ดีลอยท์ ชี้กลยุทธ์การควบรวมและการซื้อกิจการเชิงเปลี่ยนผ่าน (Transformational M&A) สร้างผลตอบแทนการลงทุนให้ผู้ถือหุ้นมากกว่าสองเท่า

ข่าวทั่วไป Tuesday October 28, 2025 15:42 —ThaiPR.net

ดีลอยท์ ชี้กลยุทธ์การควบรวมและการซื้อกิจการเชิงเปลี่ยนผ่าน (Transformational M&A) สร้างผลตอบแทนการลงทุนให้ผู้ถือหุ้นมากกว่าสองเท่า

บริษัทที่นำกลยุทธ์ควบรวมและซื้อกิจการ (M&A) มาเป็นแกนหลักในการเปลี่ยนผ่านธุรกิจ สามารถสร้างผลตอบแทนเหนือคู่แข่งที่ดำเนินธุรกิจรูปแบบเดิม โดยสามารถสร้างผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นเฉลี่ยสูงถึงร้อยละ 464 ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยของดัชนี S&P 1200 ถึงสองเท่า จากรายงานวิจัยล่าสุดของดีลอยท์ "คู่มือสำหรับนักเปลี่ยนผ่านด้านการเติบโต (The Growth Transformer's Playbook)"

การวิเคราะห์ดีลขนาดใหญ่กว่า 2,000 รายการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 เป็นต้นมา[1] พบว่า "องค์กรที่เน้นการเติบโตเชิงเปลี่ยนผ่าน (Growth Transformer)" ที่เข้าซื้อกิจการและขายสินทรัพย์อย่างมีกลยุทธ์ และมีการสร้างความร่วมมือในระบบนิเวศ กำลังเป็นผู้นำในการเติบโตทางธุรกิจท่ามกลางความผันผวนด้านกฎระเบียบ กระแสชาตินิยมทางเศรษฐกิจ และการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี

บริษัทกลุ่มนี้ได้กำหนดนิยามใหม่ของการสร้างมูลค่าทางธุรกิจ การเข้าถึงตลาดใหม่ และการปรับรูปแบบโมเดลธุรกิจให้ทันสมัย ทั้งนี้ ดีล M&A ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังเผชิญทั้งความท้าทายเชิงโครงสร้างและโอกาสใหม่ ๆ แนวทางการควบรวมและการซื้อกิจการเชิงเปลี่ยนผ่าน (Transformational M&A) ของดีลอยท์ จึงเป็นคู่มือสำคัญสำหรับผู้นำองค์กรในการสร้างคุณค่าอย่างยั่งยืนในทุกขั้นตอนของดีล

ประเด็นสำคัญจากรายงาน:

  • บริษัทที่ใช้กลยุทธ์การควบรวมและการซื้อกิจการเชิงเปลี่ยนผ่าน (Transformational M&A) สามารถสร้างผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นเฉลี่ยร้อยละ 464 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยดัชนี S&P 1200 ที่ร้อยละ 157 กว่าสองเท่า
  • การใช้ระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคโนโลยีขั้นสูงกลายเป็นหัวใจสำคัญของกลยุทธ์การทำ M&A โดยซีอีโอเกือบครึ่ง (ร้อยละ 47) ให้ความสำคัญกับการลงทุนในปัญญาประดิษฐ์ (AI) ไม่เพียงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ แต่เพื่อพลิกโฉมโมเดลและเร่งสร้างการเติบโตของธุรกิจอีกด้วย
  • การตั้งเป้าหมายด้าน Synergy อย่างชัดเจนให้ผลลัพธ์ที่เหนือกว่า: บริษัทที่สามารถวิเคราะห์และสร้างคุณค่าร่วมกัน (Synergy) ได้อย่างเป็นระบบ ทั้งด้านต้นทุน รายได้ และกลยุทธ์ มีผลประกอบการเหนือเป้าหมายเฉลี่ยร้อยละ 23
  • องค์กรที่มุ่งเน้นการเปลี่ยนผ่านด้านบุคลากรและทักษะดิจิทัล มีการดำเนินงานด้านนวัตกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 30

