ทุกท่านคงจะทราบดีถึงการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2568 ของบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งการประชุมได้เสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้วใน 3 วาระแรก และให้เลื่อนการประชุมวาระที่เหลือไปเป็นวันที่ 4 ธันวาคม 2568 เวลา 14.00 น.
ผมขอถือโอกาสนี้ ชี้แจงข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกัน ดังนี้
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมได้ชี้แจงและทำความเข้าใจในที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นแล้วว่า ธุรกิจของกลุ่มดุสิตธานีหลายธุรกิจ เหมือนกับธุรกิจของกลุ่มเซ็นทรัล ซึ่งมีการแข่งขันด้านการค้ากันมาโดยตลอด ดังนั้น ในหลักการประกอบธุรกิจทั้งทางดุสิตธานี และกลุ่มเซ็นทรัล ย่อมต้องทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ธุรกิจของตนเอง ซึ่งในปัจจุบันนี้ ธุรกิจของดุสิตธานีประสบความสำเร็จอย่างมากในทุกมิติ หากดุสิตธานีจะต้องมีกรรมการหรือผู้บริหารระดับสูงที่มาจากกลุ่มเซ็นทรัล ย่อมหมายความว่า ทิศทางการบริหารของดุสิตธานีจะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของคู่แข่งขันทางการค้า
นอกจากนี้ กลุ่มเซ็นทรัลยังสามารถเข้าถึงและใช้ข้อมูลภายในองค์กร เช่น ฐานลูกค้า และกลยุทธ์ในการบริหารงานด้านต่างๆ ของดุสิตธานีได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทีมงานดุสิตธานีสั่งสมมาและมีมูลค่ามหาศาลทางธุรกิจ แต่กลับจะถูกนำไปสร้างประโยชน์ให้กับคู่แข่ง ซึ่งอาจทำให้ดุสิตธานีเสียหายจนยากจะแก้ไข ซึ่งไม่เป็นธรรมต่อผู้ถือหุ้น คู่ค้า รวมถึงผู้บริโภคที่จะขาดตัวเลือกในการแข่งขัน เพราะแบรนด์ดุสิตธานีอาจหายไปจากตลาดได้
สำหรับการพิจารณาในวาระที่ 3 ที่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ (บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด) ยื่นถอดถอนผม ซึ่งปรากฏว่า ผู้ถือหุ้นที่เข้าร่วมประชุมและมีสิทธิออกเสียง จำนวน 420 ราย คิดเป็น 86.9565% ของจำนวนผู้เข้าประชุมและมีสิทธิออกเสียงลงคะแนน "ไม่เห็นด้วย" ทำให้วาระดังกล่าวไม่ได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น ซึ่งผมต้องถือโอกาสนี้แสดงความขอบคุณอย่างจริงใจต่อผู้ถือหุ้นรายย่อยทุกท่าน ที่ได้ร่วมกันปกป้องและสนับสนุนให้ "ดุสิตธานี" ยังคงดำเนินการภายใต้การบริหารงานของคณะกรรมการชุดเดิม เพื่อเกียรติและศักดิ์ศรีของแบรนด์ไทย
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา คณะกรรมการชุดปัจจุบัน รวมถึงคณะกรรมการที่พ้นวาระและไม่ได้รับการเสนอให้กลับมาดำรงตำแหน่ง คณะผู้บริหารและพนักงานของดุสิตธานีทุกคน ได้ทำงานด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจจริง เพื่อให้ดุสิตธานีสามารถปรับตัวและก้าวต่อไปอย่างสง่างามในยุคใหม่ จุดเปลี่ยนสำคัญ คือ ช่วงเวลาที่ต้องรื้อโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ แห่งเดิม ซึ่งหากไม่ลงมือทำอะไรเลย ดุสิตธานีก็อาจไม่สามารถแข่งขันได้อีกต่อไป เราจึงตัดสินใจริเริ่มโครงการ "ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค" เพื่อยกระดับดุสิตธานีให้ก้าวทันโลก แต่ยังคงรักษาเอกลักษณ์ความเป็นไทยไว้ในทุกมิติ ผมและทีมงานได้หาพันธมิตร ร่วมกันวางแผนทางการเงินอย่างรอบคอบ เพื่อให้โครงการสำเร็จได้โดยไม่สร้างภาระให้แก่ผู้ถือหุ้น
แม้ช่วงเวลาที่ท้าทายที่สุด คือ ช่วงสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งสร้างผลกระทบอย่างรุนแรงต่อธุรกิจโรงแรมทั่วโลก แต่พวกเราไม่เคยหยุดนิ่งหรือยอมแพ้ ยังคงเดินหน้าอย่างมุ่งมั่นเพื่อให้โครงการดำเนินต่อไปได้โดยไม่ต้องเพิ่มทุน และไม่รบกวนผู้ถือหุ้น การตัดสินใจในครั้งนั้น เกิดจากความตั้งใจที่จะรักษาผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นเดิมให้ดีที่สุด
ผลจากความร่วมแรงร่วมใจและศรัทธาของทุกฝ่าย วันนี้ "ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค" ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ความพยายามไม่สูญเปล่า และโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ สามารถกลับมาเปิดให้บริการอย่างสมศักดิ์ศรี ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติมากมาย ขณะเดียวกัน "สวนดุสิต อรุณ" สวนลอยฟ้ากว่า 7 ไร่ ซึ่งเราทุ่มเทแรงใจและการลงทุนอย่างมาก เพื่อสร้างเป็นพื้นที่สีเขียวแห่งใหม่ให้คนกรุงเทพฯ ได้พักผ่อน และตั้งใจให้สวนแห่งนี้เป็นหัวใจของโครงการที่สะท้อนอัตลักษณ์ความใส่ใจต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ก็ได้รับการตอบรับจากสาธารณชนเป็นอย่างดี จนกลายเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นที่ทำให้โครงการนี้แตกต่างอย่างแท้จริง ในขณะเดียวกัน โครงการที่พักอาศัย "ดุสิต เรสซิเดนเซส" ก็ประสบความสำเร็จในการขายกว่า 90% และจะสร้างรายได้จำนวนมากให้แก่บริษัท ส่วนอาคารสำนักงานและศูนย์การค้าก็เปิดให้บริการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ท่ามกลางความสำเร็จของดุสิตธานีในวันนี้ ผมรู้สึกซาบซึ้งและตื้นตันใจอย่างยิ่ง ที่ได้เห็นพลังของความเชื่อมั่นที่ทุกท่านมอบให้ ไม่เพียงต่อผมในฐานะทายาทผู้ก่อตั้ง กรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แต่ยังรวมถึงความศรัทธาที่ทุกท่านมีต่อ "ดุสิตธานี" ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นไทย และเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่เราทุกคนภาคภูมิใจร่วมกัน
ผมขอให้คำมั่นสัญญาว่า จะยังคงทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ โปร่งใส และยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาล เพื่อให้ "ดุสิตธานี" ก้าวต่อไปอย่างมั่นคง และเป็นมรดกที่ยั่งยืนสู่คนรุ่นหลัง ตามเจตนารมณ์ของท่านผู้ก่อตั้ง