
นางภัสรา นทีทอง ผู้อำนวยการเขตบางขุนเทียน กทม. กล่าวถึงความคืบหน้าการติดตามผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม หลังเกิดเหตุเพลิงไหม้โรงงานอุตสาหกรรมกำจัดสารเคมี ซอยแสมดำ 17 ว่า จากการตรวจสอบสภาพแวดล้อมทั่วไปพบว่า บริเวณที่เกิดเหตุอยู่ห่างไกลจากบ้านเรือนประชาชนและไม่มีประชาชนได้รับผลกระทบจากกลิ่นและน้ำเสีย ซึ่งปัจจุบันเจ้าหน้าที่จากกรมโรงงานอุตสาหกรรมและกรมควบคุมมลพิษอยู่ระหว่างตรวจสอบน้ำเสียจากการดับเพลิง รวมทั้งเจ้าหน้าที่ศูนย์บริการสาธารณสุข 42 ได้ออกหน่วยปฐมพยาบาลเคลื่อนที่บริเวณชุมชนและบ้านเรือนประชาชนรอบข้าง เพื่อค้นหาผู้ได้รับผลกระทบทางสุขภาพ ให้คำแนะนำข้อควรปฏิบัติและแนวทางการติดตามอาการประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบจากเหตุดังกล่าว เพื่อป้องกันผลกระทบทางสุขภาพ โดยเฉพาะประชาชนกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ ผู้ที่มีโรคประจำตัว เพื่อสร้างความอุ่นใจให้กับประชาชนที่พักอาศัยบริเวณใกล้เคียง
นอกจากนี้ สำนักงานเขตฯ ร่วมกับสำนักอนามัย (สนอ.) และกรมควบคุมมลพิษ ตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม (น้ำเสียและมลพิษทางอากาศ) ภายในโรงงานและบริเวณชุมชนโดยรอบ โดยกองตรวจมลพิษได้ตรวจวัดคุณภาพอากาศที่จุดเกิดเหตุและพื้นที่ชุมชนด้านท้ายลม พบว่า บริเวณจุดเกิดเหตุตรวจพบก๊าซจากกระบวนการเผาไหม้ ได้แก่ ฟอร์มัลดีไฮด์ คาร์บอนไอออกไซด์ ไฮโดรเจนคลอไรด์ แอมโมเนีย อยู่ในระดับที่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพ จึงแจ้งให้เจ้าหน้าที่สวมใส่หน้ากากป้องกันสารเคมีตลอดเวลาระหว่างปฏิบัติหน้าที่ ส่วนพื้นที่ชุมชนด้านท้ายลมบริเวณซอยแสมดำ 13 คุณภาพอากาศอยู่ในเกณฑ์ปกติ ขณะเดียวกัน สนอ. ได้เก็บตัวอย่างน้ำจากการดับเพลิงบริเวณลานหน้าอาคารจุดเกิดเหตุ เพื่อนำไปตรวจวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ เบื้องต้นพบว่า น้ำมีค่าความเป็นกรด-ด่าง อยู่ระหว่าง 2-3 หรือมีสภาพเป็นกรด ซึ่งบริษัทฯ ได้ดำเนินการรวบรวม เพื่อนำเข้าสู่กระบวนการบำบัดน้ำเสียของบริษัทต่อไป
ทั้งนี้ สำนักงานเขตฯ ได้มีคำแนะนำของเจ้าหน้าพนักงาน (แบบ นส. 1) ระงับการประกอบกิจการในส่วนที่ได้รับความเสียหายทันที พร้อมจัดทำแผนการจัดการกากของเสียที่เกิดจากเหตุเพลิงไหม้และดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน เพิ่มความเข้มงวดตรวจสอบโรงงาน หรือสถานประกอบการในพื้นที่ปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยและกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการเกิดเหตุอันตรายที่อาจส่งผลกระทบต่อประชาชน