แนวปฏิบัติ 6 ข้อ สำหรับองค์กรที่เน้นการเติบโตเชิงเปลี่ยนผ่าน (Growth Transformer)

จากการศึกษาของดีลอยท์ ผู้นำกลุ่มใหม่ในยุทธศาสตร์ M&A เชิงเปลี่ยนผ่านมีความโดดเด่นใน 6 ด้านสำคัญ ได้แก่:

  • การควบรวมและการซื้อกิจการเชิงเปลี่ยนผ่าน (Transformational M&A) เป็นภารกิจของผู้นำองค์กรการกำหนดเส้นทางการเติบโตของธุรกิจแบบบูรณาการและในหลายมิติ โดยมี M&A และความร่วมมือเชิงกลยุทธ์เป็นแกนหลัก และภายใต้เจตนารมณ์ของผู้นำที่ชัดเจนและวิสัยทัศน์ระยะยาวที่สร้างแรงบันดาลใจ
  • การเพิ่มมูลค่าจากพอร์ตโฟลิโอของธุรกิจอย่างต่อเนื่องการรักษาแนวคิด "ไม่หยุดนิ่ง (Always On)" ในการเพิ่มมูลค่าพอร์ตโฟลิโอการลงทุน มีการวิเคราะห์ การตรวจสอบและทบทวนพอร์ตโฟลิโอการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ การเพิ่มประสิทธิภาพด้านต้นทุน การค้นหาแนวทางเติบโตใหม่ และดำเนินกลยุทธ์ M&A ด้วยแนวคิดแบบนักลงทุนเชิงรุก (Activist Investor)
  • การดำเนินการเปลี่ยนผ่านเชิงกลยุทธ์ควบคู่ไปกับการทำดีลการกำหนดเป้าหมายการเปลี่ยนผ่านไว้ในกลยุทธ์และการดำเนินดีลตั้งแต่วันแรก โดยเชื่อมโยงกับแพลตฟอร์มดิจิทัล โครงสร้างข้อมูล และศักยภาพด้านเทคโนโลยีอย่างชัดเจน
  • การกำหนดให้การใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคโนโลยีเป็นแกนหลัก
  • การใช้เทคโนโลยีขั้นสูงไม่เพียงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน แต่เพื่อพลิกโฉมรูปแบบโมเดลธุรกิจ การสร้างแหล่งรายได้ใหม่ และการเข้าถึงตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets)

  • พลังจากการประสานความร่วมมือกันการสร้างพันธมิตรนวัตกรรมกับผู้ให้บริการ Hyperscale สตาร์ทอัพ และนักลงทุนเอกชน (Private Equity) เพื่อเร่งการดำเนินงาน การปรับรูปแบบโมเดลธุรกิจใหม่ การสร้างแหล่งรายได้ใหม่ และการเข้าถึงตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets)
  • การพัฒนาบุคลากรเพื่อเตรียมความพร้อมสู่อนาคตการสร้างทีมงานที่มีความยืดหยุ่นและพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต ด้วยการขับเคลื่อนวัฒนธรรมองค์กรใหม่ และลงทุนในทักษะดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่างจริงจัง
  • เดวิด ฮิลล์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของดีลอยท์ เอเชียแปซิฟิก กล่าวถึงรายงานวิจัยฉบับนี้ว่า "ในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ ห่วงโซ่อุปทาน ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และความยั่งยืน องค์กรจำเป็นต้องตอบสนองด้วยการเปลี่ยนผ่านเชิงกลยุทธ์อย่างแท้จริงซึ่งรวมถึงกลยุทธ์การควบรวมและการซื้อกิจการ (M&A) โดยดีล M&A ในปัจจุบันเป็นการเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์ที่มีเป้าหมายชัดเจนเพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่าน องค์กรต่าง ๆ ให้ความสำคัญในการบริหารธุรกิจในรูปแบบพอร์ตโฟลิโอมากขึ้น มีการพิจารณาและปรับสมดุลพอร์ตโฟลิโออย่างต่อเนื่อง มีแผนการดำเนินการอย่างรอบคอบและกำหนดกลยุทธ์เพื่อประสบผลสำเร็จ ทุกวันนี้การเปลี่ยนผ่านไม่ใช่ทางเลือก แต่คือเงื่อนไขของการอยู่รอดของธุรกิจ และการไม่เปลี่ยนแปลงกลับกลายเป็นความเสี่ยงสูงสุดขององค์กรในยุคนี้"

