
บริษัท พีดีเฮ้าส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด หรือศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ ประกาศปรับวิสัยทัศน์และพันธกิจใหม่ ภายใต้แนวคิด "สร้างบ้านเพื่อคุณค่าที่ยั่งยืนด้วยนวัตกรรมและความรับผิดชอบ" เพื่อรับมือกับสถานการณ์ท้าทายของตลาดรับสร้างบ้านที่กำลังสูญเสียความเชื่อมั่น จากข่าวคดีความของบริษัทรับสร้างบ้านทิ้งงานที่ออกสื่ออย่างต่อเนื่อง พร้อมตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของสังคมไทยที่กำลังก้าวเข้าสู่ "Super-Aged Society" หรือสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์

นางสาวจิราภา สุวรรณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีดีเฮ้าส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด และกลุ่มบริษัท ปทุมดีไซน์ ดีเวลลอป จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดรับสร้างบ้านในไตรมาสสุดท้ายของปี 2568 กำลังเผชิญความท้าทายอย่างหนักจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะปัญหาความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ถูกทำลายจากข่าวคดีความและปัญหาของบริษัทรับสร้างบ้านทิ้งงานที่ออกรายการทีวีและสื่อต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ผู้บริโภคสูญเสียความไว้วางใจต่ออุตสาหกรรมและชะลอการตัดสินใจสร้างบ้าน กอปรกับความไม่มั่นคงทางการเมืองและสภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย ทำให้ตลาดรวมรับสร้างบ้านที่คาดว่าจะเติบโตอาจติดลบหรือชะงักการเติบโตในช่วงที่เหลือของปีนี้
"ในสถานการณ์ที่ท้าทายนี้ พีดีเฮ้าส์ มองว่าเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างความแตกต่างและฟื้นฟูความเชื่อมั่นที่สูญเสียไป ผู้ประกอบการรับสร้างบ้านมืออาชีพจึงจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์อย่างเร่งด่วน จากเดิมที่มุ่งเน้นแข่งขันแบบไร้ทิศทางหรือแข่งแต่ราคา สู่การสร้าง 'คุณค่า' ที่แท้จริงให้กับผู้บริโภค โดยเน้นความโปร่งใส ความรับผิดชอบ และมาตรฐานที่เข้มงวด เพื่อสร้างความมั่นใจและแตกต่างจากผู้ประกอบการที่ขาดความรับผิดชอบ นอกจากนี้ การปรับเปลี่ยนครั้งนี้ยังเป็นการตอบสนองต่อแนวโน้มประชากรไทยที่จะมีผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป คิดเป็นสัดส่วน 28-30% ของประชากรทั้งหมดในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ซึ่งตลาดที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุในไทยมีศักยภาพสูงและมีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว แม้ว่าภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านจะเผชิญความท้าทายในปัจจุบันก็ตาม" นางสาวจิราภา กล่าว
4 แกนหลักการพัฒนาเพื่อสร้างความเชื่อมั่น
พีดีเฮ้าส์ ได้วางแนวทางการพัฒนาผ่าน 4 แกนหลักสำคัญที่มุ่งเน้นคุณภาพชีวิตและความยั่งยืน เพื่อสร้างความแตกต่างและความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค ได้แก่:
แนวโน้มตลาดปี 2568: ท้าทายแต่มีโอกาส
แม้ว่าภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านในปี 2568 จะเผชิญความท้าทายและคาดว่าจะเติบโตติดลบหรือการเติบโตชะงักจากปัจจัยลบหลายด้าน โดยเฉพาะความเชื่อมั่นที่พังทลายจากความไม่แน่นอนทางการเมืองและกำลังซื้อที่หดตัว โดยตลาดหลักยังคงเป็นกลุ่มผู้มีความต้องการสร้างบ้านเพื่อที่อยู่อาศัยจริง (Real Demand) โดยเฉพาะบ้านในกลุ่มราคา 4-10 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนมากสุดและช่วยขับเคลื่อนตลาด ในส่วนบ้านระดับราคา 10-20 ล้านบาทขึ้นไป ยังคงมีดีมานด์ที่ค่อนข้างคงตัว ผู้ซื้อกลุ่มนี้ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจไม่มากนัก ขณะที่บ้านในกลุ่มราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทเศษ คาดว่าจะชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจและปัจจัยลบที่กระทบต่อกำลังซื้อ
สำหรับตลาดรับสร้างบ้านที่มีบริการรองรับผู้สูงอายุ ถึงแม้จะเป็นตลาดเฉพาะ (niche market) ที่คาดว่าจะมีส่วนแบ่งอยู่ที่ 7-10% หรือมีมูลค่าประมาณ 1,000-1,500 ล้านบาท แต่มีแนวโน้มขยายตัวได้ดีในปัจจุบันและระยะยาว ตามจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว (คาดว่าจะมีสัดส่วน 28-30% ของประชากรทั้งหมดในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า) และความตระหนักของครอบครัวรุ่นใหม่ ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุมากขึ้น
"พีดีเฮ้าส์ เชื่อว่าในยุคที่ตลาดรับสร้างบ้านกำลังสูญเสียความเชื่อมั่นจากผู้บริโภค การสร้างความแตกต่างด้วยความโปร่งใส ความรับผิดชอบ และมาตรฐานที่เข้มงวด จะเป็นกุญแจสำคัญในการฟื้นฟูความเชื่อมั่นและสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน อนาคตของธุรกิจรับสร้างบ้านไม่ได้อยู่ที่แค่การสร้างบ้านให้เสร็จ แต่คือการสร้างบ้านที่มอบ 'คุณค่า' มากกว่า 'มูลค่า' และตอบโจทย์ชีวิตในระยะยาว ยิ่งสังคมเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว 'ที่อยู่อาศัย' จึงไม่ใช่เพียงแค่ 'ที่อยู่' อีกต่อไป แต่ต้องเป็นพื้นที่แห่งความสุข ความปลอดภัย และสุขภาวะที่ดีเพื่อคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืนในระยะยาว" นางสาวจิราภา กล่าวทิ้งท้าย