
แคปปิตอล เอ เบอร์ฮาด ("แคปปิตอล เอ" หรือ "กลุ่มบริษัท") ลงนามบันทึกความเข้าใจ (LOI) ร่วมกับกระทรวงคมนาคมและโทรคมนาคมแห่งราชอาณาจักรบาห์เรน เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้ง "บาห์เรน" เป็นศูนย์กลางการบินแห่งตะวันออกกลางของแอร์เอเชีย นับเป็นก้าวสำคัญของความร่วมมือระยะยาวในการเชื่อมโยงอาเซียนกับหนึ่งในภูมิภาคการบินที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก
บันทึกความเข้าใจฉบับนี้เป็นกรอบความร่วมมือด้านการบินและเศรษฐกิจระหว่างแคปปิตอล เอ และบาห์เรน เพื่อเปิดเส้นทางใหม่ระหว่างราชอาณาจักรบาห์เรนกับภูมิภาคอาเซียน ครอบคลุมความร่วมมือในหลายมิติ ทั้งการดำเนินงานสายการบิน การขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ การซ่อมบำรุงอากาศยาน รวมถึงการพัฒนาบุคลากรด้านการบิน
นายโทนี่ เฟอร์นันเดส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มแคปปิตอล เอ กล่าวว่า"ความร่วมมือครั้งนี้คือจุดเปลี่ยนสำคัญ (Game Changer) เมื่อการปรับโครงสร้างธุรกิจสายการบินของเรากำลังใกล้เสร็จสมบูรณ์ แคปปิตอล เอ และแอร์เอเชียกำลังจะก้าวสู่บทใหม่ของการเติบโตระดับโลกอย่างแข็งแกร่ง และบาห์เรนจะเป็นฐานสำคัญของเราในภูมิภาคตะวันออกกลาง
"จุดเริ่มต้นของแอร์เอเชียมาจากการสร้างนวัตกรรม เราคือผู้บุกเบิกโมเดลสายการบินราคาประหยัดที่ก้าวออกนอกประเทศมาเลเซีย และประสบความสำเร็จในการขยายฐานในประเทศต่าง ๆ ทั่วอาเซียน ทั้งไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และกัมพูชา การร่วมมือกับบาห์เรนครั้งนี้สะท้อนถึงจิตวิญญาณแห่งความเป็นผู้นำของแอร์เอเชีย เพื่อสานต่อพันธกิจ 'Now Everyone Can Fly' ให้ไกลยิ่งกว่าเดิม" นายโทนี่กล่าวเพิ่มเติมว่า
"อนาคตของการเดินทางคือการเชื่อมโยงที่ไร้พรมแดนและไร้รอยต่อผ่านหลายศูนย์ฐานปฏิบัติการบิน(multi-hub) ภายในปี 2573 นอกจากการพิจารณาจัดตั้งสายการบินที่มีใบรับรองผู้ดำเนินการเดินอากาศ (AOC) ประจำบาห์เรนแล้ว เรายังคาดว่าจะมีเที่ยวบินให้บริการมากกว่า 25 เที่ยวบินต่อวัน พร้อมศักยภาพในการขนส่งผู้โดยสารกว่า 20 ล้านคนระหว่างบาห์เรนกับศูนย์กลางหลักในอาเซียน ในอีก 5 ปีข้างหน้าเป็นเทรนด์ใหม่ของการเดินทาง การค้า ผู้คน และโลจิสติกส์ ระหว่างเมืองหลวงหลักและเมืองเศรษฐกิจเกิดใหม่ทั่วภูมิภาค"
ดร. เชค อับดุลละ บิน อะห์เม็ด บิน อับดุลละ อัลเคาะลีฟะฮ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมและโทรคมนาคม ราชอาณาจักรบาห์เรน กล่าวว่า "การเป็นพันธมิตรกับแคปปิตอล เอ และแอร์เอเชียจะช่วยเสริมสร้างยุทธศาสตร์ 'Bahrain Economic Vision 2030' เพื่อกระจายโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ยืนยันบทบาทของบาห์เรนในฐานะศูนย์กลางการท่องเที่ยวและโลจิสติกส์แห่งตะวันออกกลาง เชื่อมต่อเอเชีย ตะวันออกกลาง ยุโรป แอฟริกา และสหรัฐอเมริกาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อีกทั้งความร่วมมือครั้งนี้ยังจะเปิดโอกาสใหม่ทั้งด้านการท่องเที่ยวและธุรกิจ สร้างอาชีพเฉพาะทางให้กับแรงงานชาวบาห์เรนที่มีความรู้ความสามารถ และส่งเสริมให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตต่อเนื่อง"