    แนวโน้มการควบรวมและซื้อกิจการในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

    ในปี 2568 ภูมิทัศน์การควบรวมและซื้อกิจการ (M&A) ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงเผชิญกับความท้าทายเชิงโครงสร้างที่ต่อเนื่องควบคู่กับโอกาสใหม่ๆ โดยอุปสรรคสำคัญในอุตสาหกรรมหลักอย่างโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและพลังงานหมุนเวียน ได้แก่ ช่องว่างราคาซื้อขายที่กว้างขึ้น วงจรการขายเงินลงทุน (Exit Cycle) ที่ยาวนานขึ้น และความลังเลของผู้ขายในการสละอำนาจควบคุมธุรกิจ นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบและความซับซ้อนของความต้องการภายหลังการควบรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านเทคโนโลยีและบุคลากร ยังเพิ่มความเสี่ยงในการทำดีล M&A

    แม้จะมีความท้าทายเหล่านี้ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง ด้วยแนวทางกำกับดูแลที่ยืดหยุ่น การไหลเข้าของเงินทุนที่แข็งแกร่ง และแนวโน้มอุปสงค์ภายในประเทศที่เติบโต ทั้งนักลงทุนเชิงกลยุทธ์และนักลงทุนทางการเงินจึงยังคงมองหาโอกาสในการเข้าลงทุนในภูมิภาคนี้ โดยอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มการเติบโตสูง เช่น เทคโนโลยี โทรคมนาคม สุขภาพ และพลังงานหมุนเวียน เป็นผู้นำดีล M&A ในภูมิภาคนี้ นอกจากนี้ ปัจจัย ทั้งการรวมตลาด (Market Consolidation) ล่าสุด ช่องว่างด้านมูลค่าที่แคบลง และสถานการณ์ทางการเงินที่ปรับตัวดีขึ้น คาดว่าจะช่วยผลักดันให้เกิดดีล M&A มากขึ้นในอนาคต

    ทั้งนี้ กองทุน Private Equity ยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญในภูมิภาคนี้ โดยมีสัดส่วนมูลค่าดีลที่สูงโดยเฉพาะในการลงทุนระยะหลังและสตาร์ทอัพในสิงคโปร์และทั่วภูมิภาค แม้มูลค่ารวมของดีล Private Equity จะมีความผันผวนจากจำนวนดีลขนาดใหญ่ที่ลดลง แต่ดีลในกลุ่มภาคอุตสากรรมเทคโนโลยี บริการทางการเงิน และสุขภาพยังคงแข็งแกร่ง ด้วยแนวทางการลงทุนที่มีวินัย เน้นคุณค่า และมุ่งเน้นสินทรัพย์ที่มีความพร้อม การขายเงินลงทุนแบบ Trade Sale ยังคงเป็นกลยุทธ์ที่ได้รับความนิยม เนื่องจากมีกระบวนการที่รวดเร็วและมีความแน่นอนมากกว่าการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไป (IPO) ในขณะที่การทำธุรกรรมซื้อขายในตลาดรอง (Secondary Transactions) กำลังมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นทั้งนี้เพื่อตอบสนองความต้องการด้านสภาพคล่องที่เพิ่มสูงขึ้น

