
PwC ประเทศไทย ชี้แนวโน้มมาตรการด้านภาษีและศุลกากรของไทยจะเข้มข้นยิ่งขึ้น หลังหน่วยงานกำกับเร่งปฏิรูปกฎหมายครั้งใหญ่เพื่อเข้าสู่การเป็นสมาชิก OECD พร้อมเดินหน้านำเทคโนโลยีขั้นสูงและ AI มาใช้เสริมศักยภาพการบริหารจัดการภาษีเต็มรูปแบบเพื่อสกัดทุกช่องทางการเลี่ยงภาษียุคใหม่
นาย นิพันธ์ ศรีสุขุมบวรชัย หุ้นส่วนและหัวหน้าสายงานกฎหมายและภาษี บริษัท PwC ประเทศไทย กล่าว ณ งานสัมมนา "Maximising Shareholder Value" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานสัมมนาประจำปี "PwC Thailand's Symposium 2025: From insight to action: Staying ahead of change" ว่าธุรกิจไทยจำเป็นที่จะต้องเตรียมรับมือการตรวจสอบการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านภาษีที่จะยิ่งเข้มข้นและการหลบเลี่ยงภาษีเป็นไปได้ยากมากขึ้น หลังในปีนี้ประเทศไทยได้ปฏิรูปภาษีครั้งใหญ่ในหลากหลายด้าน เพื่อการเข้าเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Co-operation and Development: OECD) โดยกรมสรรพากรไทย มีการปรับปรุงกฎหมายภาษีต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมทางภาษีโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
"ประเทศไทยกำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนผ่านที่สำคัญในการยกระดับระบบภาษี ให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของมาตรฐานภาษีโลก ซึ่งเกิดจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีดิจิทัล การขยายตัวของกิจการข้ามชาติ และความต้องการความโปร่งใส ความเป็นธรรม รวมไปถึงประสิทธิผลของระบบภาษี ส่งผลให้กฎระเบียบด้านภาษีและศุลกากรของเรามีแนวโน้มที่จะยิ่งทวีความเข้มงวดมากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานระดับสากล
นอกจากนี้ กรมสรรพากรได้มีการนำเทคโนโลยีใหม่มาพัฒนาระบบข้อมูลภาษีอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2569-2570 กรมสรรพากรมีแผน (roadmap) ที่จะออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์เป็นภาคบังคับสำหรับผู้ประกอบการที่อยู่ภายใต้ระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการจัดเก็บภาษี การควบคุมและกำกับดูแล รวมถึงการตรวจสอบและการเร่งรัดการคืนภาษีให้เป็นไปอย่างโปร่งใส เป็นธรรม และรวดเร็วยิ่งขึ้น ดังนั้น ผู้ประกอบการควรต้องเริ่มวางแผนและจัดหาระบบจัดเก็บข้อมูลและนำส่งภาษีอิเล็กทรอนิกส์ให้สรรพากร เพื่อให้สามารถปฏิบัติตามข้อบังคับได้ทันเวลาที่กำหนด" นาย นิพันธ์ กล่าว
ทั้งนี้ ในปี 2568 ประเทศไทยได้ริเริ่มกระบวนการภาคยานุวัติ (Accession) ซึ่งกำหนดให้ต้องดำเนินการปรับปรุงนโยบายต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับมาตรฐานของ OECD ในหลายด้าน เช่น ด้านภาษี การค้าและการลงทุน ตลอดจนมาตรการต่อต้านการทุจริต นอกจากนี้ ยังได้ปรับปรุงกฎหมายและระบบการกำกับดูแลให้ทันสมัย เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อเกณฑ์มาตรฐานขั้นสูงของ OECD ได้อย่างสมบูรณ์ เช่น การดำเนินการตามแนวทางภาษีขั้นต่ำทั่วโลก (Global Minimum Tax) การปรับปรุงกฎระเบียบด้านราคาโอน (Transfer Pricing) และการเสริมสร้างประสิทธิภาพการบังคับใช้ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เป็นต้น
ยกระดับมาตรการและเทคโนโลยีด้านภาษีให้สอดรับกับยุคเศรษฐกิจดิจิทัล
ในส่วนของการปฏิรูปภาษีและนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการตรวจสอบภาษี ประเทศไทยยังได้ดำเนินการปรับปรุง VAT สำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซและบริการดิจิทัลข้ามพรมแดน เช่น การยกเลิกการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มขั้นต่ำ (de minimis) สำหรับสินค้านำเข้าที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท และเพิ่มความเข้มงวดในการบังคับใช้ VAT ด้านบริการอิเล็กทรอนิกส์ (e-Service) โดยกรมสรรพากรได้ยุติการขยายกำหนดเวลาชำระภาษีชั่วคราวสำหรับผู้ลงทะเบียน e-Service ที่อยู่ต่างประเทศ โดยกำหนดให้การยื่นแบบและชำระภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นไปตามกรอบเวลาที่ชัดเจน พร้อมกำหนดบทลงโทษสำหรับการยื่นล่าช้า