ภายใต้บันทึกความเข้าใจฉบับนี้ แอร์เอเชียจะศึกษาความเป็นไปได้ในการเปิดเส้นทางบินจากมาเลเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซียสู่บาห์เรนภายใน 5 ปีข้างหน้า พร้อมเชื่อมต่อเที่ยวบินต่อเนื่องไปยังยุโรปและสหรัฐอเมริกา กลุ่มบริษัทจะประเมินการจัดตั้งใบรับรองผู้ดำเนินการเดินอากาศ (AOC) ประจำบาห์เรน เพื่อให้บริการเส้นทางภายในตะวันออกกลาง เอเชียกลาง แอฟริกา และยุโรป โดยภายในปี 2573 แอร์เอเชียคาดว่าจะให้บริการมากกว่า 25 เที่ยวบินต่อวันผ่านบาห์เรน ขนส่งผู้โดยสารกว่า 20 ล้านคนภายใน 5 ปี และสร้างมูลค่าเพิ่มให้เศรษฐกิจบาห์เรนกว่า 3,000 ล้านดีนาร์บาห์เรน (ประมาณ 8,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ)
การขยายตัวดังกล่าวคาดว่าจะก่อให้เกิดการจ้างงานกว่า 100,000 ตำแหน่งในระบบนิเวศอุตสาหกรรมการบินและบริการที่เกี่ยวข้อง พร้อมดำเนินโครงการพัฒนาบุคลากรระยะยาวเพื่อฝึกอบรมและจ้างงานชาวบาห์เรนในหลากหลายตำแหน่ง ทั้งนักบิน ลูกเรือ วิศวกร และเจ้าหน้าที่ภาคพื้น โดยมีเป้าหมายจ้างงานกว่า 1,000 ตำแหน่งในปีแรก เพื่อส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ
เอเชีย ดิจิทัล เอนจิเนียริง (Asia Digital Engineering - ADE) หน่วยธุรกิจซ่อมบำรุง (MRO) ของแคปปิตอล เอ มีแผนที่จะตั้งศูนย์ปฏิบัติการแห่งใหม่ในบาห์เรน พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกระดับโลก ทั้งอาคารโรงซ่อมและเวิร์กช็อปสำหรับอากาศยานลำตัวแคบและลำตัวกว้าง โดยจะมุ่งยกระดับทักษะบุคลากรชาวบาห์เรนผ่านหลักสูตรอบรมขั้นสูงสำหรับฝูงบิน Airbus และ Boeing ตั้งเป้าสร้างมาตรฐานใหม่ด้านประสิทธิภาพและความรวดเร็วในการซ่อมบำรุง เพื่อช่วยสายการบินในภูมิภาคเพิ่มระยะเวลาพร้อมบินและสร้างรายได้สูงสุด ทั้งนี้ การจัดตั้งศูนย์ดังกล่าวสะท้อนถึงพันธสัญญาของ ADE ในการผลักดันให้บาห์เรนเป็น "ศูนย์กลางแห่งความเป็นเลิศด้านวิศวกรรมการบิน" แห่งตะวันออกกลางอย่างแท้จริง
เทเลพอร์ต (Teleport) หน่วยธุรกิจโลจิสติกส์ของแคปปิตอล เอ จะใช้บาห์เรนเป็นประตูหลักสู่การขยายเครือข่ายนอกภูมิภาคเอเชียเป็นครั้งแรก โดยมีแผนประจำเครื่องบินขนส่งสินค้า (freighter) ไว้ในประเทศ เพื่อเพิ่มความเชื่อมโยงระหว่างตะวันออกกลาง ยุโรป แอฟริกา และเครือรัฐเอกราช (CIS) การเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์นี้จะช่วยเสริมศักยภาพของเทเลพอร์ตในการขยายเครือข่ายระดับนานาชาติ และเพิ่มปริมาณการขนส่งสินค้าอีคอมเมิร์ซระหว่างเอเชียและตะวันออกกลาง
การประกาศความร่วมมือในครั้งนี้เกิดขึ้นต่อเนื่องจากความสำเร็จครั้งสำคัญของแคปปิตอล เอ ที่ได้บรรลุเงื่อนไขทั้งหมดในการจำหน่ายธุรกิจสายการบินของกลุ่ม ซึ่งจะนำไปสู่การรวมสายการบินทั้งหมดภายใต้ "กลุ่มแอร์เอเชีย"ให้บริการในรูปแบบสายการบินราคาประหยัดที่ให้บริการแบบเครือข่ายหลายศูนย์ปฏิบัติการการบิน (multi-hub low-cost network carrier) โดยกลุ่มแอร์เอเชียจะมุ่งเน้นการขยายธุรกิจสายการบินในระดับโลก ขณะที่แคปปิตอล เอ จะเดินหน้าพัฒนาระบบนิเวศด้านการท่องเที่ยวและดิจิทัลควบคู่กัน เพื่อเร่งสร้างการเติบโต ขยายตลาดใหม่ และมอบประสบการณ์การเดินทางที่เชื่อมโยงทั่วโลกให้แก่ผู้โดยสารและพันธมิตรทางธุรกิจ