    โดยภาพรวม การประสบความสำเร็จในการลงทุนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จำเป็นต้องอาศัยการดำเนินงานอย่างมีวินัย การจัดลำดับความสำคัญทางกลยุทธ์ที่ชัดเจน และการบริหารจัดการความท้าทายด้านวัฒนธรรมและการผสานธุรกิจอย่างเชิงรุก โดยมีกองทุน Private Equity เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการกำหนดทิศทางของดีล M&A ในภูมิภาคนี้

    มูราลิดาห์ เอ็ม เอส เค ลีดเดอร์ด้านกลยุทธ์ ความเสี่ยง และธุรกรรมรายการ ดีลอยท์ เซาท์อีสต์เอเชีย กล่าวว่า "การควบรวมและซื้อกิจการเชิงเปลี่ยนผ่าน (Transformational M&A) คือ กลไกขับเคลื่อนการเติบโตทางธุรกิจ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นภูมิภาคที่การเปลี่ยนแปลงระบบห่วงโซ่อุปทาน เทคโนโลยี และความคาดหวังของลูกค้าอย่างรวดเร็ว ดีล M&A เชิงกลยุทธ์และประสานความร่วมมือสนับสนุน คือ กุญแจสำคัญที่ช่วยให้องค์กรสามารถปรับโครงสร้างพอร์ตธุรกิจและเข้าถึงตลาดที่มีศักยภาพใหม่ ๆ และด้วยการใช้เครื่องมือขับเคลื่อนการเติบโตหลายรูปแบบ องค์กรสามารถปรับเปลี่ยนแผนธุรกิจได้อย่างรวดเร็วและเหมาะสมกับความต้องการของภูมิภาค ทั้งนี้ การพลิกโฉมโมเดลธุรกิจ การปรับองค์กรให้พร้อมรับอนาคต และการสร้างคุณค่าที่ยั่งยืน ให้ผลลัพธ์มากกว่าการทำดีลแบบครั้งเดียว"

    เทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ (AI) คือแกนหลักของการเปลี่ยนผ่านเชิงกลยุทธ์

    รายงานของดีลอยท์ชี้ให้เห็นว่า องค์กรที่เน้นการการเติบโตเชิงเปลี่ยนผ่าน (Growth Transformers) กำลังปรับรูปแบบธุรกิจผ่านการควบรวมและการซื้อกิจการ (M&A) และความร่วมมือในระบบนิเวศ โดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีเป็นแรงผลักดันหลัก เกือบครึ่งหนึ่งจากผลสำรวจความคิดเห็นของซีอีโอให้ความสำคัญกับการลงทุนทางด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคโนโลยีใหม่ที่กำลังเกิดขึ้น เช่น Generative AI, หุ่นยนต์ (Robotics), ควอนตัมคอมพิวติ้ง (Quantum Computing) และแพลตฟอร์ม Machine-learning ซึ่งทั้งหมดถูกมองว่าเป็นทั้งภัยคุกคามและปัจจัยสนับสนุนในการสร้างรูปแบบโมเดลธุรกิจใหม่

    จากผลสำรวจความคิดเห็นของซีอีโอเกือบร้อยละ 47 ให้ความสำคัญกับการลงทุนในปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยทำให้เทคโนโลยีอัจฉริยะกลายเป็นศูนย์กลางของกลยุทธ์การควบรวมและซื้อกิจการ (M&A) ในยุคใหม่ ขณะเดียวกัน จากผลสำรวจความคิดเห็นของซีอีโอมากกว่าครึ่ง (ร้อยละ 52) เชื่อว่า ปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะเป็นแรงขับเคลื่อนสร้างการเติบโตของรายได้ โดยการลงทุนในเทคโนโลยีอัจฉริยะถูกออกแบบให้สอดคล้องกับเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ เพื่อสร้างสมดุลด้านความเสี่ยงและคว้าโอกาสในฐานะผู้ริเริ่มก่อน

