สมาคมผู้ค้าปลีกไทย ปลื้มรัฐบาลเดินหน้าเร็ว หนุน 'คนละครึ่ง พลัส' ปลุกกำลังซื้อ ชงนโยบาย 'ลดภาษีสินค้าไลฟ์สไตล์นำเข้า' ดันไทยสู่ Shopping Paradise แห่งอาเซียน

ข่าวทั่วไป Tuesday October 21, 2025 14:36 —ThaiPR.net

สมาคมผู้ค้าปลีกไทย ปลื้มรัฐบาลเดินหน้าเร็ว หนุน 'คนละครึ่ง พลัส' ปลุกกำลังซื้อ ชงนโยบาย 'ลดภาษีสินค้าไลฟ์สไตล์นำเข้า' ดันไทยสู่ Shopping Paradise แห่งอาเซียน

สมาคมผู้ค้าปลีกไทยเห็นว่ารัฐบาลชุดใหม่สามารถเดินหน้านโยบายเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะมาตรการระยะสั้นแบบ "Quick Big Win" ที่มุ่งกระตุ้นกำลังซื้อและเศรษฐกิจฐานรากทั่วประเทศ ถือเป็นสัญญาณบวกที่สะท้อนถึงความตั้งใจจริงของรัฐบาลในการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง

ณัฐ วงศ์พานิช ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า นับตั้งแต่รัฐบาลประกาศมาตรการเศรษฐกิจ ชุดแรก สมาคมฯ เริ่มเห็นสัญญาณบวกของบรรยากาศการจับจ่ายใช้สอย โดยเฉพาะในไตรมาสที่ 4 ซึ่งเป็นช่วงเทศกาลจับจ่ายปลายปี เชื่อว่าจะเป็นจังหวะสำคัญที่ภาคค้าปลีกสามารถสร้างยอดขายเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สำหรับมาตรการ "คนละครึ่ง พลัส" ถือเป็นหนึ่งในนโยบายที่ช่วยกระตุ้นกำลังซื้อได้อย่างตรงจุด และช่วยให้ GDP ไทยขยายตัวได้ราว 0.21-0.22% เมื่อเทียบกับกรณีไม่มีโครงการดังกล่าว ตามการประเมินของกระทรวงการคลัง ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวมีส่วนสำคัญในการ บรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชนในช่วงปลายปี ขณะเดียวกันก็ช่วยกระตุ้นยอดขายของภาคค้าปลีก โดยเฉพาะร้านค้ารายย่อยและธุรกิจเอสเอ็มอีในระดับชุมชน ซึ่งเป็นฟันเฟืองสำคัญของเศรษฐกิจฐานราก ทำให้เกิดการหมุนเวียนของเงินในระบบ และสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการรายเล็กได้ฟื้นตัว

จากผลสำรวจ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีก (Retail Sentiment Index: RSI) ซึ่งสมาคมผู้ค้าปลีกไทย จัดทำร่วมกับ ธนาคารแห่งประเทศไทย พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นค้าปลีกในช่วง 3 เดือนข้างหน้า (ตุลาคม-ธันวาคม 2568) มีแนวโน้มปรับตัวสูงสุดของปี ทำสถิติ New High ในรอบ 12 เดือน จาก 52.4 จุด มาอยู่ที่ 63.8 จุด สะท้อนถึงผู้ประกอบการค้าปลีกมีความมั่นใจและความหวังที่ดีกับรัฐบาลชุดใหม่ รวมถึงปัจจัยหนุนสำคัญทั้งการเข้าสู่เทศกาลส่งท้ายปี มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ "คนละครึ่ง พลัส" โดยผู้ประกอบการค้าปลีก คาดว่ามาตรการดังกล่าวจะเพิ่มยอดขายได้ไม่ต่ำกว่า 10% โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคและร้านค้าในต่างจังหวัด เมื่อเทียบกับไม่มีมาตรการดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม สมาคมฯ เสนอว่า ในเฟสถัดไปของโครงการ "คนละครึ่ง" ภาครัฐควรพิจารณาเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการร้านค้าทุกขนาดสามารถเข้าร่วมได้ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในการเลือกซื้อสินค้าอย่างทั่วถึงและเพิ่มประสิทธิภาพของมาตรการให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า โครงการ "คนละครึ่ง พลัส" จะช่วยเพิ่มเม็ดเงินหมุนเวียนในภาคค้าปลีกได้กว่า 60,000-70,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นแรงกระตุ้นสำคัญต่อบรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี

นอกจากนี้ สมาคมฯ ขอเสนอให้ภาครัฐพิจารณาเดินหน้าโครงการ "Easy e-Receipt" หรือ "ช้อปดีมีคืน" อีกครั้งในช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2568 เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคในช่วงไฮซีซัน โดยเสนอให้ปรับเงื่อนไขการเข้าร่วมให้สะดวกขึ้น และ ครอบคลุมสินค้าทุกประเภทภายในวงเงินไม่เกิน 100,000 บาท คาดว่าจะช่วยสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นกว่า 100,000 ล้านบาท

ณัฐกล่าวเพิ่มเติมว่า "สิ่งที่เรายังต้องจับตาคือ หลังสิ้นสุดมาตรการกระตุ้นระยะสั้น กำลังซื้อของประชาชนจะสามารถต่อเนื่องได้หรือไม่ เพราะแม้มาตรการภาครัฐช่วยสร้างแรงหนุนให้เศรษฐกิจในช่วงสั้น แต่ปัจจัยพื้นฐานอย่างรายได้และหนี้ครัวเรือนยังเป็นความท้าทายที่ต้องจัดการอย่างจริงจัง เพื่อให้กำลังซื้อฟื้นตัวอย่างยั่งยืน"

ทั้งนี้ สมาคมฯ มองว่าแม้มาตรการระยะสั้นจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในทันที แต่รัฐบาลควรดำเนินควบคู่ไปกับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจระยะยาว เพื่อสร้างรากฐานให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันได้ในอนาคต และรักษาโมเมนตัมทางเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อเนื่อง โดย เสนอแนวทางสำคัญ 3 ประการ ได้แก่

  • การลดภาษีสินค้านำเข้า (Import Tax) กลุ่มไลฟ์สไตล์และแฟชั่น อาทิ เสื้อผ้า น้ำหอม และเครื่องสำอาง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย และเวียดนาม ซึ่งมีอัตราภาษีสินค้าหรูต่ำกว่าไทยหลายเท่าตัว โดยปัจจุบันไทยมีอัตราภาษีสินค้านำเข้ากลุ่มนี้สูงถึง 20-30% รวมทั้งพิจารณา การนำร่องจัดทำ "แซนด์บ็อกซ์เขตปลอดภาษี (Free Tax Zone)" ในจังหวัดท่องเที่ยว เช่น ภูเก็ต เป็นต้น ทั้งนี้ การลดภาษีจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เดินทางมาชอปปิงในประเทศไทยมากขึ้น เพิ่มแรงส่งให้กับภาคค้าปลีก โรงแรม ร้านอาหาร และธุรกิจบริการอื่น ๆ พร้อมยกระดับภาพลักษณ์ของประเทศไทยให้เป็น "Shopping Paradise แห่งอาเซียน" หรือ สวรรค์แห่งการชอปปิง อย่างแท้จริง
  • การป้องกันสินค้านำเข้าราคาถูกที่ด้อยมาตรฐาน เพื่อลดผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะเอสเอ็มอีที่ไม่สามารถแข่งขันด้านราคาได้ พร้อมส่งเสริมให้ทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวเลือกบริโภคสินค้าที่ผลิตโดยคนไทย โดย สมาคมผู้ค้าปลีกไทย พร้อมให้การสนับสนุน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ในการร่วมผลักดันให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีได้รับการรับรองสัญลักษณ์ "Made in Thailand" เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือของสินค้าและขยายโอกาสทางการค้าทั้งในและต่างประเทศ
  • ยกระดับทักษะแรงงาน (Upskill / Reskill) เพื่อให้แรงงานไทยในภาคค้าปลีกมีศักยภาพและสามารถปรับตัวกับเศรษฐกิจยุคใหม่ โดย ใช้มาตรฐานอาชีพและคุณวุฒิวิชาชีพเป็นเกณฑ์กำหนดค่าจ้างแทนระบบค่าแรงขั้นต่ำ
  • สมาคมผู้ค้าปลีกไทย มองว่าเศรษฐกิจไทยจะสามารถเดินหน้าได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน หากภาครัฐดำเนินนโยบายที่แข็งแกร่งในทุกมิติ ทั้งการกระตุ้นกำลังซื้อ การเสริมความสามารถการแข่งขัน และการพัฒนาคุณภาพแรงงาน โดยเชื่อมั่นว่าหากรัฐบาลขับเคลื่อนมาตรการต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่กับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน จะสามารถนำพาเศรษฐกิจไทยให้ฟื้นตัวได้อย่างแข็งแรง และก้าวข้ามความท้าทายทางเศรษฐกิจในระยะยาวได้อย่างแท้จริง.


    แท็ก paradise   อาเซียน  

    เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