
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ร่วมกับ บริษัท ไอริส คอนซัลติ้ง จำกัด จัดการประชุมสัมมนาในหัวข้อ "IDE Forward : From Insights to Better Policy Shifts จากข้อมูลเชิงลึกสู่ก้าวใหม่ของนโยบาย IDE" เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2568 ณ ชั้น 11 Club Siam Glowfish, Siam Patumwan House โดยมี ดร.สุรชัย สถิตคุณารัตน์ ผู้อำนวยการ สอวช. เป็นผู้กล่าวเปิดงาน

ดร.สุรชัย เปิดเผยว่า สอวช. ได้ผลักดันเชิงนโยบายเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจนวัตกรรม หรือ IDE มาอย่างต่อเนื่อง ผ่านการทำงานร่วมกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และมหาวิทยาลัย โดย สอวช. ได้กำหนดเป้าหมายในการสร้าง IDE ให้มีรายได้เฉลี่ย 1,000 ล้านบาท 1,000 ราย เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการนำพาประเทศไทยให้หลุดพ้นจากกับดักประเทศรายได้ปานกลาง ซึ่ง สอวช. ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานด้านนโยบายที่มีบทบาทสำคัญในการติดตามและประเมินผลนโยบาย รวมถึงรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ผล และสะท้อนกลับไปเป็นข้อมูลให้กับรัฐบาล เพื่อให้การกำหนดนโยบายและการจัดสรรงบประมาณด้านวิจัยและนวัตกรรมสอดคล้องกับความต้องการของประเทศอย่างแท้จริง
ทั้งนี้ การขับเคลื่อนนโยบายยังต้องอาศัยพลังจากพันธมิตรในระบบนิเวศทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) หน่วยงานส่งเสริมการลงทุน (BOI) สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กองทุนเทคโนโลยีและนวัตกรรม (TED Fund) เครือข่ายอุทยานวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัย และสมาคมผู้ประกอบการธุรกิจนวัตกรรม รวมถึงสมาคมสตาร์ทอัพไทย ซึ่งล้วนมีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้ระบบนโยบายนวัตกรรมของประเทศพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
"การจัดงานในครั้งนี้ เป็นความร่วมมือระหว่าง สอวช. และบริษัท ไอริส คอนซัลติ้ง จำกัด ในการเผยแพร่ผลการติดตามข้อมูลจำนวนและการเติบโตของธุรกิจฐานนวัตกรรม เพื่อให้ทุกภาคส่วนร่วมกัน ปรับปรุง และยกระดับนโยบายให้มีประสิทธิภาพและตอบโจทย์ผู้ประกอบการมากยิ่งขึ้น" ดร.สุรชัย กล่าว
ด้านนางสาวมนันยา ชุณหฺวุฒิยานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายและนวัตกรรมเพื่อพัฒนาผู้ประกอบการ สอวช. เป็นผู้เผยแพร่ผลโครงการติดตามนโยบายและมาตรการการเพิ่มจำนวนผู้ประกอบการธุรกิจฐานนวัตกรรม โดยกล่าวว่า โครงการนี้จัดทำขึ้นเพื่อติดตามความก้าวหน้าของจำนวนธุรกิจฐานนวัตกรรม และประเมินความสอดคล้องของมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ เพื่อให้การขับเคลื่อนระบบนวัตกรรมของประเทศเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ในการดำเนินงานได้อ้างอิงข้อมูลจาก 3 แหล่ง ได้แก่ ฐานข้อมูล RDI Survey ซึ่งเป็นข้อมูลจากการสำรวจด้านการวิจัยและพัฒนาและกิจกรรมนวัตกรรมของประเทศ ฐานข้อมูลจากสมาคมการค้าสตาร์ทอัพไทย และฐานข้อมูลจากหน่วยงานภาครัฐที่สนับสนุนธุรกิจฐานนวัตกรรม ครอบคลุมการสำรวจกลุ่มตัวอย่าง 3,300 บริษัท ควบคู่กับการสัมภาษณ์เชิงลึกธุรกิจนวัตกรรม 103 บริษัท เพื่อสะท้อนสภาพจริงของธุรกิจฐานนวัตกรรมทั้งในด้านศักยภาพและอุปสรรคในการเติบโต
นางสาวมนันยา ได้กล่าวถึงผลสรุปของโครงการที่พบว่า มาตรการสนับสนุนธุรกิจฐานนวัตกรรมในประเทศไทยส่วนใหญ่มุ่งเน้นผู้ประกอบการในระยะเริ่มต้นธุรกิจ โดยมีจำนวนบริษัทที่เข้าร่วมมาตรการสนับสนุนของรัฐรวม 897 บริษัท ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจขนาดเล็กที่ยังไม่สามารถสร้างผลลัพธ์เชิงเศรษฐกิจได้อย่างเด่นชัดในระยะสั้น ขณะที่บริษัทที่ยังไม่เข้าร่วมมาตรการมีจำนวน 2,403 บริษัท โดยส่วนใหญ่เป็นธุรกิจขนาดกลางขึ้นไป และมีอายุกิจการเฉลี่ยมากกว่า 10 ปี สะท้อนว่ามาตรการสนับสนุนปัจจุบันอาจยังไม่ตอบสนองกลุ่มธุรกิจที่มีศักยภาพสูงในระบบนวัตกรรม