    องค์กรที่เน้นการการเติบโตเชิงเปลี่ยนผ่าน (Growth Transformers) ยังมองห่วงโซ่อุปทานเป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ ไม่ใช่แค่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ แต่เพื่อสร้างการให้บริการในรูปแบบใหม่ เช่น "โลจิสติกส์ในรูปแบบบริการ" (Logistics-as-a-Service) ในขณะที่มีการใช้การวิเคราะห์แบบเรียลไทม์เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์กับพันธมิตรและผู้ขาย ห่วงโซ่อุปทานจึงค่อยๆ เปลี่ยนบทบาทจาก "ฟังก์ชันสนับสนุน" ไปสู่ "กลไกเพื่อการสร้างการเติบโตและนวัตกรรม"

    ร็อบ ฮิลลาร์ด ลีดเดอร์บริการที่ปรึกษาทางการบริหารจัดการ ดีลอยท์ เอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า "ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่ซึ่งตลาดมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเกินคาด กลยุทธ์ M&A เชิงเปลี่ยนผ่านจึงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการพลิกโฉมธุรกิจ โดยการใช้เทคโนโลยีตั้งแต่ระบบอัตโนมัติไปจนถึงระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ไม่ใช่แค่เพียงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ แต่เพื่อการปรับเปลี่ยนรูปแบบโมเดลทางธุรกิจใหม่และแหล่งสร้างมูลค่าใหม่ ทั้งนี้ ความสำเร็จต้องอาศัยแนวทางการลงทุนด้านเทคโนโลยีแบบพอร์ตโฟลิโอ เพื่อให้เกิดการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพและความยืดหยุ่น พร้อมรับมือกับความซับซ้อนและคว้าโอกาสในภูมิภาคนี้ที่เต็มไปด้วยความท้าทายและศักยภาพ"

    การเปลี่ยนผ่านด้านบุคลากรคือปัจจัยสำคัญในการสร้างความแตกต่าง

    รายงานยังเน้นย้ำว่า ความพร้อมของบุคลากรมีความสำคัญไม่ต่างจากเทคโนโลยีซึ่งเป็นตัวกำหนดความสำเร็จของ M&A เชิงเปลี่ยนผ่าน องค์กรที่ลงทุนในทักษะดิจิทัล มีความสามารถในการปรับตัว และความแข็งแกร่งทางวัฒนธรรม พบว่ามีระดับนวัตกรรมสูงขึ้นถึงร้อยละ 30

    ผู้นำที่มุ่งเน้นการเติบโตทางธุรกิจย่อมเข้าใจดีว่าการเปลี่ยนผ่านที่ประสบความสำเร็จต้องอาศัยบุคลากรและวัฒนธรรมองค์กรที่มีความยืดหยุ่นและปรับตัวได้ โดยทีมงานที่มีทักษะพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคตและมีทักษะด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) และดิจิทัล คือ ปัจจัยสร้างความได้เปรียบในตลาดที่มีการแข่งขันสูง

    Private Equity และการเปลี่ยนผ่านของระบบนิเวศธุรกิจ

    รายงานของดีลอยท์ เผยให้เห็นว่า กองทุน Private Equity กำลังปรับกลยุทธ์ท่ามกลางภาวะตลาดที่ชะลอตัวและต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้น ด้วยเงินทุนสำรอง (Dry Powder) ประมาณ 2.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ กองทุนเหล่านี้กำลังขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านเชิงลึกในระบบนิเวศธุรกิจ โดยกำหนดเป้าหมายการลงทุนในบริษัทที่มีศักยภาพแต่ยังไม่ได้ถูกนำมาใช้ประโยชน์ เพื่อพลิกโฉมทั้งอุตสาหกรรม