ยิ่งไปกว่านั้น ยังได้ออกมาตรการส่งเริมและแรงจูงใจทางภาษีสำหรับสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น การยกเว้นภาษีกำไรจากการขายสำหรับการซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลผ่านศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับใบอนุญาตในประเทศไทยเป็นระยะเวลา 5 ปี และการยกเว้น VAT พร้อมจัดเก็บภาษีหัก ณ ที่จ่ายในอัตรา 15% สำหรับรายได้บางประเภท เพื่อส่งเสริมตลาดและนวัตกรรมด้านบล็อกเชนภายใต้การกำกับดูแลตามมาตรฐานของคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดำเนินมาตรการทางการเงิน (FATF) รวมถึงเตรียมบังคับใช้กรอบรายงานสินทรัพย์ดิจิทัล (CARF) ของ OECD เพื่อรองรับกับการแลกเปลี่ยนข้อมูลการทำธุรกรรมภาษีระหว่างประเทศ
นาย นิพันธ์ กล่าวต่อว่า หน่วยงานภาษีของไทยยังได้นำเทคโนโลยีขั้นสูงและปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาประยุกต์ใช้ในการบริหารภาษี โดยกรมสรรพากรได้ร่วมมือกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และธนาคารกรุงไทย ในการพัฒนาระบบ AI เต็มรูปแบบเพื่อใช้ในการวิเคราะห์การยื่นภาษีของผู้เสียภาษีแบบเรียลไทม์ และการทำให้การระบุกรณีที่มีความเสี่ยงสูงหรือมีความผิดปกติเป็นไปโดยอัตโนมัติ
ขณะที่กรมศุลกากรได้นำระบบตรวจสอบหลังการตรวจปล่อยมาใช้เพื่อเร่งการนำเข้าสินค้าและตรวจสอบภายหลัง และเริ่มสำรวจการใช้งานเครื่องมือดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความแม่นยำในการประเมินและการตรวจสอบ ตลอดจนการอนุญาตให้ใช้การสำแดงทางอิเล็กทรอนิกส์ผ่านแพลตฟอร์ม National Single Window (NSW) สำหรับสินค้าที่มีการควบคุมการติดตามแบบเรียลไทม์ และการจำแนกประเภทสินค้าด้วยพิกัดอัตราศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ (HS code) เป็นต้น
ข้อควรพิจารณาสำหรับธุรกิจในการเตรียมรับการตรวจสอบภาษีที่เข้มงวด
ในบริบทของธุรกิจไทยและนักลงทุนต่างชาติ การเตรียมความพร้อมด้านภาษีในทุกแง่มุมกลายเป็นสิ่งจำเป็น ท่ามกลางสภาพแวดล้อมด้านภาษีและศุลกากรในประเทศที่มีแนวโน้มจะถูกปรับเพิ่มความเข้มงวด และใกล้เคียงกับมาตรฐานสากลมากขึ้น บริษัทต่าง ๆ จึงต้องติดตามความเปลี่ยนแปลงของข้อกำหนดล่าสุดอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการยื่นภาษีขั้นต่ำ การจัดเตรียมเอกสารราคาโอน หรือภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับบริการดิจิทัล ทั้งนี้ ควรมีระบบรองรับการตรวจสอบและการปฏิบัติตามข้อบังคับด้านภาษีที่ละเอียดและรัดกุมมากกว่าเดิม
ขณะเดียวกัน การดำเนินงานเพื่อเข้าสู่สมาชิก OECD ส่งผลให้ผู้ประกอบการสามารถคาดการณ์ได้ว่าระบบภาษีของไทยจะนำแนวทางที่ซับซ้อนและสร้างความร่วมมือในระดับสากลมาใช้อย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมสร้างกรอบการกำกับดูแลด้านภาษีให้เป็นไปตามมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก
"การปฏิรูประบบภาษีของไทยเป็นทั้งความท้าทายและโอกาสสำหรับผู้เสียภาษี โดยการมีระบบบริหารจัดการภาษีที่ทันสมัยและขับเคลื่อนด้วย AI จะทำให้การปฏิบัติตามกฎระเบียบถูกติดตามได้อย่างแม่นยำ และยังถือเป็นจุดสิ้นสุดของการหลีกเลี่ยงภาษีด้วยวิธีการที่ซับซ้อน ด้วยเหตุนี้ การปรับตัวให้ทันกับระบบภาษีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จึงจำเป็นต้องอาศัยความใส่ใจ ความยืดหยุ่น และการวางแผนล่วงหน้า ควบคู่กับการมองหาโอกาสในสนามแข่งขันที่เป็นธรรมจากการอุดช่องโหว่ทางภาษี" นาย นิพันธ์ กล่าว