ.ดร.ดำรงค์ วัฒนา รองกรรมการผู้อำนวยการศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาฯ กล่าวสรุปผลการดำเนินงานและความสำเร็จของโครงการ ศ.ดร. ศุภอรรจ ศิริกันทรมาศ ผู้ช่วยคณบดี คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวต้อนรับ และ ดร.กิตติโชติ ศุภกำเนิด ผู้อำนวยการกองพัฒนาเกษตรอุตสาหกรรม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวแสดงความยินดีแก่ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมกิจกรรม
ภายในงานมีการจัดเสวนา "การสร้างโอกาสและยกระดับสินค้าสู่โมเดิร์นเทรด" พร้อมกิจกรรมให้คำแนะนำ และการแบ่งปันประสบการณ์จากผู้ประกอบการดีเด่น การประกาศและมอบรางวัลธุรกิจตัวอย่างด้านความสามารถสร้างการเติบโตได้อย่างโดดเด่น รางวัลธุรกิจตัวอย่างด้านความสามารถลดต้นทุนได้อย่างชาญฉลาด และรางวัลธุรกิจตัวอย่างด้านแนวคิดสร้างสรรค์ที่โดดเด่นและสร้างแรงบันดาลใจ โดยมีผู้ประกอบการได้รับรางวัลดังนี้
รางวัลธุรกิจตัวอย่างด้านความสามารถสร้างการเติบโตได้อย่างโดดเด่น ได้แก่ บ้าน สวน ช็อคโกแลตรางวัลธุรกิจตัวอย่างด้านความสามารถลดต้นทุนได้อย่างชาญฉลาด ได้แก่ บริษัท เค.เอส. พรีเมียร์โปรดักส์ จำกัดรางวัลธุรกิจตัวอย่างด้านแนวคิดสร้างสรรค์ที่โดดเด่นและสร้างแรงบันดาลใจ ได้แก่ บริษัท คาเคา ซีเอสอี จำกัด และบริษัท ไซมีส โบแทนิก จำกัด
กิจกรรมพัฒนาผลิตภาพสำหรับธุรกิจเกษตรแปรรูปเป้าหมาย (แผนธุรกิจและการตลาด) โครงการยกระดับสินค้าเกษตรสู่เกษตรอุตสาหกรรม ประจำปี 2568 มี ศ.ดร.นงนุช เหมืองสิน เป็นหัวหน้าโครงการ คณะผู้เชี่ยวชาญได้ให้คำปรึกษาแก่ผู้ประกอบการในด้านแผนธุรกิจและการตลาด ประกอบด้วย รศ.ดร.พัลลภา ปีติสันต์ รศ.ดร. ฐิติพรรณ ฉิมสุข ผศ.ดร.บุริม โอทกานนท์ ผศ.ดร.ขวัญรัฐ ส่วนพงษ์ ดร.จักรกฤษณ์ ถาวร ดร.วรศักดิ์ กล่องทอง และ ดร.ประภารัตน์ อัศวเนตรมณี เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันด้วยการยกระดับสินค้าเกษตรสู่เกษตรอุตสาหกรรม ผ่านการพัฒนาและยกระดับผลิตภาพในการพัฒนาด้านแผนธุรกิจและการตลาด การวิเคราะห์แผนธุรกิจและตลาดสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปที่สามารถสร้างโมเดลและแผนธุรกิจสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปได้อย่างถูกต้อง สามารถวางแผนบริหารจัดการ แผนการตลาดและแผนธุรกิจ เพิ่มช่องทางการเข้าถึงกลุ่มลูกค้า ลดต้นทุนทางการตลาดส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจซึ่งจะเป็นการสร้างการเติบโตอย่างมั่นคง และสามารถแข่งขันได้ในตลาดการค้าโลก ซึ่งผู้ประกอบการที่เข้าร่วมกิจกรรมจะได้รับการพัฒนา โดยมีผลิตภาพเพิ่มขึ้น (ของเสียลดลง หรือต้นทุนลดลง หรือยอดขายเพิ่มขึ้น หรือรายได้เพิ่มขึ้น) ไม่น้อยกว่าร้อยละ 10
ศ.ดร.ศุภอรรถ ศิริกันทรมาศ ผู้ช่วยคณบดี คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ ไม่เพียงมีบทบาทในเชิงวิชาการ แต่ยังเป็นกำลังสำคัญในการผลักดันอุตสาหกรรมโกโก้ไทยให้เติบโตอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน พร้อมแข่งขันได้ในระดับนานาชาติ เช่น นักวิจัยจากภาควิชาพฤกษศาสตร์ได้ดำเนินการศึกษาวิจัยและคัดเลือกพันธุ์โกโก้ที่เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศและดินของประเทศไทย เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพสูงและมีรสชาติดี อีกทั้งยังพัฒนาเทคโนโลยีสมัยใหม่ อาทิ การใช้จุลินทรีย์สนับสนุนกระบวนการหมัก เพื่อเสริมความซับซ้อนของรสชาติ และยกระดับคุณภาพวัตถุดิบของไทย
นอกจากนี้ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ ยังจัดอบรมและสัมมนาให้กับเกษตรกรและผู้ประกอบการ เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านเทคนิคการปลูก การเก็บเกี่ยว และการแปรรูปโกโก้อย่างมีมาตรฐาน รวมถึงการเผยแพร่งานวิจัยผ่านเวทีวิชาการต่าง ๆ ซึ่งมีส่วนช่วยเสริมศักยภาพการแข่งขันของอุตสาหกรรมโกโก้ไทย
"นักวิจัยของคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ ยังทำงานร่วมกับภาคอุตสาหกรรมทั้งในและต่างประเทศ เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์จากโกโก้ เช่น ช็อกโกแลต เครื่องดื่มโกโก้ และผลิตภัณฑ์สุขภาพ ตลอดจนการสร้างนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ นอกจากนี้คณะวิทยาศาสตร์ยังจัดอบรมและสัมมนาให้กับเกษตรกรและผู้ประกอบการ เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านเทคนิคการปลูก การเก็บเกี่ยว และการแปรรูปโกโก้อย่างมีมาตรฐาน รวมถึงการเผยแพร่งานวิจัยผ่านเวทีวิชาการต่าง ๆ ซึ่งมีส่วนช่วยเสริมศักยภาพการแข่งขันของอุตสาหกรรมโกโก้ไทยให้ให้เติบโตอย่างยั่งยืนและได้ประสิทธิภาพสูงสุด" ศ.ดร.ศุภอรรถ กล่าว
ดร.กิตติโชติ ศุภกำเนิด ผู้อำนวยการกองพัฒนาเกษตรอุตสาหกรรม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า กิจกรรมพัฒนาผลิตภาพสำหรับธุรกิจเกษตรแปรรูปเป้าหมาย (แผนธุรกิจและการตลาด) ภายใต้โครงการยกระดับสินค้าเกษตรสู่เกษตรอุตสาหกรรม ประจำปี 2568 มุ่งเน้นในการพัฒนาพืชโกโก้ โดยประเทศไทยมีจุดแข็งด้านความอุดมสมบูรณ์ของดินและภูมิอากาศ ซึ่งเอื้อต่อการปลูกโกโก้ไทยปลูกได้ทุกภูมิภาค แต่ละพื้นที่ก็ต่างมีเอกลักษณ์รสชาติ (Flavor note) แบบเฉพาะตัว ซึ่งความหลากหลายเช่นนี้สร้างคุณค่าในเชิง Geographical Indication (GI) และเป็นจุดขายที่สร้างความแตกต่างจากโกโก้ของต่างประเทศ
"ขณะนี้ถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม เนื่องจากประเทศผู้ผลิตหลักของโกโก้อย่างประเทศกานาประสบปัญหาภัยแล้ง ทำให้ผลผลิตลดลง ในขณะที่ประเทศไทยอยู่ในช่วงที่ต้นโกโก้ที่ปลูกกกระจายในหลายพื้นที่เริ่มให้ผลผลิตจำนวนมาก ราคาผลสดก็ปรับสูงขึ้น จากกิโลกรัมละ 5-10 บาท เป็น 10-13 บาท และหากแปรรูปเป็นเมล็ดหมักตากแห้ง จะทำให้ราคาสามารถพุ่งไปถึง 180-200 บาทต่อกิโลกรัม สิ่งนี้คือการเพิ่มมูลค่าที่จับต้องได้จริง และเห็นผลอย่างชัดเจน" ดร.กิตติโชติ กล่าว
ดร.กิตติโชติ กล่าวถึงแนวทางการพัฒนาโกโก้ของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม มุ่งพัฒนาผลิตภาพสำหรับธุรกิจเกษตรแปรรูป ด้วยแนวทาง 4 ด้าน โดยนำนโยบายของ น.ส.ณัฏฐิญา เนตยสุภา อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม มาปฏิบัติเพื่อพัฒนาโกโก้ไทยอย่างครบวงจร ได้แก่ 1. ให้ทักษะใหม่ ไม่ใช่แค่ปลูกและขายผลโกโก้สด แต่เกษตรกรต้องเรียนรู้การหมักเมล็ด การตากแห้ง และการแปรรูป รวมถึงการวางแผนธุรกิจและการตลาด 2. ให้เครื่องมือที่ทันสมัยสนับสนุนเครื่องจักรและเทคโนโลยี โดยส่งเสริมให้เกษตรกรสามารถเข้ามาใช้เครื่องจักร ศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรม (Industry Transformation Center: ITC) ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ 3. ให้โอกาสโตไกล เชื่อมโยงตลาด โดยร่วมกับมหาวิทยาลัยและพันธมิตร พัฒนาแผนธุรกิจและนำผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาด และ 4. ให้ธุรกิจไทยที่ดีคู่ชุมชน สร้างธุรกิจคู่ชุมชน โดยส่งเสริมเกษตรกรให้เป็นต้นแบบถ่ายทอดองค์ความรู้สู่ชุมชน เน้นการทำธุรกิจที่เติบโตควบคู่กับสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งแนวทางทุกด้านจะเน้นการนำนวัตกรรมรูปแบบต่าง ๆ มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในทุกขั้นตอน
"ผู้ประกอบการที่ได้เข้าร่วมโครงการจะได้รับคำปรึกษาแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งเป็นแนวทางในการดำเนินกิจการให้สามารถวางแผนบริหารจัดการกิจการ การตลาด การสร้างรายได้ การเพิ่มช่องทางการเข้าถึงกลุ่มลูกค้า และลดต้นทุนทางการตลาด สร้างการเติบโตให้กิจการและนำไปสู่ความยั่งยืน สามารถแข่งขันได้ในตลาดการค้าโลก ส่งผลในระยะยาวต่อขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ โกโก้ถือเป็นพืชที่มีศักยภาพ สามารถต่อยอดไปสู่ผลิตภัณฑ์จากโกโก้ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและสร้างอุตสาหกรรมที่ยั่งยืนในอนาคตได้" ดร.กิตติโชติ กล่าว