    รายงานยังพบว่า ผู้ซื้อกิจการที่สามารถบรรลุหรือเกินเป้าหมายด้าน Synergy จะสร้างมูลค่าเฉลี่ย 1.3 เท่าของเป้าหมายต้นทุนที่ประกาศไว้ และในบางกรณีสูงถึงสองเท่า โดยบริษัทที่มีการวิเคราะห์ และการดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อการสร้าง Synergy จะมีผลประกอบการเหนือเป้าหมายเฉลี่ยร้อยละ 23 ซึ่งเป็นการสร้างมูลค่ามากกว่าคู่แข่งอย่างมีนัยสำคัญ

    เจียก ซี อึ้ง ลีดเดอร์ด้านกลยุทธ์ ความเสี่ยง และธุรกรรมรายการ ดีลอยท์ เอเชียแปซิฟิก กล่าวเสริมถึงรายงานวิจัยว่า "ซีอีโอผู้กำหนดนิยามใหม่ให้กับตลาดในปัจจุบัน คือผู้ที่กล้าเผชิญความท้าทายในการใช้การควบรวมและการซื้อกิจการเชิงเปลี่ยนผ่าน (Transformational M&A) เป็นเครื่องมือในการพลิกโฉมธุรกิจ โดยยอมรับว่าการเปลี่ยนผ่านคือการดำเนินการที่ต่อเนื่องและไม่มีที่สิ้นสุด การผสานความเป็นผู้นำที่แข็งแกร่ง มีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน และการดำเนินงานอย่างมีวินัยและด้วยความเร็วเพื่อสนองตอบความต้องการของตลาด การสร้างพันธมิตรที่แข็งแกร่งในระบบนิเวศที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลากับทั้งกองทุน Private Equity, Hyperscaler, สตาร์ทอัพ และพันธมิตรทางธุรกิจในหลายหลายอุตสาหกรรม องค์กรที่เน้นการเติบโตเชิงเปลี่ยนผ่าน (Growth Transformers) เหล่านี้ ไม่ได้แค่สร้างมูลค่าทางธุรกิจในระยะสั้น แต่กำลังสร้างมูลค่าที่ยั่งยืนและขับเคลื่อนด้วยเป้าหมาย พร้อมพลิกโฉมอุตสาหกรรมผ่านการเปลี่ยนผ่านโมเดลธุรกิจด้วยเทคโนโลยีและวัฒนธรรมที่ผสานมนุษย์กับเทคโนโลยีอย่างลงตัว"

    สามารถอ่านรายงานฉบับเต็มและเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับรายงานวิจัยได้ที่: https://www.deloitte.com/southeast-asia/en/services/consulting/perspectives/asia-pacific-the-growth-transformers-playbook.html

    [1] การวิจัยที่ครอบคลุมของดีลอยท์ ซึ่งอาศัยข้อมูลด้านการควบรวมและซื้อกิจการ (M&A) ตลอดทศวรรษ ตั้งแต่ปี 2558 ถึง 2567 แสดงถึงกลยุทธ์ที่ซับซ้อน ซึ่งอยู่ภายใต้คู่มือการควบรวมและซื้อกิจการเชิงเปลี่ยนผ่าน (Transformational M&A Playbook) ได้ถูกนำมาใช้อย่างสม่ำเสมอโดย 'นักเปลี่ยนผ่านด้านการเติบโต' ที่สร้างมูลค่าอย่างมีนัยสำคัญ การศึกษานี้ครอบคลุมดีล M&A มากกว่า 2,000 ธุรกรรมในหลากหลายภูมิภาค (อเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ ยุโรป และเอเชียแปซิฟิก) และอุตสาหกรรม (เทคโนโลยี สื่อ และโทรคมนาคม, พลังงาน ทรัพยากร และอุตสาหกรรม, บริการทางการเงิน, วิทยาศาสตร์สุขภาพและการดูแลสุขภาพ, และสินค้าอุปโภคบริโภค)

    เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