สำหรับสตาร์ทอัพไทย พบว่า ส่วนใหญ่ยังมีการกระจุกตัวอยู่ในระยะเริ่มต้น มีอายุกิจการเฉลี่ยไม่เกิน 10 ปี และอยู่ในอุตสาหกรรมดิจิทัลเป็นส่วนใหญ่ ขณะเดียวกัน ยังระบุถึงความท้าทายสำคัญที่กระทบต่อการเติบโตของธุรกิจนวัตกรรม ได้แก่ 1) การเข้าถึงการสนับสนุนจากภาครัฐที่ยังมีความซับซ้อน 2) ข้อจำกัดในการขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ และ 3) การขาดแคลนบุคลากรทักษะสูงด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม ซึ่งต้องการกลไกบูรณาการระหว่างภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษา
นอกจากนี้ ยังพบว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีธุรกิจฐานนวัตกรรมที่มีรายได้มากกว่า 1,000 ล้านบาทต่อปี จำนวน 688 บริษัท โดยแบ่งเป็นกลุ่ม High Growth Firm 178 บริษัท กลุ่ม Innovative Firm 495 บริษัท และกลุ่ม Startup 15 บริษัท ซึ่งแม้จะยังต่ำกว่าเป้าหมาย 1,000 บริษัทตามกรอบยุทธศาสตร์ของ อววน. ปี 2566-2570 แต่ถือเป็นสัญญาณที่สะท้อนถึงโอกาสในการพัฒนาระบบนิเวศธุรกิจนวัตกรรมไทย
"ทิศทางในการสนับสนุนธุรกิจฐานนวัตกรรมให้เติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต ควรต้องสร้างเส้นทางสนับสนุนที่ต่อเนื่องและครอบคลุมตั้งแต่ระดับ Startup/SME จนถึง Global Player ประกอบด้วย 3 แนวทางขับเคลื่อนสำคัญ ได้แก่ 1) สร้างเส้นทางสนับสนุนให้ต่อเนื่องในทุกระยะการเติบโตของธุรกิจ เพื่อผลักดันให้เป็น Global Player ที่มีศักยภาพ 2) ผลักดัน SME/IDE ให้เติบโตเป็น High Growth Firm ที่มีศักยภาพให้สามารถขยายตลาดสู่ระดับ และ 3) ปรับระบบสนับสนุนแบบบูรณาการ โดยมุ่งเน้นการปรับใช้ระบบดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบเพื่อบริหารจัดการกระบวนการขอรับการสนับสนุน" นางสาวมนันยา กล่าว
ภายในงานยังได้จัดเวทีเสวนาพิเศษ "Scaling Up IDEs ทำอย่างไรให้สำเร็จ"เพื่อเปิดมุมมองและแลกเปลี่ยนแนวคิดจากหน่วยงานส่งเสริมธุรกิจนวัตกรรมและภาคเอกชน โดยมีผู้ร่วมเสวนา ได้แก่ นายปริวรรต วงษ์สำราญ รองผู้อำนวยการ ด้านระบบนวัตกรรม สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ นายธนวิชญ์ ต้นกันยา นายกสมาคมการค้าสตาร์ทอัพไทย และนายอิทธิกร เทพมณี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออร์ก้าฟีด จำกัด ดำเนินรายการโดย ผศ. ดร.รุ่งเกียรติ รัตนบานชื่น จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เวทีดังกล่าวตั้งคำถามสำคัญว่า "ถ้าอยากให้ IDEs ไปต่อจริง เราควรปลดล็อกระบบอย่างไร และใครควรเป็นคนขับเคลื่อน" ซึ่งผู้ร่วมเสวนาเห็นตรงกันว่า การเติบโตของ IDEs ยังติดข้อจำกัดทั้งด้านตลาด เงินทุน และบุคลากร นอกจากนี้ยังต้องมุ่งเน้นสร้างแนวคิดแบบผู้ประกอบการ (Entrepreneurial Mindset) และตั้งเป้าหมายให้สามารถเติบโตสู่ตลาดระดับโลกตั้งแต่เริ่มธุรกิจ
นอกจากนี้ ยังมีการจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนประสบการณ์พร้อมเวิร์กชอปกับผู้เชี่ยวชาญ (IDE Forward Workshops)โดยแบ่งเป็น 3 ห้องย่อย ได้แก่ 1) Strategy Sprint: Accelerate Your Growth Plan โดย นายยงยุทธ องค์วัฒนะพัฒน์ ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์และธุรกิจ บริษัท ไอริส คอนซัลติ้ง จำกัด 2) Market Momentum: Accelerate Your Commercial Impact โดย นายอนุพงศ์ ทะสดวก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เบ็ตเตอร์บี มาร์เก็ตเพลส จำกัด (NocNoc) และ 3) Tech Ignite: Spark Your Digital Journey โดย ดร.วิโรจน์ ศิริรัตนรักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ เว็บ เซอร์วิส จำกัด และรองประธานสมาพันธ์ SME ไทย จากนั้นปิดท้ายด้วยการเสวนาแลกเปลี่ยนความคิดในประเด็น "Ignite & Reflect จากความรู้สู่การปฏิบัติ"